บทที่ 479 เต็มใจ

บทที่ 479 เต็มใจ

กลับมาพูดถึงทางหลินชิงเหอ

ตอนนี้เธอยังไม่รู้เรื่องจุดพลิกผันใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันที่บ้าน

เธอ คุณแม่เวิง โจวเสี่ยวเหมยและเด็กเกือบโตอีก 2 คนอย่างกังจือกับโจวกุยหลายมาแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนกัน พวกเขากินอาหารกลางวันและอาหารเย็นที่นี่ด้วย จากนั้นจึงขับรถกลับบ้าน

ไม่ต้องบอกเลยว่าวันนี้เป็นวันที่น่าพึงพอใจมากเป็นพิเศษวันหนึ่ง

“ชิงเหอ ถ้าคุณมีเวลาก็พาคุณโจวมาที่บ้านของเรานะคะ ฉันจะเลี้ยงอาหารคุณมื้อใหญ่เลยค่ะ” หลินชิงเหอขับรถกลับมาส่งคุณแม่เวิง ขณะที่คุณแม่เวิงลงจากรถ หล่อนก็เอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง

“ต่อไปหากมีเวลาฉันจะไม่เกรงใจคุณแล้วนะคะ ตอนนี้เริ่มค่ำแล้ว พวกเราขอตัวกลับก่อนนะคะ” หลินชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้มและขับรถกลับบ้าน

คุณแม่เวิงเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ส่วนคุณพ่อเวิงกำลังนั่งดูทีวีรอหล่อนอยู่ เมื่อเห็นท่าทางหล่อนดูมีความสุข เขาจึงเอ่ยทัก “สนุกไหมครับ?”

“สนุกค่ะ คุณไม่ได้ไปเลยไม่รู้ว่าที่นั่นดีมากแค่ไหน โอ้ ครั้งหน้าถ้าชิงเหอมาชวน ฉันจะไปกับหล่อนอีกค่ะ” ท่านแม่เวิงวางกระเป๋าลงพร้อมกับตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

คุณพ่อเวิงออกความเห็น “ตอนนี้คุณกับอาจารย์หลินกลายเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันไปแล้วนะครับ”

คุณแม่เวิงพูด “เป็นพี่น้องที่ดีแล้วไม่ดีตรงไหนล่ะคะ? การได้เป็นพี่น้องที่ดีต่อกันเป็นเรื่องที่เยี่ยมมาก เป็นเรื่องยากมากนะคะที่คนนิสัยปราดเปรียวและเจ้าระเบียบอย่างอาจารย์หลินกับฉันจะกลายมาเป็นพี่เป็นน้องกันได้”

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะไม่เป็นญาติกันแล้ว?” คุณพ่อเวิงเย้าแหย่

บอกตามตรงว่า ยิ่งพวกเขาได้ทำความรู้จักกับครอบครัวตระกูลโจวมากขึ้นเท่าไหร่ คุณพ่อเวิงก็ยิ่งรู้สึกว่าการจับคู่ระหว่างลูกสาวคนเล็กกับโจวข่ายเป็นรื่องที่จริงจังมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีมาก

ทางนั้นเป็นครอบครัวที่ซื่อตรงและชื่อเสียงไม่ด่างพร้อย สิ่งสำคัญคือพ่อแม่เป็นคนที่มีเหตุผล ถ้าครอบครัวเช่นนี้สามารถกลายมาเป็นญาติจากการแต่งงานได้ ก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก

“คุณอยู่เฉย ๆ เถอะค่ะ ชิงเหอกับฉันเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันแล้ว ทำไมเราจะมาเป็นญาติกันด้วยไม่ได้คะ?” คุณแม่เวิงพูดอย่างแง่งอน

คุณพ่อเวิงก็มีท่าทีเช่นนั้นอยู่แล้ว อย่าว่าคุณแม่เวิงเลย พวกเขาแทบจะรอให้ลูกสาวคนเล็กได้แต่งออกไปไม่ไหว

ครอบครัวนั้นเป็นครอบครัวที่ยอดเยี่ยมมาก หลังแต่งออกไปแล้วจะไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีก

หล่อนอยากรู้ว่าลูกสาวคนเล็กของตนกำลังทำอะไรอยู่ที่โรงพยาบาลทหาร ลูกสาวไม่ได้โทรกลับมาหานานมากแล้ว ครั้งหน้าที่โทรกลับมา หล่อนก็จะบอกให้เหม่ยเจี่ยไปหาเสี่ยวข่ายเพื่อออกไปดูหนังหรือทำอะไรด้วยกัน

“กระเพาะปลาของฉันเคี่ยวเสร็จหรือยังคะ?” คุณแม่เวิงถามขึ้นอีกครั้ง

“เสร็จแล้วครับ อยู่ในหม้อน่ะ” คุณพ่อเวิงพูดอย่างอ่อนใจ “ของนั่นเหม็นคาวมากเลยนะครับ คุณดื่มมันเข้าไปได้ยังไง?”

“ไม่เป็นไรนี่ค่ะ เคี่ยวกับน้ำตาลกรวดด้วยไม่ใช่เหรอ? ความหวานก็กำลังดี คุณลองชิมดูไหมคะ? บำรุงร่างกายดีมากนะคะ” คุณแม่เวิงไปตักมาบางส่วนแล้วถามเขา

“ไม่เอาหรอกครับ” คุณพ่อเวิงปฏิเสธ เขาทนรสชาติของกระเพาะปลาไม่ได้เลย เป็นรสชาติที่อธิบายไม่ถูก

คุณแม่เวิงจึงเอามาดื่มเอง หลังจากดื่มเสร็จ หล่อนก็เม้มปากแล้วพูดว่า “มันเป็นวุ้นคุณภาพจริง ๆ นะคะ ช่วยบำรุงความงามได้”

“ที่บ้านมีเหลืออยู่อีกไม่มากแล้วนะครับ ต้องไปซื้อเอา” คุณพ่อเวิงพูด

คุณแม่เวิงบอกเขาว่าหากมีเวลาก็ช่วยซื้อมาให้หล่อนด้วย ทางนั้นมีส่วนลดให้ 20% ของที่กินอยู่ในตอนนี้เป็นของขวัญที่ได้มาจากหลินชิงเหอ

ส่วนลด 20% นี้เป็นสิ่งที่หล่อนขอเอาไว้เอง เดิมทีหลินชิงเหอบอกว่า หากหล่อนต้องการจะกินอีกก็ให้ไปบอกเธอ ฟังแล้วดูยิ่งใหญ่มาก ทว่าคุณแม่เวิงละอายเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้ สุดท้ายหล่อนจึงขอส่วนลด 20% เท่านั้น

หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรและยอมให้หล่อนทำตามนั้น

คุณแม่เวิงรู้สึกว่าวุ้นกระเพาะปลานี้เป็นของดีมาก ในแต่ละสัปดาห์หล่อนไม่ได้ดื่มมากนัก แค่ 2 ครั้งเท่านั้น กระนั้นหล่อนก็ยังรู้สึกว่าผิวพรรณของตนดีขึ้นมาก

นี่เป็นวิธีการบำรุงความงามอีกวิธีหนึ่งที่หลินชิงเหอแนะนำหล่อน คุณแม่เวิงไม่เข้าใจเรื่องการดูแลรักษาความงามเหล่านี้นัก หล่อนจึงทำตามคำแนะนำของหลินชิงเหอ แม้จะยุ่งยากไปสักนิด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันได้ผลจริง ๆ

คุณพ่อเวิงปล่อยให้หล่อนได้เลือกสรรในเรื่องเหล่านี้ต่อไป ท้ายที่สุดแล้วมันก็ได้ประโยชน์จริง ๆ ผิวพรรณของภรรยาดูมีเลือดฝาดขึ้น ผิวก็ขาวขึ้นอีกด้วย เห็นแล้วดูดีมากทีเดียว ดังนั้นเขาจึงตามใจหล่อน

หยุดกล่าวถึงครอบครัวตระกูลเวิงทางนี้ก่อน ฝ่ายหลินชิงเหอนั้นได้แวะไปส่งโจวเสี่ยวเหมยที่บ้านแล้วจึงขับรถกลับไปที่ร้านเกี๊ยว

“สนุกไหมครับ?” โจวชิงไป๋มองไปที่เธอแล้วถามขึ้น

“สนุกค่ะ ได้กินอาหารดี ๆ แล้วก็มีช่วงเวลาดี ๆ ด้วย ฉันได้ยินมาว่าทางนั้นจะเริ่มมีบริการนวดด้วยค่ะ เอาไว้วันหน้าเราไปนวดกันนะคะ” หลินชิงเหอเลิกคิ้ว

เนื่องจากตอนนี้มีพวกเด็ก ๆ อยู่ด้วย โจวชิงไป๋จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา

“พี่เอ้อร์นี พี่ต้องให้พี่หวังหยวนพาพี่ไปที่นั่นให้ได้นะครับ ที่นั่นสุดยอดมาก พี่ไม่ไปไม่ได้เลย ต้องไปที่นั่นนะครับ” โจวกุยหลายกระตุ้นโจวเอ้อร์นี

โจวเอ้อร์นีเม้มปากยิ้ม “ถ้ามีโอกาสพี่จะพูดกับเขานะจ๊ะ”

“อย่าลืมชวนพวกเราไปด้วยนะครับ พวกเราจะไม่อยู่เกะกะสายตาพวกพี่หรอก พอไปถึงที่นั่น พวกเราจะเที่ยวเล่นกันเอง พวกพี่ 2 คนก็ไปหาห้องเพื่อแช่ตัวกันได้ตามสบายเลยครับ” โจวกุยหลายกล่าว

โจวเอ้อร์นีใบหน้าแดงก่ำไล่ตีเขา โจวกุยหลายวิ่งหนีพร้อมกับหัวเราะคิกคักไปด้วย

คุณป้าหม่าเลิกงานกลับไปแล้ว ดังนั้นหลินชิงเหอจึงได้ยินเรื่องที่คุณป้าหม่าจับคู่หู่จือกับเฉินซานซานจากโจวชิงไป๋คืนนั้นหลังจากที่พวกเขากลับถึงบ้านแล้ว

หลินชิงเหอถึงกับตกใจ “ทำไมกะทันหันจังเลยคะ?”

นี่เป็นเรื่องกะทันหันจริง ๆ สวี่เชิ่งเฉียงเพิ่งจะก่อเรื่องชกต่อยขึ้น ไม่ใช่ว่าพี่สาวของเขาจะพาเขาจะมาที่นี่เพื่อขอโทษหรอกหรือ แต่เธอกลับได้ยินเรื่องคุณป้าหม่าจะจับคู่หู่จือกับเฉินซานซานก่อนเสียอีก? นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริง ๆ

“ไม่หรอกครับ ครอบครัวตระกูลเฉินน่าจะคิดถึงเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว” โจวชิงไป๋ตอบ

“เฉินซานซานเป็นคนที่ดี แต่หู่จือมีทะเบียนบ้านอยู่ที่ชนบท ทางครอบครัวเฉินมีเงื่อนไขอะไรไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม

โจวชิงไป๋เล่าคำพูดของท่านแม่โจวให้เธอฟังสั้น ๆ

หลินชิงเหอยิ้มออกมา แม่สามีของเธอไม่เลอะเลือนเลยในเรื่องอย่างนี้ นางละเอียดรอบคอบดีทีเดียว

นี่เป็นคำพูดที่ดีจริง ๆ

ส่วนเรื่องทะเบียนบ้าน ชิงไป๋ของเธอสัญญาไปแล้วว่าจะโอนย้ายมาเมื่อมีโอกาส

นี่ไม่ใช่การถามที่แย่นัก หากมีโอกาส การได้ย้ายมาที่นี่จะเป็นประโยชน์มาก เป็นผลดีต่อรุ่นลูกรุ่นหลานในอนาคต

ฉะนั้นการที่ชิงไป๋สัญญาไปเช่นนี้จึงไม่ได้เสียหายอะไร

ท้ายที่สุดแล้ว หญิงสาวดี ๆ ในปักกิ่งที่ไม่สนใจเรื่องทะเบียนบ้านใช่ว่าจะหากันได้ง่าย ๆ เมื่อเจอแล้วก็ต้องจับไว้ให้มั่นถูกต้องไหม?

“คุณบอกหู่จือหรือยังคะ?” หลินชิงเหอถาม

ทางเฉินซานซานนั้นเธอไม่จำเป็นต้องไปถาม คุณป้าหม่าจะต้องรู้จากปากหล่อนแล้วเพราะเรื่องนี้ทางครอบครัวตระกูลเฉินเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น มิเช่นนั้นคุณป้าหม่าคงจะไม่ทำงานในเรื่องที่ไม่ได้อะไรเช่นนี้หรอก

“บอกแล้วครับ” โจวชิงไป๋ตอบ

หลินชิงเหอเห็นปฏิกิริยาจากเขาก็รู้ว่าหู่จือคงต้องดีใจแน่ ความจริงเฉินซานซานอายุมากกว่าหู่จือเล็กน้อยแต่ไม่มากนัก เรื่องนี้ไม่ได้เป็นประเด็น เพราะหลัก ๆ แล้วหู่จือและเฉินซานซานต่างก็รู้จักกัน

เฉินซานซานนั้นไม่นับว่าเป็นคนสวย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถมองว่าหล่อนหน้าตาขี้ริ้วด้วยเช่นกัน แถมยังเป็นสาวปักกิ่งอีกด้วย ในเมื่อครอบครัวตระกูลเฉินแสดงท่าทีเช่นนี้ หู่จือจะไม่เต็มใจได้อย่างไร

“ถ้าคุณอยากจะนวด คุณไม่จำเป็นต้องไปหาคนอื่นนะครับ ผมจะนวดให้” จู่ ๆ โจวชิงไป๋ก็พูดขึ้นมา

หลินชิงเหอเกือบจะตามความคิดของเขาไม่ทัน หลังจากที่มึนงงไปชั่วอึดใจหนึ่ง เธอก็รวบรวมความคิดของตนเองได้ เขากำลังพูดถึงการไปนวดที่บ่อน้ำพุร้อนนั่นเอง

“จะมีพนักงานที่เป็นผู้หญิงด้วยค่ะ” หลินชิงเหอบอก

“ยังไงก็ไม่อนุญาตให้ไปนวดครับ ผมจะทำให้เอง” โจวชิงไป๋ยืนยัน

ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับเขาเลยที่จะทำให้ ก็แค่ในขณะที่เขานวดให้ต่อไปเรื่อย ๆ อารมณ์ความรู้สึกก็จะเปลี่ยนไปด้วยเท่านั้นเอง

…………………………………………………………………………………..

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset