บทที่ 471 ข้อตกลงทางธุรกิจ

บทที่ 471 ข้อตกลงทางธุรกิจ

คุณป้าหม่ารู้เบื้องหลังลึก ๆ ดีว่าก่อนหน้านี้หลินชิงเหอปฏิบัติต่อหลานสาวคนนี้อย่างไร แถมยังต้องการจะฝึกฝนหล่อนให้ดี

ใครจะไปคิดว่าหล่อนจะทำเรื่องอย่างนั้นขึ้นมาได้?

แม้ว่าสุดท้ายครอบครัวจ้าวจะรับผิดชอบ แต่เรื่องมันจะจบลงแค่นั้นหรือ? รายละเอียดเล็กน้อยสามารถเผยให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย ดังเช่นเรื่องที่เกิดขึ้นก็สามารถทำให้เห็นธาตุแท้ของคนได้

คุณป้าหม่ารู้สึกว่าหลินชิงเหอก็ไม่ได้โหดร้ายอะไร นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะเธอเป็นคนที่อยู่ในแวดวงการศึกษา หากเธอเห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวคงจะเป็นเรื่องที่แปลกมากทีเดียว

คุณป้าหม่าสนับสนุนหลินชิงเหออย่างมากในเรื่องนี้

นางไม่ชอบสวี่เชิ่งเหม่ยยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เนื่องจากสวี่เชิ่งเหม่ยนั้นดูถูกนาง ก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้ ในตอนที่คุณน้าและคุณน้าสะใภ้ของหล่อนอยู่ด้วย หล่อนจะช่วยทำความสะอาดโต๊ะหรืออะไรทำนองนั้น ราวกับว่าหล่อนเป็นคนที่ขยันขันแข็งมาก

แต่เมื่อคุณน้าและคุณน้าสะใภ้ไม่อยู่ หล่อนจะขี้เกียจมาก แม้กระทั่งซีอิ๊วหก หล่อนยังไม่ช่วยทำความสะอาดเลย

อย่างไรก็ตาม คุณป้าหม่าไม่เคยพูดอะไร เพราะนั่นเป็นงานของนางอยู่แล้ว หล่อนไม่จำเป็นต้องช่วยทำก็ได้ นางสามารถทำเองได้

ในขณะที่โจวเอ้อร์นีนั้นเป็นเด็กดีอย่างแท้จริง ตอนนี้หล่อนได้คบหาอยู่กับเถ้าแก่หนุ่มอนาคตไกลอย่างหวังหยวน ไม่มีอะไรจะสมบูรณ์แบบมากไปกว่านี้อีกแล้ว

หวังหยวนดีกับโจวเอ้อร์นีมากขนาดไหน คนช่วยงานอย่างคุณป้าหม่าสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน คนอย่างจ้าวจวินไม่มีทางเทียบได้

เวลาจ้าวจวินมาที่ร้านเกี๊ยว เขาจะคอยบ่นว่าร้านเล็กเกินไปบ้างล่ะ จากนั้นก็บอกว่าน่าจะซื้อพัดลมหรืออะไรบ้างล่ะ เมื่ออยู่ที่นี่ เขาจะทำตัวเหมือนตนเองเป็นเจ้านายที่รอให้คนมาคอยดูแล

เป็นคนที่มีจิตใจแย่จริง ๆ

หลินชิงเหอและคุณป้าหม่ามักจะมีเรื่องพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา แต่หลินชิงเหอไม่คิดจะเสียเวลาพูดถึงเรื่องของสวี่เชิ่งเหม่ยเลย

ในตอนเย็น เมื่อโจวเอ้อร์นีและโจวซื่อนีกลับมากินข้าว หลินชิงเหอจึงได้สอบถามกับโจวเอ้อร์นี

“หล่อนก็แค่ไปนั่งอยู่ที่นั่นเฉย ๆ นะคะ” โจวเอ้อร์นีตอบ

“นิสัยอย่างหนูไม่ทันคนอย่างหล่อน อย่าไปสนิทสนมกับหล่อนเด็ดขาด เข้าใจไหมจ๊ะ?” หลินชิงเหอเตือน

“อาสะใภ้สี่ไม่ต้องเป็นห่วง พี่สาวรองรู้เรื่องนี้ดีค่ะ รู้ด้วยว่าที่พี่เชิงเหม่ยมาตีสนิทกับพี่สาวรองก็เพราะมีเป้าหมายอยู่ที่โรงงานผลิตเสื้อผ้าของพี่เขยรอง” โจวซื่อนีพูด

ยัยเด็กคนนี้เปลี่ยนวิธีการเรียกได้อย่างรวดเร็วมาก แค่หวังหยวนให้นาฬิกาหล่อนมาเรือนหนึ่ง หล่อนก็เปลี่ยนไปเรียกเขาว่าพี่เขยรองทันทีเชียว

แต่ก็ไม่เป็นไร ด้วยสถานะของหวังหยวนและโจวเอ้อร์นีในตอนนี้ อีกไม่นานก็จะจัดงานแต่งขึ้นแล้ว ดังนั้นหล่อนจะเรียกเขาว่าพี่เขยก็ได้

“จำไว้ให้ดีล่ะ” หลินชิงเหอกล่าวอย่างพอใจ

ก่อนหน้านี้ตอนที่สวี่เชิ่งเหม่ยมาเยี่ยมเยียนที่นี่ หล่อนไม่เคยแวะไปหาเอ้อร์นีเลย ความรักใคร่สนิทสนมฉันญาติผู้พี่ผู้น้องมีมากขนาดไหนกันล่ะ? หล่อนเพิ่งจะเริ่มไปมาหาสู่ก็หลังจากที่ได้รู้ว่าโจวเอ้อร์นีกำลังคบหาอยู่กับแฟนหนุ่มที่ร่ำรวยและมากความสามารถอย่างหวังหยวน

ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่หล่อนมาที่นี่ หล่อนก็จะแวะไปหาโจวเอ้อร์นีเพื่อแสดงให้ดูเหมือนว่าพวกหล่อนสนิทสนมกัน

โจวเอ้อร์นียิ้มพลางตอบว่า “หนูทราบค่ะ อาสะใภ้สี่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

“ถ้าอาสะใภ้สี่รู้ว่าหนูยอมให้หล่อนเอาเปรียบแล้วละก็ คอยดูว่าอาสะใภ้สี่จะให้อภัยหนูหรือเปล่า” หลินชิงเหอเอ่ย

โจวเอ้อร์นียิ้มบางออกมา หล่อนเองก็ไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับสวี่เชิ่งเหม่ยญาติผู้น้องคนนี้มากนักจริง ๆ

ถ้ามีปัญหาอะไร หล่อนก็จะช่วยเท่าที่จะช่วยได้ อย่างไรพวกหล่อนก็เป็นญาติกัน ทว่าหล่อนก็มีหลักการของตนเอง ถ้าเกินเลยไปจากนั้น หล่อนก็จะไม่ยอมเช่นกัน

หลินชิงเหอไม่ได้กล่าวอะไรอีก ท้ายที่สุดแล้วบุคลิกลักษณะนิสัยของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป บุคลิกของเอ้อร์นีนั้นใจดีและอ่อนโยน ไม่อย่างนั้นจะทำให้หวังหยวนหลงใหลในตัวหล่อนได้อย่างไรกัน

ไม่ใช่เพราะบุคลิกนิสัยเช่นนี้ของหล่อนหรอกหรือที่หวังหยวนชอบ?

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีหวังหยวนอยู่ด้วย หลินชิงเหอก็ไม่ห่วงอะไรมากนัก เขาเป็นเจ้านายใหญ่ที่มีลูกจ้างอยู่เกือบ 500 คน กล่าวคือแม้จะมีท่าทีที่เป็นมิตร แต่เขาก็มีวิธีการรับมือที่ดี มิเช่นนั้นจะสามารถบริหารจัดการโรงงานที่ใหญ่โตเช่นนั้นได้หรือ

“หวังหยวนชอบกระเพาะปลาที่อาสะใภ้สี่ให้ไปเมื่อครั้งก่อนมากค่ะ บอกให้หนูซื้อไปให้เขาด้วย 100 หยวน” โจวเอ้อร์นีนึกขึ้นมาได้

“เขาจะกินมากขนาดนั้นได้ยังไงกัน? เอาให้เขาไปครึ่งชั่งก็พอจ้ะ กินมากนักจะไม่ดี กินอาทิตย์ละ 2 ครั้งก็พอแล้วจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ

เธอและชิงไป๋กิน 2 ครั้งต่ออาทิตย์ พวกลูก ๆ ก็เหมือนกัน

“เขาน่าจะเอาไปให้ที่บ้านน่ะค่ะ เขาอยากจะซื้อพวกปลิงทะเลกับหอยเป๋าฮื้อด้วยค่ะ” โจวเอ้อร์นีบอก

“จะเอาไปให้บ้านตระกูลหวังเหรอ” หลินชิงเหอกล่าว ถึงเธอจะรู้ว่าคุณแม่ของหวังหยวนไม่ชอบเอ้อร์นีเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังลดราคาให้ 20%

ถ้าหวังหยวนต้องการจะกิน เธอจะเคี่ยวทำซุปแล้วเรียกให้เขามากินด้วยกัน แต่สำหรับครอบครัวตระกูลหวัง หลินชิงเหอไม่สนใจอะไรพวกเขามากนัก

หวังหยวนตั้งใจจะเอากลับไปให้ที่บ้านจริง ๆ เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยได้กลับไปที่บ้านบ่อยนัก หลัก ๆ ก็เพราะว่าเขาไม่อยากจะกลับไปฟังแม่บ่นเรื่องที่ตนจะแต่งงานกับสาวชนบท

แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกชาย ซึ่งควรจะแสดงความกตัญญูต่อผู้ที่เขาจะต้องกตัญญูด้วย ยิ่งกว่านั้น การที่โรงงานของเขาสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นก็เกี่ยวข้องกับสายสัมพันธ์จากทางครอบครัวของเขาไม่มากก็น้อย

ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะนำของดี ๆ กลับไปให้มากมาย แต่คุณแม่หวังก็ยังคงไม่ไว้หน้าเขาอยู่ดี

หลังจากพักอยู่ที่นั่น 1 คืน หวังหยวนก็พบว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อ เขาจึงกลับมาทางนี้ทันที เขาชอบบรรยากาศบ้านครอบครัวโจวที่ผ่อนคลายและสบายใจมากกว่า

ด้วยเหตุนี้ หวังหยวนจึงไม่ได้เปิดเตาที่บ้านของตนเองมากนัก เขาจะไปกินที่บ้านท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว หรือไม่ก็ไปที่ร้านเกี๊ยว วันอื่นที่เหลือก็จะกินอยู่ที่โรงงาน ในหนึ่งเดือนเขากินอาหารที่บ้านครอบครัวโจวไปสักครึ่งเดือนได้

เขายังรู้สึกด้วยว่าครอบครัวตระกูลโจวดีต่อตนและถือว่าตนเป็นคนในครอบครัวของพวกเขาจริง ๆ

อันที่จริงแล้ว เหตุผลที่หวังหยวนไม่เดินไปบนเส้นทางที่ครอบครัวเขาจัดการให้ก็เนื่องมาจากเขารู้สึกว่าครอบครัวหวังของพวกเขานั้นน่าหดหู่ใจเกินไป รวมทั้งพี่ชายทั้งสองคนของเขาด้วย พวกเขาอยู่บนเส้นทางทางการเมืองจริง ๆ

ภรรยาของพวกเขาทางบ้านก็เป็นคนจัดการให้ ซึ่งหวังหยวนสัมผัสได้ว่าความรู้สึกระหว่างพี่ชายและพี่สะใภ้ของตนนั้นไม่ดีนัก

ดังนั้นหวังหยวนจึงรู้สึกโชคดีมากที่เขาเข้าสู่วงการทางธุรกิจ และด้วยความที่ธุรกิจของเขาเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดีทำให้ตัวเขามีสิทธิ์มีเสียงที่จะออกความเห็นได้ ถึงแม้จะเป็นเพียงเสียงเล็ก ๆ ในครอบครัวก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถหาภรรยาที่เขาชอบและชอบเขาได้ด้วยตัวเอง

เมื่อกลับมาถึงโรงงานในวันนั้น เขาก็ได้เจอกับสวี่เชิ่งเหม่ยในห้องรับแขก

“พี่เขยรอง” เมื่อเห็นเขากลับมา สวี่เชิ่งเหม่ยลุกขึ้นทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่เขยรอง ฉันได้ยินผู้จัดการบอกว่าวันนี้พี่อาจจะไม่ได้มาที่นี่น่ะค่ะ”

หวังหยวนจำสวี่เชิ่งเหม่ยได้และรู้เกี่ยวกับเรื่องของหล่อน เขาถามขึ้นว่า “มีอะไรเหรอครับ?”

“พี่เขยรอง ฉันอยากจะคุยข้อตกลงทางธุรกิจกับพี่น่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยดูสีหน้าท่าทางของเขาแล้วก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องสัพเพเหระ หล่อนจึงเอ่ยปากออกไปอย่างตรงประเด็น

“คุณน่ะเหรอ?” หวังหยวนเหลือบมองไปที่เธอแล้วพูดว่า “อยากจะคุยเรื่องธุรกิจกับผม ไปตามสามีของคุณมา ผมไม่รับยอดสั่งซื้อเล็ก ๆ”

สวี่เชิ่งเหม่ยละล่ำละลัก “พี่เขยรองคะ ยอดสั่งซื้อของฉันไม่น้อยหรอกนะคะ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็สามารถคุยกับผู้จัดการของผมได้เลย จำไว้ว่าคุณจะต้องวางเงินมัดจำ 30% ก่อนนะครับ” หลังจากพูดจบ หวังหยวนก็เรียกเพื่อนวัยเด็กของเขามา จากนั้นเขาก็หันกลับเข้าห้องทำงานของตนเองไป

สวี่เชิ่งเหม่ยหน้าเสีย หล่อนไม่คิดว่าหวังหยวนจะเป็นคนที่คุยด้วยได้ยากขนาดนี้ ตอนที่อยู่กับคุณตาคุณยาย เขาพยายามพูดจาเอาอกเอาใจพวกท่านมาก

“คุณนำค่ามัดจำ 30% มาด้วยหรือเปล่าครับ? ทางเราต้องขอให้จ่ายเงินตอนนี้ทันทีนะครับ” ผู้จัดการกล่าว

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset