บทที่ 470 ไม่มีที่ยืน

บทที่ 470 ไม่มีที่ยืน

ในระหว่าง 7 วันแรกที่ร้านขายอาหารแห้งเปิดกิจการ หู่จือก็มาช่วยงานตั้งแต่เช้าตรู่ในทุกวัน หลังช่วยงานติดต่อกัน 5 วันแล้วเขาก็ไม่ต้องไปช่วยอีก เพราะหลี่อ้ายกั๋วกับโจวซานนีต่างมีความสามารถในการค้าขายกันทั้งคู่

ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่นั่นกันสองคน แม้สถานที่จะดูแออัดไปสักหน่อย แต่สภาพความเป็นอยู่ก็ไม่ได้แย่นัก โดยเฉพาะการที่ทั้งคู่ได้อยู่ใกล้ตลาดใหญ่ มันทำให้พวกเขาได้กินทุกอย่างที่อยากกิน

ค่าแรงของทั้งสองคนรวมกันนับว่าไม่น้อย พวกเขาสามารถกินอาหารดี ๆ ได้

อย่างน้อยหลินชิงเหอก็สังเกตเห็นว่าผิวพรรณ์ของโจวซานนีกับหลี่อ้ายกั๋วดูดีขึ้นหลังจากมาที่นี่

เป็นเพราะมีรถบรรทุกขนสินค้าขนาดใหญ่มานี่เอง จึงไม่ต้องบอกเลยว่าร้านค้ามีสินค้ามาเติมเต็มร้านแล้ว

และเป็นเพราะว่าพวกมันมีมูลค่าสูงเกินไปนี่เอง โจวซานนีกับหลี่อ้ายกั๋วจึงจับตามองอยู่ตลอด ทุกคืนพวกเขาจะต้องตรวจดูสินค้าเพื่อดูว่ามีบางอย่างผิดปกติหรือไม่

ในเรื่องของทัศนคติการทำงาน พวกเขาอยู่ในระดับชั้นยอดเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าหม่าเฉิงหมินเองก็มาตรวจดูคลังสินค้าทุกสิ้นเดือน

ไม่ใช่เพียงร้านนี้ ร้านอื่น ๆ ก็เหมือนกัน เว้นแต่ร้านเกี๊ยวที่โจวชิงไป๋เป็นคนดูแลกิจการ

เมื่อจัดส่งสินค้าเข้าร้านเสร็จ หลินชิงเหอก็อารมณ์ดีและมาที่ร้านเกี๊ยวกับโจวชิงไป๋

เจ้ารองกำลังถือช้อนอยู่ แต่ในร้านเกี๊ยวก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งนั่งอยู่เหมือนกัน ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกจากสวี่เชิ่งเหม่ยที่พวกเขาไม่ได้เห็นหน้าหล่อนมานานแล้ว

เมื่อสวี่เชิ่งเหม่ยเห็นคู่สามีภรรยากลับมา สายตาของหล่อนก็จับจ้องที่รถบรรทุกก่อนเอ่ยทักทาย “คุณน้า คุณน้าสะใภ้”

ใครจะรู้ว่าหล่อนตกใจขนาดไหนตอนไปเยี่ยมบ้านท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวในวันนี้ และได้ยินคนทางนั้นพูดว่าน้าของหล่อนซื้อรถบรรทุกมา

หล่อนรู้ดีว่าครอบครัวของน้ากับน้าสะใภ้ฐานะดีแค่ไหน พวกเขามีทั้งงานและร้านค้า หล่อนไม่เคยติดต่อเรื่องซื้อขายมาก่อน จึงไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับผลประกอบการ

แต่ต่อให้หล่อนไม่รู้ว่าผลประกอบการเป็นอย่างไร หล่อนก็บอกได้ว่าธุรกิจเป็นไปด้วยดีหรือไม่ ไม่อย่างนั้นแล้วเธอจะเปิดร้านค้าเป็นว่าเล่นได้อย่างไร?

ถึงจะเป็นเช่นนี้ สวี่เชิ่งเหม่ยก็ไม่เคยคิดเลยว่าครอบครัวของคุณน้าจะซื้อรถบรรทุกคันใหญ่มาได้

ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุกหรือยานพาหนะอื่น ๆ หรือไม่ มันก็เป็นรถสี่ล้อ ซึ่งรถสี่ล้อถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

จ้าวจวินเองก็อยากซื้อมาสักคัน มันใช้เวลาจนกระทั่งครึ่งเดือนที่แล้วก่อนที่คุณพ่อจ้าวจะซื้อรถหงฉีคันหนึ่ง

รถคันนี้ราคาเป็นหมื่น ๆ หยวน ทำให้ครอบครัวจ้าวทั้งครอบครัวมีหน้ามีตาขึ้นมา

จ้าวจวินเองก็ขับรถเป็น ซึ่งเขาก็ขับรถพาสวี่เชิ่งเหม่ยไปเที่ยวบ่อย ๆ เรื่องนี้ทำให้หล่อนรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่าช่างโชคดีเหลือเกินที่ตนเองตัดสินใจแบบนี้ ถ้าหล่อนไม่ได้เลือกจ้าวจวิน หล่อนจะมีชีวิตที่ดีแบบนี้หรือ?

ดังนั้นการตัดสินใจที่ผ่านมาของหล่อนไม่ใช่เรื่องผิด

เป็นเพราะครอบครัวจ้าวเป็นคนซื้อ สวี่เชิ่งเหม่ยจึงรู้ว่ารถสี่ล้อพวกนี้หายากเพียงใด หล่อนจึงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าน้าของหล่อนจะซื้อรถได้

แม้หล่อนรู้ว่าร้านค้าของเขาทำเงินได้ดี แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะซื้อรถบรรทุกแบบนี้มาได้ต่อให้ร้านค้าจะทำกำไรขนาดไหนก็ตาม

แต่น้าของหล่อนก็ซื้อมาแล้ว!

“ทำไมถึงมีเวลามาที่นี่ได้ล่ะ?” โจวชิงไป๋เห็นว่าภรรยาไม่พูดอะไรจึงเอ่ยขึ้นมา

“หนูเพิ่งไปเยี่ยมคุณตาคุณยายมาน่ะค่ะ ทุกเดือนหนูจะแวะไปเยี่ยมพวกท่านบ้าง” สวี่เชิ่งเหม่ยบอก

เรื่องนี้ทำให้หลินชิงเหอเหลือบมองหน้าสวี่เชิ่งเหม่ยแวบหนึ่ง เพราะถ้าดอกบัวขาวดอกนี้บ่มเพาะมารยาของตนอีกสัก 2-3 ปี หล่อนจะร้ายกาจมากทีเดียว

แต่ตอนนี้หล่อนยังอ่อนหัดอยู่นัก

“คุณน้า หนูไปที่บ้านคุณตาคุณยายมาแล้วก็รู้ว่าคุณน้าซื้อรถมาน่ะค่ะ สุดยอดไปเลย รถคันนี้คงจะแพงมากใช่ไหมคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยพูดต่อ

“นั่นไม่ถูกเหรอ? เราใช้เงินเก็บทั้งหมดที่บ้านจนเกลี้ยงไปกับรถคันนี้แถมยังต้องไปยืมเงินคนอื่นมาอีกเยอะแยะด้วย” หลินชิงเหอตอบ

สวี่เชิ่งเหม่ยเอ่ยนุ่มนวล “อย่ากังวลไปเลยค่ะน้าสะใภ้ หนูไม่ได้คิดจะมายืมเงินหรอกค่ะ แต่แค่ได้ยินว่าน้าสะใภ้ซื้อรถกับคุณน้าแล้วรู้สึกดีใจแทนน่ะค่ะ ก็เลยมาที่นี่เพื่อมาแสดงความยินดี”

ดูสิ ต่อให้หล่อนใช้คำพูดดีขนาดไหน แต่ในใจของหล่อนก็ไม่ได้เป็นไปตามคำพูดเลย หลินชิงเหอจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “น้าได้ยินมาว่าเธอสนิทชิดเชื้อกับจางเหมยเหลียนลูกสาวครอบครัวจางที่อยู่ข้างบ้านน้านะ? มีใครบางคนเห็นอยู่หลายครั้งทีเดียว แล้วก็บอกว่าพวกเธอสองคนทั้งพูดคุยและหัวเราะกันด้วย”

“นั่นมันนานมาแล้วค่ะ หลังจากที่หนูรู้เรื่องของหล่อน หนูก็ไม่ได้คุยกับหล่อนมากนัก” สวี่เชิ่งเหม่ยเอ่ยด้วยใบหน้าที่ชาไปเล็กน้อย

“ก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นน้าคงจะคิดว่าทั้งที่เธอรู้เบื้องหลังและตัวตนของหล่อนแต่ก็ยังคิดที่จะจับคู่หล่อนกับหู่จือ หู่จือเป็นญาติเธอและเขาก็ดีกับเธอ เธอไม่ควรทำร้ายหู่จือแบบนั้น” หลินชิงเหอเอ่ย

“คุณน้าสะใภ้พูดอะไรกันคะ? หนูไม่เคยคิดแบบนั้นเลยค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยส่ายหน้า

หลินชิงเหอกวาดสายตามองหล่อนอยู่ 2-3 ครั้ง ต้องบอกตรง ๆ ว่าหล่อนยังเด็กนัก สายตาของหล่อนยังไม่มั่นคงมากพอ หล่อนมีเจตนาร้ายอย่างที่คิดจริง ๆ

หลินชิงเหอไม่ได้จี้จุดหล่อน เธอจึงไม่ได้ตอแยหล่อนต่อ

“ตระกูลจ้าวเองก็ซื้อรถมาเหมือนกันค่ะ ราคาราวสี่หมื่นหยวนได้ ไม่ถูกเลยสักนิด” สวี่เชิ่งเหม่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“เป็นตระกูลจ้าวที่ซื้อมา ไม่ใช่จ้าวจวินที่ซื้อมาถูกไหม?” หลินชิงเหอชี้ประเด็น

รอยยิ้มของสวี่เชิ่งเหม่ยเจื่อนลงขณะที่หล่อนตอบกลับ “มันแพงเกินไปน่ะค่ะ จ้าวจวินจะซื้อได้อย่างไรคะ?”

“แต่หวังหยวนซื้อได้นะ เมื่อวานนี้เอ้อร์นีได้หยุดงาน หวังหยวนก็เลยขับพาหล่อนไปเดท น้าได้ยินมาจากเอ้อร์นีว่าพวกเขากินสเต็กกับไวน์กันด้วยมั้งนะ? ภัตตาคารที่พวกเขาไปกินนั่นค่อนข้างจะชั้นสูงเลยล่ะ ระดับที่มีคนมาเล่นกีต้าร์ให้ฟังโดยเฉพาะเลยทีเดียว” หลินชิงเหอเปรยออกมา

คำพูดนี้ทิ่มแทงหัวใจของสวี่เชิ่งเหม่ยดังฉึก

หล่อนรู้ดีว่าคนรักของโจวเอ้อร์นีไร้ที่ติขนาดไหน

เขารวยมาก เปิดโรงงานเสื้อผ้าด้วยตัวเองและมีพนักงานมากกว่า 500 คน คุณยายของหล่อนเองก็บอกว่าภายใน 2 ปีที่ผ่านมามันกำลังขยายกิจการและรับคนเพิ่ม โรงงานที่รองรับคนมากขนาดนี้มันต้องใหญ่แค่ไหนกัน?

ยิ่งกว่านั้นการที่มีผู้ใต้บังคับบัญชามากขนาดนี้ ก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะทำเม็ดเงินได้มหาศาลขนาดไหน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาจึงสามารถซื้อรถด้วยตัวเองได้!

หล่อนแบกรับความเจ็บปวดมหาศาลเพื่อที่จะได้แต่งงานกับจ้าวจวิน ต่อให้หล่อนจะมีชีวิตสมรสที่ดีมาก มันก็ย่ำแย่กว่าชีวิตสมรสของโจวเอ้อร์นีอยู่หลายขุม โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินว่าหวังหยวนดีต่อโจวเอ้อร์นีมากและรักใคร่หล่อนราวกับแก้วตาดวงใจ

สวี่เชิ่งเหม่ยรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที

“น้าสะใภ้ หนูขอตัวไปคุยกับพี่เอ้อร์นีที่ร้านนะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยไม่อาจอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปและฝืนเอ่ยออกมา

“เอ้อร์นียุ่งอยู่นะ” หลินชิงเหอตอบ

“หนูไม่รบกวนหล่อนหรอกค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพูดจบแล้วก็ลุกจากไป

หลินชิงเหอรอจนหล่อนจากไปก่อนจะแค่นเสียงเบา ๆ

โจวชิงไป๋มีท่าทางสงบนิ่งมาตลอด ส่วนโจวเฉวี่ยนก็อ่านหนังสือและไม่กล้าเข้ามาขัดแม้แต่น้อย พ่อลูกคู่นี้รู้ดีว่าควรจะเลือกข้างไหน

คุณป้าหม่าเห็นแล้วก็เอ่ยขึ้นมา “ทำไมหล่อนถึงมาที่นี่บ่อยนักต่อให้คุณจะไม่ชอบหล่อนล่ะคะอาจารย์หลิน?”

“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันมองหล่อนผิดไป หล่อนช่างหน้าด้านเหลือเกิน ฉันแสดงออกว่าไม่ชอบหล่อนชัดเจนแล้ว แต่ดูสิคะ หล่อนยังคงมาที่นี่อยู่เรื่อย ๆ ทำให้ดูเหมือนว่าฉันที่เป็นผู้อาวุโสกว่าเป็นคนยึดมั่นถือมั่นไม่ยอมปล่อยวางเรื่องในอดีตไปเสียอย่างนั้น” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยความรังเกียจ

คุณป้าหม่าฟังแล้วก็รู้กระจ่าง “หล่อนอยากญาติดีกับคุณน่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นหล่อนจะไม่มีที่ยืนในตระกูลจ้าวเลย”

……………………………………………………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset