บทที่ 480 เข้าใจผิด

บทที่ 480 เข้าใจผิด

คืนนั้นหู่จือนอนไม่หลับเลย

เพราะสำหรับเด็กหนุ่มคนนี้ ผลกระทบจากเหตุการณ์วันนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จุดสนใจควรจะอยู่ที่เรื่องของเฉียงจือไม่ใช่หรือ?

แล้วกลายมาเป็นเรื่องของเขาไปได้อย่างไร?

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยินดี ตรงกันข้ามเขารู้สึกดีใจมาก แม้จะรู้สึกขัดเขินนิดหน่อยกับการถูกจับคู่ แต่เขาก็คุ้นเคยกับเฉินซานซานดี

เพียงแต่เขาไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อนและพูดคุยกับหล่อนในฐานะเพื่อน เขาไม่กล้าคิดถึงเรื่องการแต่งงานกับใครอีกคนหนึ่งหรอก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กหนุ่มบ้านนอกที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในชนบท ดังนั้นอย่าหลอกตัวเองจะดีกว่า

ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ

แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคุณน้าสี่ของตนจะมาพูดเรื่องนี้กับเขาเป็นการส่วนตัว ทำให้เขาต้องอดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้และไปหาคุณยายเพื่อสอบถามถึงเรื่องนี้

คุณยายก็ยืนยันเรื่องนี้อย่างหนักแน่นเช่นกัน

และเป็นเพราะเหตุนี้ ในตอนนี้หู่จือถึงได้นอนไม่หลับ พูดง่าย ๆ ก็คือความสุขเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไปจนแทบจะรับไว้ไม่ไหว

“พี่มัวทำอะไรอยู่น่ะครับ? ทำไมยังไม่นอนอีก? นี่มันเวลาไหนกันแล้ว?” เมื่อกังจือลุกไปเข้าห้องน้ำก็สังเกตเห็นว่าเขายังไม่หลับ

สองคนพี่น้องปูที่นอนนอนอยู่บนพื้นในห้องนั่งเล่น การมีพัดลมเป่าอยู่ด้วยทำให้รู้สึกสบายมากทีเดียว

ส่วนโจวกุยหลายและโจวเฉวี่ยนเข้าไปนอนกันในห้อง ซึ่งทั้งสองก็นอนบนพื้นห้องไม่ได้ขึ้นไปนอนบนเตียงเช่นกัน เนื่องจากนอนบนพื้นเย็นสบายกว่า

“ไม่มีอะไร ไปนอนเถอะ” หู่จือพูด

กังจือและคนอื่นยังไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาจึงไม่ได้สนใจอะไรอีก

วันรุ่งขึ้นหู่จือตื่นขึ้นมาแต่เช้า จากนั้นก็ไปเดินเตร็ดเตร่อยู่รอบ ๆ บ้านตระกูลเฉิน เฉินซานซานเองก็ตื่นเช้ามาก แม้จะมีงานทำแต่หล่อนก็ต้องทำงานบ้านด้วย

หล่อนตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหาร เมื่อออกมาเทน้ำ หล่อนก็เห็นหู่จือ

ไม่รู้ว่าเฉินซานซานกำลังคิดอะไรอยู่ถึงทำให้ใบหน้าของหล่อนแดงระเรื่อขึ้น แต่กระนั้นหล่อนก็เหลือบมองหู่จือแล้วเดินเข้าไปหา “คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”

“ผมแค่…แค่ออกมาเดินเล่นน่ะครับ” หู่จือพูดตะกุกตะกัก

ตอนแรกเฉินซานซานก็รู้สึกประหม่าและขัดเขิน แต่เมื่อเห็นว่าเขาดูเขินอายยิ่งกว่าตนเองเสียอีกจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น หล่อนชำเลืองมองไปที่เขาพลางเอ่ยว่า “คุณรู้เรื่องที่พวกผู้ใหญ่จับคู่ให้เราแล้วใช่ไหมคะ?”

“ครับ คุณน้าบอกผมแล้ว” แม้จะรู้สึกขัดเขิน แต่หู่จือก็รู้ดีว่าไม่ได้เป็นเรื่องง่ายที่จะขอหญิงสาวดี ๆ จากปักกิ่งมาเป็นภรรยาของตนได้ ในเวลานี้เขาจึงมองไปที่เฉินซานซานด้วยสายตากระตือรือร้น

“แล้วคุณล่ะครับคิดยังไง?”

เฉินซานซานใบหน้าแดงปลั่งกับความเถรตรงของเขา หล่อนเบือนหน้าหนีโดยไม่พูดอะไร

“ผมไม่มีความสามารถอะไรมากนัก แต่ถ้าคุณเต็มใจจะแต่งงานมาเป็นภรรยาของผม ผมจะรักทะนุถนอมคุณไปตลอดชีวิต ผมไม่มีทะเบียนอยู่ในปักกิ่งก็จริง แต่คุณน้าบอกว่าตราบใดที่ผมทำงานหนัก ในอนาคตเมื่อผมเก็บเงินได้แล้ว ก็สามารถโอนย้ายทะเบียนบ้านมาที่ปักกิ่งได้ ซานซาน ถ้าคุณเต็มใจจะแต่งงานกับผม ผม…ผมหวงหู่จะดีต่อคุณไปชั่วชีวิตและจะทำงานให้หนักเพื่อให้คุณได้มีชีวิตที่ดีครับ!” หู่จือเอ่ยคำสัญญาด้วยสีหน้าแดงก่ำ

คำพูดเหล่านี้เขาคิดออกมาได้เมื่อคืนหลังจากที่นอนไม่หลับมาตลอดทั้งคืน เขาไม่ได้พูดเพียงเพื่อต้องการจะเกลี้ยกล่อมหญิงสาวเท่านั้น แต่เขาคิดแบบนั้นจริง ๆ จึงได้พูดออกมาเช่นนี้

เฉินซานซานใบหน้าแดงก่ำเหลือบตามองไปที่เขาพลางเอ่ย “เจ้าทึ่ม”

ในขณะที่หล่อนกำลังจะตอบออกไป หู่จือซึ่งกระวนกระวายใจอยู่ได้พูดขึ้นว่า “ซานซาน คุณเต็มใจที่จะเป็นแฟนของผมไหมครับ?”

“ไม่เต็มใจค่ะ” เฉินซานซานทำสีหน้าปั้นปึ่งใส่เขา จากนั้นก็วิ่งหน้าแดงกลับไป

หู่จือรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ตอนที่กลับไป เขาดูห่อเหี่ยวสิ้นหวัง

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังซื้อซาลาเปากับปาท่องโก๋จากคุณน้าเขยเล็กกลับไปให้คุณน้าสะใภ้สี่เป็นอาหารเช้า

หลินชิงเหอตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เนื่องจากวันนี้มีชั้นเรียนที่จะต้องสอนมากขึ้น เมื่อเห็นหู่จือกลับมา เธอก็หลบเลี่ยงโจวกุยหลายและคนอื่นซึ่งกำลังแปรงฟันกันอยู่ด้านนอกและถามเขาเสียงเบาว่า “ถึงน้าจะได้ยินมาจากน้าชิงไป๋แล้ว แต่น้าก็ยังต้องถามเธออีกอยู่ดี เธอรู้สึกยังไงกับซานซานจ๊ะ?”

หู่จือรู้สึกอยากจะร้องไห้ “น้าสะใภ้ครับ จริง ๆ ผมดีใจมากครับ แต่ซานซานไม่ได้เต็มใจเลย แต่ก็อย่าไปตำหนิหล่อนนะครับ เป็นธรรมดาที่หล่อนจะไม่เต็มใจ”

อย่างไรเขาก็เป็นเพียงเด็กบ้านนอกที่ไม่มีอะไรเลย เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะไม่เต็มใจแต่งงานกับเขา

กระนั้นหู่จือก็รู้สึกเศร้ามาก คืนที่ผ่านมาเขาได้ตระเตรียมใจแล้วว่าจะปฏิบัติต่อเฉินซานซานในฐานะที่เป็นคนรักของตน

คาดไม่ถึงว่าเฉินซานซานจะไม่เต็มใจ

“หือ?” หลินชิงเหอตกใจ เฉินซานซานไม่เต็มใจหรือ? จะเป็นไปได้ได้อย่างไร? ถ้าหล่อนไม่เต็มใจ คุณป้าหม่าจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม?

“ผมเพิ่งจะไปเจอซานซานที่นั่นมาครับ หล่อนบอกว่าหล่อนไม่เต็มใจ” หู่จือกล่าวอย่างเศร้าสร้อย

หลินชิงเหอตกตะลึงขึ้นมาจริง ๆ เฉินซานซานไม่เต็มใจหรือ?

หลินชิงเหอรีบไปหาคุณป้าหม่าก่อนจะได้กินอาหารเช้าเสียอีก ซึ่งคุณป้าหม่าก็กวักมือเรียกสีหน้ายิ้มแย้ม “อาจารย์หลิน มาค่ะ มากินด้วยกัน”

ครอบครัวของหล่อนกำลังรับประทานอาหารกันอยู่

“คุณป้าหม่าคะ รบกวนช่วยออกมาคุยอะไรกันหน่อยเถอะค่ะ” หลินชิงเหอพูด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะต้องพูดคุยกันด้วยความระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย

คุณป้าหม่าเดินออกมาหา

“คุณป้าคะ เรื่องจับคู่ระหว่างหู่จือกับซานซาน ครอบครัวเฉินเห็นชอบด้วยหรือเปล่าคะ?” หลินชิงเหอเข้าประเด็น

“เห็นด้วยสิจ๊ะ พวกเขาไม่ได้เร่งรัดเพราะอยากจะให้หนุ่มสาวได้ลองคบหากันเองก่อน เหมือนอย่างหวังหยวนกับเอ้อร์นีน่ะจ้ะ พอถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วก็ค่อยมาคุยถึงเรื่องแต่งงานกันได้ พวกเขายังอายุน้อยด้วยกันทั้งคู่” คุณป้าหม่าตอบอย่างร่าเริง

“เห็นด้วยหรือคะ?” หลินชิงเหอรู้สึกงุนงง “เมื่อกี้หู่จือไปหาซานซานมา ซานซานบอกว่าหล่อนไม่เต็มใจ”

“หา?” คุณป้าหม่าตกใจ “มีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง? ครอบครัวเฉินเป็นฝ่ายขอให้ป้ามาหยั่งเชิงถามก่อน”

นางเอ่ยปากเรื่องนี้ขึ้นมาก็เป็นเพราะแม่เฒ่าสวีเป็นคนขอร้อง ตอนนี้เฉินซานซานของครอบครัวตระกูลเฉินไม่ยินดีที่จะคบหากับเขาอย่างนั้นหรือ?

อย่างนี้จะเรียกว่าอะไร?

“ไม่นะจ๊ะ เป็นไปไม่ได้หรอก ป้าจะไปถามให้รู้เรื่อง พวกเขาจะทำอย่างนี้ไม่ได้!” คุณป้าหม่าไม่กินต่อแล้ว นี่ไม่ทำให้นางต้องเสียคนหรอกหรือ?

นางไปหาแม่เฒ่าสวี เมื่ออีกฝ่ายรู้เรื่องเข้า ก็ถามเรื่องราวเอากับหลานสาว

เฉินซานซานถึงกับผงะไป หล่อนพูดออกไปตอนไหนว่าไม่เต็มใจ? จากนั้นหล่อนก็นึกขึ้นมาได้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หู่จือเจ้าทึ่มคนนี้ดูไม่ออกเลยหรือว่าหล่อนล้อเล่น

“หู่จือ เจ้าทึ่มคนนี้นี่” เฉินซานซานอายหน้าแดงเรื่อตอบแม่เฒ่าสวี

“โอ้ ที่แท้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนี่เอง ทำเอาป้าตกใจไปหมด” เมื่อคุณป้าหม่าได้เห็นสีหน้าท่าทางของหล่อนแล้วจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เด็กสาวเขินอายจึงได้แกล้งพูดไปว่าหล่อนไม่เต็มใจ แต่หู่จือที่ไม่ได้คิดอะไรมากเข้าใจไปว่าหล่อนไม่เต็มใจจริง ๆ

“หู่จือเป็นหนุ่มซื่อ เขาคิดว่าเธอไม่ชอบเขา นี่เลยไม่ยอมกินอาหารเช้าด้วย ป้าเห็นท่าทางเขาเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจเลยละจ้ะ” คุณป้าหม่าเอ่ยอย่างขบขัน

“ให้เขากินอะไรบ้างดีกว่านะคะ ผู้ชายตัวโตขนาดนี้จะไม่กินอะไรเลยได้ยังไงกัน” เฉินซานซานพูด

“ปวดใจแทนเขาแล้วหรือจ๊ะ?” คุณป้าหม่าหยอกเย้า “ตกลง พอกลับไปแล้วป้าจะไปบอกหู่จือให้กินอาหารดี ๆ นะจ๊ะ”

………………………………………………………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset