บทที่ 460 มาด้วย

บทที่ 460 มาด้วย

โจวซื่อนีเป็นคนที่มีความอดทนดีมาก หล่อนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อมาอยู่บนรถไฟ

ในขณะที่โจวซานนีอดทนต่อการเดินทางนี้แทบไม่ไหว ครั้งแรกก็บนรถประจำทาง ดังนั้นเมื่อขึ้นมาบนรถไฟได้ หล่อนก็ผล็อยหลับไปทันที

เป็นเหมือนกับท่านแม่โจวตอนที่นางเดินทางไปที่ปักกิ่งเลย

นี่เป็นการเดินทางครั้งแรกสำหรับหลี่อ้ายกั๋วเช่นกัน แต่เขากลับสบายดี

โจวชิงไป๋ซื้อข้าวกล่องบนรถไฟมาให้กินกัน หลินชิงเหอเอาแอปเปิล ส้ม มะเขือเทศและแตงกวาออกมาจากกระเป๋าผ้าของเธอ

แม้แต่ในตอนนี้เธอก็ยังไม่เคยชินกับอาหารกล่องบนรถไฟ ดังนั้นเธอจึงกินไปแค่ไม่กี่คำ รวมทั้งไข่ลวก และให้ส่วนที่เหลือกับโจวชิงไป๋

หลี่อ้ายกั๋วและโจวซื่อนีรู้สึกพอใจกับอาหาร ยังมีอีกกล่องสำหรับซานนี แต่ตอนนี้หล่อนยังหลับอยู่ ดังนั้นค่อยให้หล่อนกินหลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว

“อาสะใภ้สี่กินแค่นั้นเองหรือคะ? เดี๋ยวจะหิวนะคะ” โจวซื่อนีเอ่ยขึ้น

“ไม่หิวหรอกจ้ะ อาก็กินของพวกนี้ไปแล้วไง?” หลินชิงเหอบอก

“แค่นี้จะอิ่มท้องได้ยังไงกันคะ?” แม้โจวซื่อนีจะเป็นเด็กปราดเปรียว แต่หล่อนก็เป็นเด็กสาวซื่อ ๆ ที่จริงใจด้วย

หลินชิงเหอยิ้ม ในตอนที่เธอได้ยินสิ่งที่คุณแม่เวิงพูดนั้น ทำให้เธอคิดที่จะพาซื่อนีมาที่ปักกิ่ง แต่อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้เก็บเอาเรื่องที่คุณแม่เวิงพูดมาคิดจริงจังอะไรนัก

เวิงกั๋วต้งอายุมากกว่าซื่อนีมาก นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างคนเมืองและคนชนบทอีกด้วย สภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตขึ้นก็แตกต่างกันมาก หลินชิงเหอไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถเข้ากันได้

เธอไม่ได้คิดอะไรมากในเรื่องนี้เลย

ทว่าการพาเด็กสาวที่โตแล้วอย่างซื่อนีออกไปอยู่ที่นั่น เป็นเรื่องดีสำหรับตัวหล่อนเองอย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับต้านีแล้ว หล่อนจะต้องอยู่ที่หมู่บ้านไปตลอดชีวิต แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งเลวร้ายสำหรับต้านี ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว มันก็ดูแย่กว่าอยู่ดี

และเป็นเพียงคนในรุ่นนี้เท่านั้นหรือที่แย่กว่า? มันจะไม่ใช่เท่านี้ คนในรุ่นถัดไปก็จะเป็นเหมือนกัน นี่เป็นบทสรุปที่รู้ได้ล่วงหน้า

เมื่อซานนีตื่นขึ้น หลี่อ้ายกั๋วจึงเป็นคนคอยดูแลหล่อน ซานนีไม่สามารถกินอาหารได้ หล่อนจึงกินแอปเปิลและผลไม้อื่น หลังจากนั้นก็รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น

หล่อนกินอาหารกล่องจนหมด เห็นได้ว่าอาหารถูกปากหล่อน

“ครั้งก่อนนั้นคุณย่าของหนูก็เป็นเหมือนกับหนูนี่แหละจ้ะ หลับไปตลอดทางจนถึงปักกิ่งเลย” หลินชิงเหอบอกด้วยรอยยิ้ม

จากประสบการณ์ดังกล่าว ท่านแม่โจวจึงรู้สึกเข็ดขยาด ถึงแม้นางจะอยากกลับไปบ้านเกิดก็ตาม แต่ชีวิตของนางในปักกิ่งนั้นสุขสบายมาก มิเช่นนั้นนางก็คงจะยังอยากกลับบ้านเกิดอยู่

“หนูไม่เคยนั่งรถอย่างนี้มาก่อนเลยค่ะ รถสะเทือนมาก” โจวซานนีตอบอาย ๆ

“ไม่เป็นไรจ้ะ นั่งอีกไม่กี่ครั้ง แล้วหนูก็จะชินไปเอง” หลินชิงเหอพยักหน้า

พวกเขามาถึงปักกิ่งในอีก 2 วันถัดมา ทั้ง ๆ ที่อ่อนล้ากันมาก แต่เมื่อโจวซานนี หลี่อ้ายกั๋วและโจวซื่อนีลงจากรถไฟ และได้เห็นผู้คนเข้าออกที่สถานีรถไฟปักกิ่งแล้ว พวกเขาก็เต็มไปด้วยพลังความมุ่งมั่น

พวกเขาต้องรอรถประจำทางจากสถานีรถไฟเพื่อไปยังมหาวิทยาลัยปักกิ่ง

เนื่องจากพวกเขาบังเอิญออกมาในจังหวะที่ไม่ดี รถประจำทางเพิ่งจะออกไป

โจวซานนี หลี่อ้ายกั๋วและโจวซื่อนีรู้สึกตื่นเต้นกันมาก ปักกิ่งช่างแตกต่างจากที่บ้านเกิดของพวกเขาอย่างมาก

มีแม้กระทั่งตู้โทรศัพท์ โทรศัพท์ถือว่าเป็นของหายากขนาดไหนกันล่ะ? แต่ที่นี่กลับมีอยู่ริมถนนด้วย!

เมื่อรถประจำทางมาถึง พวกเขาก็ขึ้นไปบนรถ และเดินทางไปจนถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ระหว่างทางก็ได้เห็นกองทัพจักรยานของผู้ที่เพิ่งเลิกงาน และทัศนียภาพอื่น ๆ

อำเภอเมืองในบ้านเกิดของพวกเขาถือว่ารุ่งเรืองมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับปักกิ่ง ที่นั่นกลับดูไม่มีอะไรเลยจริง ๆ

ปักกิ่งในปี 1983 ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วเป็นอันมาก สถานที่หลาย ๆ แห่งเริ่มปรากฏให้เห็นถึงความทันสมัย

ผู้คนที่ใส่กางเกงขาบานและยีนส์บนท้องถนนนั้นถือว่าเป็นคนที่ทันสมัยมาก

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว โจวซานนี หลี่อ้ายกั๋วและโจวซื่อนีถือว่าแต่งตัวได้เชยมาก

ความจริงชุดพวกนี้เป็นเสื้อผ้าใหม่สุดที่พวกเขาเอามาใส่เป็นการพิเศษ แต่มันก็ยังล้าสมัยอยู่ดี

“พอพวกเธอไปทำงานกัน แต่ละคนจะได้รับเสื้อผ้าใหม่กันคนละ 2 ชุดนะจ๊ะ” หลินชิงเหอบอกด้วยรอยยิ้ม

เธอขายเสื้อผ้า ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรมากเกี่ยวกับเสื้อผ้าพวกนี้

“อาสะใภ้สี่คะ ปักกิ่งเจริญมากจริง ๆ เลยนะคะ” โจวซื่อนีอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้

“ใช่แล้วจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ ไม่เช่นนั้นทำไมสวี่เชิ่งเหม่ยถึงได้สิ้นเปลืองสมองของหล่อนเพื่อให้ได้อยู่ต่อล่ะ? ไม่ใช่เพราะความเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้หรอกหรือที่หล่อนสนใจ?

“ในอนาคต เราจะใช้ชีวิตกันที่นี่หรือคะ?” โจวซานนีพูดพึมพำออกมา ในขณะที่มองออกไปดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถประจำทาง

หลี่อ้ายกั๋วรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าภรรยาของเขาชอบที่นี่ หลี่อ้ายกั๋วก็ชอบที่นี่ด้วยเช่นกัน แม้เมื่อเขายังไม่ได้เริ่มต้นทำงานเลย แต่ความเจริญของปักกิ่งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใฝ่หาถึงมัน

กลับกลายเป็นว่า ในขณะที่พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย โลกภายนอกกลับน่าตื่นเต้นได้ถึงขนาดนี้แล้ว

แม้ว่าเส้นทางเดินรถจะเป็นเส้นทางตรง แต่ก็มีผู้โดยสารลงระหว่างทาง ดังนั้นจึงใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจะมาถึง

หลังจากลงจากรถประจำทางพร้อมด้วยสัมภาระแล้ว ทั้งกลุ่มก็ตรงไปที่ร้านเกี๊ยวก่อน

ช่วงเวลานี้ร้านเกี๊ยวกำลังขายดี โจวกุยหลายลูกชายคนเล็กกำลังยุ่งและเต็มไปด้วยเหงื่อ เฒ่าหวังช่วยเขาทำเกี๊ยว ในขณะที่คุณป้าหม่ากำลังล้างจาน

“โอ้ เถ้าแก่น้อยยุ่งอยู่หรือจ๊ะ?” หลินชิงเหอก้าวเข้าไปพร้อมกับพูดขึ้นอย่างร่าเริง

“ป๊า ม้า!” โจวกุยหลายตาเป็นประกาย เขาสังเกตเห็นโจวซานนีและโจวซื่อนี “พี่ซานนี พี่ซื่อนี พวกพี่ก็มาด้วยหรือครับ?”

“ใช่จ้ะ พวกเรามาด้วย ตั้งใจจะให้เถ้าแก่น้อยเลี้ยงอาหารพวกเราหน่อย” โจวซื่อนีหัวเราะเมื่อเห็นเขาสวมผ้ากันเปื้อนทำงานอย่างคล่องแคล่ว

“สบายมากครับ” โจวกุยหลายหัวเราะออกมา จากนั้นก็ชี้ไปที่ชั้น 2 แล้วพูดว่า “ชั้นบนเป็นห้องของพี่เอ้อร์นี ต่อไปพี่ซื่อนีจะต้องพักอยู่กับพี่เอ้อร์นีแน่ ๆ พี่ไปเก็บสัมภาระของพี่ไว้ที่นั่นสิครับ”

“ได้เลยจ้ะ” โจวซื่อนียิ้มแล้วขึ้นไปเก็บสัมภาระ

โจวชิงไป๋ไปล้างหน้าล้างมือมาเรียบร้อยแล้ว จากนั้น เขาก็หยิบทัพพีมาจากลูกชาย

โจวกุยหลายปลดผ้ากันเปื้อนและเอาไปใส่ให้ป๊าของเขาแทน

หลินชิงเหอรออยู่กับโจวซานนีและหลี่อ้ายกั๋ว “ที่นี่กำลังยุ่ง ไปที่บ้านคุณปู่คุณย่าของหนูกันก่อนไหมจ๊ะ? ที่นั่นกว้างขวางและมีห้องให้พวกเธอใช้เป็นที่พักกันไปก่อน”

โจวซานนีและหลี่อ้ายกั๋วไม่ปฏิเสธ สำหรับสัมภาระของพวกเขาจะทิ้งไว้ที่นี่ก่อน เอาแค่เสื้อผ้าไปด้วย

รอจนกระทั่งถึงตอนเย็น พวกเขาจะไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำด้วยกัน ที่นั่นปิดเวลา 3 ทุ่ม ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบ

“ตกลงครับ” หลี่อ้ายกั๋วตอบ

“ม้า คนนี้ใครหรือครับ?” โจวกุยหลายยังไม่รู้จักหลี่อ้ายกั๋ว

“พี่เขยสามของลูกน่ะจ้ะ” หลินชิงเหอบอก

“เป็นพี่เขยสามนี่เอง” โจวกุยหลายฉีกยิ้ม “พี่ซานนีกับพี่เขยสาม ไปกันเถอะครับ ป๊ากับม้าพาพวกพี่มาที่นี่โดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้ามาก่อน คุณปู่คุณย่าจะต้องดีใจแน่ ๆ เลยครับ ถ้ารู้ว่าพวกพี่มาที่นี่ด้วย”

เขาเป็นเด็กคุยเก่ง ดังนั้นเมื่อเขาเป็นคนพาหลี่อ้ายกั๋วและโจวซานนีไปที่บ้านคุณปู่คุณย่า ระหว่างทางไปบรรยากาศจึงไม่อึดอัดเลย

โจวซานนีพูดคุยกับเขา เมื่อหล่อนมาที่นี่แล้ว โจวซานนีก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก มีรอยยิ้มเกลื่อนบนใบหน้าของหล่อน

เป็นอย่างที่โจวกุยหลายพูด หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไม่ได้บอกมาก่อนว่า ครั้งนี้จะพาคนมาที่นี่ด้วย ดังนั้น เมื่อท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวเห็นโจวซานนีและหลี่อ้ายกั๋ว พวกเขาจึงประหลาดใจกันมาก

……………………………………………………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset