บทที่ 481 ลับ ๆ ล่อ ๆ

บทที่ 481 ลับ ๆ ล่อ ๆ

เมื่อคุณป้าหม่ากลับมาอธิบายให้ฟัง หู่จือก็ตกตะลึง “ผมเข้าใจผิดไปเอง ซานซานเต็มใจหรือครับ?”

“เจ้าทึ่มเอ๊ย! เธอทำเรื่องปล่อยไก่ครั้งใหญ่จนฉันตกใจหมดเลย” หลินชิงเหอกลอกตาใส่เขา ถ้าเฉินซานซานไม่เต็มใจ มันจะน่าอึดอัดใจขนาดไหนกัน?

มันทำให้ดูเหมือนทางครอบครัวโจวกำลังใช้อำนาจรังแกอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ และทั้ง 2 ฝ่ายก็จะเข้าหน้ากันไม่ติด

“ป้าก็ตกใจเหมือนกันจ้ะ” คุณป้าหม่าหัวเราะ หล่อนไปที่บ้านตระกูลเฉินโดยที่ยังไม่ได้กินอาหารเช้าเลย “แต่จะโทษหู่จือก็ไม่ได้หรอกนะจ๊ะ เด็กหนุ่มอย่างเขาไม่เคยมีแฟนมาก่อน เขาจะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ยังไง?”

เป็นธรรมดาที่หญิงสาวจะรู้สึกเขินอาย แต่ในเมื่อหล่อนเต็มใจจะคุยกับเขา หล่อนก็ต้องยินดีด้วยเหมือนกันสิ หล่อนแค่อายที่จะพูดออกมาตรง ๆ เท่านั้น จึงแกล้งพูดไปว่าตนเองไม่ได้เต็มใจ แต่เจ้าหนุ่มซื่อบื้อคนนี้กลับเชื่อจนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว

คุณป้าหม่าอยากจะหัวเราะออกมา หลินชิงเหอพูดขำ ๆ ว่า “คุณป้าคะ ไปกินข้าวต่อเถอะค่ะ เด็กคนนี้เป็นคนโง่ ตอนนี้ฉันเริ่มเป็นกังวลแล้วละค่ะว่าพอซานซานได้คบกับเขาแล้ว หล่อนจะรู้ถึงข้อเสียของเขาจนไม่ต้องการเขาอีกแล้วหรือเปล่า?”

“แน่ใจไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละจ้ะว่ามันจะไม่เกิดขึ้น” คุณป้าหม่าหยอก

หู่จือเริ่มวิตกจึงรีบพูดขึ้นว่า “ผมไม่ได้โง่นะครับ ผมแค่ไม่รู้ว่าหล่อนล้อเล่นกับผมเท่านั้นเอง”

หลินชิงเหอและคุณป้าหม่าหันมามองหน้ากัน พวกเขารู้สึกขบขำมาก จากนั้นก็แยกย้ายกันไป ไม่ใส่ใจกับเขาอีก

หู่จือรีบกินอาหารเช้าและมุ่งหน้าไปที่ร้านเสื้อผ้าผู้ชายเพื่อช่วยจัดเตรียมสินค้า ธุรกิจในช่วงเช้าจะไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ หลัง 9 โมงเช้าไปแล้วธุรกิจถึงจะเริ่มกระเตื้องขึ้น

ดังนั้นหู่จือจึงไปที่ร้านเสื้อผ้าสตรีเพื่อไปหาเฉินซานซาน

เฉินซานซานสีหน้าแดงซ่านขึ้นเมื่อเห็นเขามาที่ร้าน หล่อนส่งต่อร้านให้พนักงานหญิงช่วยดูแลก่อนที่จะเดินออกมาหา

“ซานซาน คุณ คุณ…ผม ผม…” หู่จือพูดตะกุกตะกัก ใบหน้าของเขาทั้งคล้ำทั้งแดง เห็นได้ชัดว่ากำลังเขินอายอยู่

“ว่ายังไงคะ?” เฉินซานซานมองดูเขาด้วยสายตายิ้ม ๆ เจ้าคนทึ่มนี่

“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่…ผมแค่อยากจะมาเห็นคุณ” หู่จือตอบ

เฉินซานซานเบือนหน้า “มีอะไรให้ดูกันคะ”

“ดูคนหน้าตาดีครับ ดูแล้วรู้สึกดีเป็นพิเศษ” หู่จือพูด

ในตอนนี้กลายเป็นเฉินซานซานที่หน้าแดงก่ำไปทั้งใบหน้า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็กลับไปดูร้านเถอะค่ะ”

หู่จือพูดว่า “งั้นพอว่างแล้ว ผมจะมาใหม่นะครับ”

เฉินซานซานส่งเสียง “อือ”

แล้วก็เป็นเช่นนี้ ทั้งคู่จึงได้เริ่มคบหากันด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่ เป็นการคบโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การแต่งงาน

สองคนนี้เป็นคนที่เก็บความลับได้เก่งมากโดยแท้ แม้แต่กังจือก็ยังไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วกังจือก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้นในตอนที่เขานอนอยู่กับพี่ชายของตน ช่วงนี้พี่ชายของเขาเจ็บป่วยไปหรือเปล่า? บางครั้งเขาก็จะละเมอหัวเราะออกมาในตอนกลางดึก ช่างน่าขนลุกเสียจริง

กังจือสนิทสนมกับโจวกุยหลายมาก ดังนั้นเขาจึงมาบ่นให้โจวกุยหลายฟัง “พี่ชายของฉันโดนของเข้าไปใช่ไหมเนี่ย? ไม่รู้ว่าควรจะต้องไปโรงพยาบาลหรือเปล่า!”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” โจวกุยหลายกำลังดูภาพถ่ายจำนวนหลายสิบภาพที่เพิ่งล้างฟิล์มมา ตอนนี้เขามีภาพถ่ายทั้งหมด 4 อัลบั้มแล้ว ทั้งหมดล้วนบรรจุภาพถ่ายเอาไว้เป็นอัลบั้มใหญ่มาก

“นายลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปซะ เพราะตอนนี้เขาชอบพูดละเมอออกมากลางดึกแล้ว ฉันไม่ได้ยินหรอกว่าเขาพูดว่าอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังหัวเราะขึ้นมาด้วย แถมเสียงหัวเราะก็หลอนสุด ๆ ไปเลย” กังจือบอก

โจวกุยหลายรู้สึกแปลกใจจนเงยหน้าขึ้นมามองเขา “พี่หู่จือมีนิสัยแบบนี้ด้วยเหรอ? ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเรายังนอนอยู่ในห้องเดียวกัน ไม่เห็นเขาเป็นแบบนี้เลย”

“ก่อนหน้านี้เขาไม่เป็น เพิ่งจะมามีนิสัยแปลก ๆ แบบนี้เมื่อเร็ว ๆ นี้นี่เอง เมื่อคืนฉันตกใจแทบตายตอนที่เขาเข้ามากอดฉัน กอดแบบแนบแน่นเลยจริง ๆ นะ!” กังจือพูด

โจวกุยหลายอึ้งงันไป “สถานการณ์เป็นยังไงน่ะ? ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจอะไรเลย?”

“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นฉันจะพูดออกมาทำไมล่ะว่าเขาป่วยและควรจะถูกส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือเปล่า?” กังจือตอบ

โจวกุยหลายลูบคางตนเอง ครุ่นคิดอยู่สักพัก “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าพี่หู่จือกำลังอยู่ในช่วงกลัดมันกันนะ?”

“กลัดมัน?” กังจือไม่เข้าใจ

“สรุปสั้น ๆ ก็คือ เขาอยากจะแต่งงานมีภรรยาน่ะ” โจวกุยหลายตอบ

กังจือตัวสั่นขึ้นมาในทันที คงไม่ใช่ว่าเมื่อคืนนี้พี่ชายของเขากำลังฝันเรื่องแต่งงานมีภรรยาอยู่เลยปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นภรรยาหรอกนะ!

โจวกุยหลายฉีกยิ้ม “จริง ๆ นะ ฟังดูแล้วมีแววว่าจะเป็นแบบนั้นมากทีเดียว นี่ไม่ใช่วัยรุ่นที่อยู่ในช่วงกลัดมันหรอกเหรอ? ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ฉันควรให้ม้าไปช่วยดูว่าแถว ๆ นี้มีใครเหมาะกับเขาบ้างแล้วล่ะ ถ้ามีจะได้แนะนำหล่อนให้กับเขา จะได้ช่วยให้เขาเลิกหาภรรยาที่มีอยู่แต่ในความฝันเท่านั้น ฟังดูน่าสมเพชออก”

“สมเพชฉันแทนเถอะ ฉันไม่อยากจะนอนกับเขาอีกแล้ว คืนนี้ฉันจะไปนอนกับนาย” กังจือพูด

“งั้นนายก็ไปนอนบนเตียงคนเดียว มันร้อนเกินไป” โจวกุยหลายพูด

แม้เด็กหนุ่มทั้ง 2 คนจะพูดแบบนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จนมีวันหนึ่งโจวกุยหลายได้ไปที่ร้านเครื่องดื่ม เขาตั้งใจจะไปเอาไอศกรีมแท่งซึ่งไม่มีเหลืออยู่ที่บ้านแล้วกลับมาแช่เพิ่มไว้ในตู้เย็นที่บ้าน

จากนั้นสายตาที่เฉียบคมของเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาเห็นหู่จือกำลังทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เดินเข้าไปในโรงหนัง

โจวกุยหลายครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ แค่จะดูหนังต้องทำท่าเหมือนเป็นโจรขโมยเลยหรือ? อีกทั้งตอนนี้ก็เป็นเวลาเลิกงานแล้ว ใครจะไปว่าอะไรได้หากเขาต้องการจะมาดูหนัง?

ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน โจวกุยหลายก็ได้เห็นคนที่คุ้นเคยอีกคนหนึ่ง นั่นไม่ใช่เฉินซานซานหรอกหรือ?

แตกต่างจากท่าทางที่เหมือนกำลังทำความผิดอยู่ของหู่จือ เฉินซานซานมีท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติมากทีเดียว เห็นแล้วไม่มีอะไรให้น่าสงสัยเลย

ถ้าเป็นคนอื่น บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่โจวกุยหลายคิดต่างออกไป วันก่อนกังจือเพิ่งมาบ่นเรื่องที่พี่ชายของตนมีความฝันแบบที่ไม่ดีต่อสุขภาพให้เขาฟังเอง และเพราะเรื่องนี้กังจือจึงมานอนอยู่บนเตียงในห้องของเขา

ดังนั้นโจวกุยหลายจึงชะงักงันไปชั่วขณะ จากนั้นความลับที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้นมาในหัว สองคนนี้คงจะไม่ได้มีเรื่องชู้สาวกันหรอกใช่ไหม?

โจวกุยหลายตัดสินใจตามทั้งคู่ไปโดยไม่ลังเล แน่นอนว่าเขาเห็นทั้งคู่ต่อคิวซื้อตั๋วหนังอยู่ด้วยกัน พวกเขายังพูดคุยและหัวเราะกันด้วย เมื่อได้เห็นทั้ง 2 คนเป็นเช่นนี้ ก็ชัดเจนเลยว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดา!

โจวกุยหลายรู้สึกนับถือมาก เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลยจริง ๆ หู่จือดูเหมือนเป็นคนซื่อบื้อ แต่จริง ๆ กลับซ่อนคมไว้ เขาชวนพี่ซานซานมาดูหนังจริง ๆ ด้วย ไม่รู้ว่าพัฒนาความสัมพันธ์กันมานานแค่ไหนแล้ว!

โจวกุยหลายไม่กล้าไปบอกป๊ากับม้าของตน ด้วยเกรงว่าหากป๊ากับม้ารู้เรื่องแล้วจะใช้ไม้ไล่ตีนกยวนยาง(1) เขาจึงไปที่ร้านเสื้อผ้าผู้ชายเพื่อไปหากังจือ

อย่างไรก็ดี ตอนนี้กังจือได้ออกไปที่โรงเรียนภาคค่ำแล้ว คุณน้าสะใภ้สี่ของเขาตรวจดูการบ้านของเขาอย่างใกล้ชิด เขาจึงไม่สามารถเรียน ๆ เล่น ๆ โดยไม่จริงจังได้

โจวกุยหลายขี่จักรยานไปหากังจือที่โรงเรียนภาคค่ำเป็นการพิเศษ ช่วยไม่ได้นี่นะ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเกินไป

“หา? พี่ชายฉันคบหาอยู่กับพี่ซานซานงั้นเหรอ?” กังจือตกตะลึง

“จะหลอกได้ยังไงเล่า? ก็ฉันเห็นมากับตาของตัวเอง พี่หู่จือทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ เข้าไปในโรงหนังก่อน จากนั้นพี่ซานซานก็ตามเข้าไป ทั้ง 2 คนเข้าแถวซื้อตั๋วหนังด้วยกัน แล้วยังคุยกันหัวเราะกันด้วยล่ะ ฉันเห็นมาด้วยตาของตัวเองเลย!” โจวกุยหลายกล่าว

………………………………………………………………………………………………….

(1) หมายถึง การทำให้คู่รักต้องเลิกกัน / ทำให้คู่รักต้องพลัดพรากจากกัน โดยคนจีนมีความเชื่อว่า นกยวนยางหรือนกเป็ดน้ำแมนดาริน เป็นนกที่มีคู่เพียงตัวเดียวไปจนตาย นกยวนยางจึงเป็นสัญลักษณ์ของความรักมั่นและรักเดียวใจเดียว

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset