บทที่ 519 กลับไปแต่งงานที่บ้านเกิด

บทที่ 519 กลับไปแต่งงานที่บ้านเกิด

เมื่อสองสามีภรรยากลับเข้าบ้านไปแล้ว จางเหมยเหลียนก็หมุนกายเข้าไปในบ้านตระกูลจาง

พอสะใภ้บ้านจางเห็นหล่อนก็รีบเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเธอไม่ทักทายพวกเขาละ?”

ก่อนหน้านี้หล่อนไม่คิดจะเอาใจหลินชิงเหอแล้ว เพราะว่าเดิมทีหล่อนก็ไม่ชอบเธออยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน

จางเหมยเหลียนกลับบ้านครั้งนี้เพื่อมาเอาทะเบียนบ้าน มาเอาทะเบียนบ้านไปทำไมน่ะเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะจะเอาไปจดทะเบียนสมรสแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีกละ

สะใภ้บ้านจางก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าจางเหมยเหลียนเด็กคนนี้คบกับหลานห่าง ๆ ของตระกูลโจวแล้ว

ตอนนี้ถึงขั้นจะแต่งงานกันแล้วด้วย

ถ้าอย่างนั้นต่อไปพวกหล่อนก็จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกับตระกูลโจวแล้วน่ะสิ

สะใภ้บ้านจางดีใจแทบตาย ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อย่างไรทางนั้นก็ต้องให้ตำแหน่งงานกับหล่อนเสียหน่อยแล้วล่ะ!

จางเหมยเหลียนเบ้ปาก “พี่สะใภ้อย่าได้คิดแบบนั้นเลยค่ะ”

“แกพูดอะไรน่ะ ถ้ากลายเป็นครอบครัวเดียวกับตระกูลโจวแล้ว ทำไมพี่สะใภ้ของแกจะขอตำแหน่งงานไม่ได้!” ย่าจางที่เพิ่งป้อนข้าวให้จินซุนหลานชายของนางส่งเสียงเย็นขึ้นจมูก

นางคิดว่าการที่หลานชายของบ้านใหญ่ตระกูลโจวได้แต่งงานกับลูกสาวของนางนับว่าเป็นเรื่องโชคดีที่สุดในชีวิต แต่หลานชายห่าง ๆ คนนั้นของตระกูลโจวกลับมีทะเบียนบ้านอยู่ในชนบท

ครั้งนี้ลูกสาวของนางไปที่บ้านเกิดของเขาเพื่อจดทะเบียนสมรส ซึ่งถือเป็นการเสียเปรียบอย่างมาก

แล้วจะผิดอะไรหากจะขอตำแหน่งงานจากบ้านใหญ่ตระกูลโจว?

“ความสัมพันธ์ของบ้านใหญ่โจวกับสวี่เชิ่งเฉียงไม่ค่อยจะดี แม่กับพี่สะใภ้อย่าไปหาพวกเขาเลยค่ะ” จางเหมยเหลียนพูด

หล่อนยังรู้สึกหวั่นเกรงอยู่ เพราะต้องไปเอาสินค้าจากที่นั่น ดังนั้นบ้านใหญ่โจวจะไม่รู้ได้อย่างไร?

“ความสัมพันธ์ไม่ดี? มันหมายความว่ายังไง?” สะใภ้บ้านจางนิ่งอึ้ง

จางเหมยเหลียนกังวลว่าพี่สะใภ้ของหล่อนจะไปขอตำแหน่งงานที่นั่นจึงตอบกลับไป “พวกเขาไม่สนใจสวี่เชิ่งเฉียงหรอกค่ะ”

พูดว่าไม่สนใจยังออกจะอ้อมค้อมไปหน่อยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาตัดความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นไปแล้ว ไม่อย่างนั้นบ้านใหญ่โจวจะไม่พูดเรื่องของหล่อนกับสวี่เชิ่งเฉียงแม้แต่ประโยคเดียวแบบนี้หรือ?

เดิมทีหล่อนยังคิดว่าหากบ้านใหญ่โจวมาแยกหล่อนกับสวี่เชิ่งเฉียงออกจากกัน หล่อนจะพาครอบครัวหล่อนไปโวยวายใส่ให้ขายหน้าไปเลย

หล่อนกับสวี่เชิ่งเฉียงหลับนอนกันแล้ว แต่เงินเก็บรวมกันยังมีอยู่ไม่เท่าไหร่ หล่อนจะปล่อยผ่านไปแบบนี้ได้ยังไง ขอเพียงพวกเขามาแยกหล่อนกับเชิ่งเฉียงจากกัน ตระกูลจางของหล่อนก็จะไปโวยวายให้ดู

แต่ใครจะคิดว่าบ้านใหญ่โจวกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับเลยสักนิดเดียว

อีกทั้งโรงงานเสื้อผ้าที่นั่นก็กลับมาซื้อขายตามปกติ นี่ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ? ว่าบ้านใหญ่โจวไม่สนใจสวี่เชิ่งเฉียงแล้ว

จางเหมยเหลียนไม่กลัวต่อเรื่องนี้ ขอเพียงฝ่ายนั้นไม่หยุดขายสินค้าให้ก็พอ การที่บ้านใหญ่ตระกูลโจวไม่สนใจสวี่เชิ่งเฉียงน่ะดีที่สุดแล้ว ไม่อย่างนั้นหล่อนจะอยู่กับสวี่เชิ่งเฉียงยังไง จะเปิดร้าน จะหาเงินได้ยังไง?

ตอนนี้ร้านสามารถทำกำไรได้ 300-400 หยวนต่อ 1 เดือนเชียวนะ เยอะยิ่งกว่าร้านของสวี่เชิ่งเหม่ยเสียอีก

พอพูดถึงสวี่เชิ่งเหม่ย ใบหน้าของจางเหมยเหลียนก็ปรากฏแววเยาะเย้ย ตอนนี้สวี่เชิ่งเหม่ยถูกหล่อนหักหน้าสำเร็จแล้ว แถมถูกบ้านใหญ่ตระกูลโจวเกลียดอีกต่างหาก พอไม่มีบ้านใหญ่โจวสนับสนุนสวี่เชิ่งเหม่ยจะนับเป็นตัวอะไรได้?

หล่อนก็เป็นแค่คนหูลู่หางตก*คนหนึ่งในตระกูลจ้าวเท่านั้นล่ะ!

*คนที่กลัวโน่นกลัวนี่ไม่กล้าสู้คน

แต่ย่าจางและสะใภ้บ้านจางตกตะลึงไปแล้ว

“ไม่สนใจสวี่เชิ่งเฉียงหมายความว่ายังไง?” สะใภ้บ้านจางถามกลับทันที

“แกพูดให้มันชัดเจนหน่อยสิ!” ท่านย่าจางก็ถามเช่นกัน

“ไม่สนก็คือไม่สน ไม่ต่างกับตัดความสัมพันธ์อะไรเทือกนั้นน่ะค่ะ” จางเหมยเหลียนพูด

“ตัดความสัมพันธ์ไปแล้ว แล้วแกจะแต่งงานกับเขาอีกทำไม?” ย่าจางด่า “ไม่มีญาติฝั่งตระกูลโจวแล้วคนบ้านนอกคนหนึ่งอย่างเขาจะสามารถทำอะไรได้ แต่แกกลับมาเอาทะเบียนบ้านและไปแต่งงานที่ชนบทกับมันอย่างนั้นเหรอ? แกมีสมองเอาไว้คั่นหูหรือไง!”

“ฉันก็คิดเหมือนกันค่ะ แถมยังกลวงไม่น้อยด้วย!” สะใภ้บ้านจางด่าขึ้นอีกคน

ที่แท้ก็ตัดความสัมพันธ์ไปแล้ว หล่อนก็คิดอยู่ว่าทำไมสองสามีภรรยาไม่แม้แต่จะทักทายเลย ก่อนหน้านี้หล่อนยังคิดจะให้น้องสามีหาตำแหน่งงานสักหนึ่งตำแหน่งให้หล่อนอยู่เลย ใครจะไปคิดว่าหล่อนจะคว้าน้ำเหลวอีกแล้ว

หล่อนถึงกับเอ่ยอย่างเหลืออด “น้องเล็ก เธอปล่อยตัวเองให้ตกเป็นรองเกินไปหน่อยแล้ว เขาเป็นคนชนบทคนหนึ่ง ไม่มีญาติคอยช่วยเหลือแล้วเขาจะทำอะไรสำเร็จได้ยังไง? เธอไม่มีคนให้แต่งงานจนต้องแต่งกับเขาแล้วเหรอ!”

ที่จริงจางเหมยเหลียนก็ไม่ได้อยากจะแต่งงาน การอยู่กินกับสวี่เชิ่งเฉียงแบบนี้นับว่าไม่เลวเหมือนกัน ใครจะรู้ว่าในอนาคตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

แต่สวี่เชิ่งเฉียงยังคงยืนกรานจะแต่งงานกับหล่อนให้ได้ หล่อนบ่ายเบี่ยงมานานจนไม่สามารถยื้อเวลาต่อไปได้แล้ว จนในที่สุดสวี่เชิ่งเฉียงก็ยื่นคำขาดว่าถ้าหล่อนไม่แต่งงานกับเขาก็ไม่ต้องเปิดร้านค้านั่นต่อแล้ว

นั่นทำให้คนที่กลัวความจนอย่างจางเหมยเหลียนทอดทิ้งเงินหลายร้อยหยวนต่อไปไม่ได้จริง ๆ หล่อนจะทนปล่อยมันไปได้ยังไง?

ดังนั้นจางเหมยเหลียนที่แม้ไม่เต็มใจแต่งงานก็ทำได้เพียงต้องแต่งงานกับเขา

จางเหมยเหลียนหยิบทะเบียนบ้านและไปแต่งงานกับสวี่เชิ่งเฉียงที่ชนบท

แม้ว่าสวี่เชิ่งเฉียงจะรำคาญพี่สาวตัวเอง แต่เขาก็ยังไปหาสวี่เชิ่งเหม่ยเพื่อบอกกล่าวเรื่องนี้กับหล่อน พอสวี่เชิ่งเหม่ยทราบก็โกรธจนหายใจแทบไม่ออก

น้องชายของหล่อนจะแต่งงานกับจางเหมยเหลียนนั่นจริง ๆ น่ะเหรอ? แล้วหลังจากนี้จะทำอย่างไร? จางเหมยเหลียนไม่ใช่ผู้หญิงดี ๆ คนหนึ่งนะ!

สวี่เชิ่งเหม่ยเสียใจภายหลังแทบบ้า เสียใจว่าทำไมตอนแรกตัวเองต้องจับมือร่วมกันเปิดร้านกับจางเหมยเหลียน จนผลที่เกิดขึ้นมันย้อนกลับมาทำลายน้องชายและทำร้ายตระกูลสวี่ของหล่อนในวันนี้

แต่สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งโมโหก็คือ การที่บ้านใหญ่โจวไม่ออกหน้าคัดค้านเรื่องนี้เลย!

พวกเขารู้ว่าจางเหมยเหลียนเป็นผู้หญิงแบบไหน แต่กลับทำเพียงมองน้องชายหล่อนแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ไม่ออกมาช่วยหล่อนขัดขวางเลยสักนิดเดียว!

สวี่เชิ่งเฉียงไม่สนใจอะไรมาก แม้พี่สาวจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้และขุดเรื่องที่จางเหมยเหลียนไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง สวี่เชิ่งเฉียงก็ไม่สนใจ

จางเหมยเหลียนไม่ดีตรงไหน? หล่อนมีความสุขที่จะอยู่กับเขา เป็นภรรยาของเขา ถึงขนาดเอาทะเบียนบ้านตัวเองกลับไปจดทะเบียนสมรสกับเขาที่ชนบท หล่อนมีตรงไหนที่ไม่ดีกัน?

พอสวี่เชิ่งเฉียงคิดว่าตนพาหญิงสาวจากเมืองหลวงกลับบ้านไปแต่งงานได้และทำให้ชายหนุ่มในชนบทอิจฉา เขาก็ลำพองใจจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

วันต่อมาเขาได้ทำการปิดร้าน หลังจากนั้นก็พาจางเหมยเหลียนกลับบ้านเกิดของตนเอง

พวกเขากำลังจะแต่งงานแล้วโดยที่บ้านใหญ่ตระกูลโจวไม่รู้เรื่อง เป็นโจวเอ้อร์นีที่โทรศัพท์กลับไปหาแม่ของหล่อน จึงได้ยินที่แม่บอก

โจวเอ้อร์นีจึงเอาเรื่องนี้มาบอกแก่หลินชิงเหอ หลินชิงเหอก็โทรกลับไปหาสะใภ้ใหญ่โจวเช่นกัน

“ผู้หญิงคนนั้นชื่อจางเหมยเหลียน ชุมชนเล็ก ๆ ทางนี้ของเราพากันลือว่าหล่อนผ่านมือผู้ชายมาแล้วหลายคน เวลาคบกันก็จะพากันกลับไปทำเรื่องอย่างว่าที่หอพัก ได้ยินว่าหล่อนเคยท้องมาแล้ว ท้องกี่ครั้งฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าแต่งกับคนแบบนั้นแล้วต่อไปเขาจะมีชีวิตที่ดีได้ยังไงคะ” หลินชิงเหอพูด

สะใภ้ใหญ่ได้ยินก็แทบประคองโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่ “แต่พี่สาวใหญ่กลับดีใจใหญ่เลยนะ หล่อนยังให้พี่ชายใหญ่เรียกพวกเราไปดื่มสุรามงคลด้วยซ้ำ”

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ ก่อนหน้านี้สวี่เชิ่งเหม่ยเคยคิดจะส่งเสริมจางเหมยเหลียนคนนี้กับหู่จือด้วยค่ะ ยังดีที่หู่จือรู้ความ พอเพื่อนบ้านของฉันรู้ก็เอาเรื่องนี้มาบอกฉัน ถึงได้ไม่ทำเรื่องผิดพลาดอะไรไป” หลินชิงเหอพูด

“เชิ่งเหม่ยเคยคิดส่งเสริมหล่อนกับหู่จืองั้นเหรอ? เชิ่งเหม่ยไม่รู้เรื่องพวกนั้นหรือไง?” สะใภ้ใหญ่ถาม

“หล่อนทำงานที่นี่มานานขนาดนี้ ทำไมจะไม่รู้คะ หล่อนตั้งใจน่ะสิไม่ว่า หล่อนอยากจะสาดน้ำเน่าให้กับหู่จือ ให้ฉันมองหน้าพี่สาวรองไม่ติดน่ะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างสงบ…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รับกรรมไปจุก ๆ เลยนะเชิ่งเหม่ย นี่ยังเคืองไม่หายเลยที่เธอบังอาจยัดเยียดนางจางให้หู่จือหนุ่มซื่อของผู้แปล

โทษคนอื่นไปทั่วแต่ไม่เคยโทษตัวเองเลย นิสัยเหมือนใครนะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset