บทที่ 525 เวิ่งกั๋วต้งผู้ย่างเข้าวัยเลขสาม

บทที่ 525 เวิ่งกั๋วต้งผู้ย่างเข้าวัยเลขสาม

หลินชิงเหอไม่รู้เรื่องเลยว่าวิธีดูแลหลังคลอดของโจวซานนีต้องดูแลอย่างไร โชคดีที่มีโจวซื่อนีรับหน้าที่นี้พอดี

เธอจึงให้ค่าจ้างหล่อนไปดูแลโจวซานนีหลังคลอด

หลังจากที่โจวซานนีพักฟื้นในโรงพยาบาล 3 วัน หล่อนก็กลับมาพักต่อที่ร้านขายอาหารทะเลแห้ง

เด็กทารกน้อยคนนั้นเป็นเด็กดีมาก อุ้มง่าย ตราบใดที่ล้างก้นสะอาดและได้กินอิ่ม เขาก็นอนหลับปุ๋ย ต่อให้มีเสียงดังอย่างไรก็ไม่ตื่น

ในตอนเช้าโจวซื่อนีจะเป็นคนมาดูแลเด็ก รวมทั้งช่วยดูแลงานขายอาหารทะเลแห้งด้วย งานซักผ้าอ้อมหรืออะไรสำหรับเด็กหล่อนก็ทำทั้งหมด แต่ในตอนทำอาหาร หล่อนก็จะให้หลี่อ้ายกั๋วเป็นคนดูแลเด็กแทนตน และในตอนค่ำหลังจากที่ปิดร้านแล้วเขาก็เป็นคนซักผ้าอ้อมด้วยตนเองโดยไม่มีปัญหาอะไร

ส่วนหล่อนจะจัดเตรียมผ้าอ้อมเด็กจำนวนไม่น้อยให้

โจวซานนีสามารถอยู่ไฟได้อย่างสบายมาก เพราะว่าอากาศในช่วงนี้ไม่ร้อนมากนัก แน่นอนว่ามันก็ไม่หนาวมากเช่นกัน นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก

แต่ขณะที่โจวซื่อนีกำลังดูแลหลังคลอดให้โจวซานนีอย่างดีนั้น พี่สาวของหล่อนก็เริ่มมีเค้าลางการเคลื่อนไหวแล้ว

เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น แต่หนึ่งเดือนนี้ท้องของโจวเอ้อร์นีกลับใหญ่ขึ้นจนน่าตกใจ ขนาดหวังหยวนเห็นแล้วก็ยังตกใจ ช่วงนี้เขาจึงไม่ได้ไปทำงานที่โรงงานเสื้อผ้าแต่มอบหมายงานให้ผู้จัดการเป็นคนดูแล ส่วนตนเองก็อยู่ที่บ้านคอยดูโจวเอ้อร์นี

ท้ายที่สุดแล้วครรภ์นี้ของโจวเอ้อร์นีก็เป็นครรภ์แฝด พอครบกำหนดแปดเดือน ท้องของหล่อนก็เริ่มเกิดการเคลื่อนไหวแล้ว

ซึ่งท้องแฝดมักจะเกิดเหตุคลอดก่อนกำหนดได้เป็นธรรมดา ต่อให้ยังไม่ครบเดือนดีก็ตาม

เมื่อหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋มาถึง โจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินก็มาถึงก่อนแล้ว หวังหยวนเองก็ยืนรออยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางกระวนกระวาย

พวกเขารอแล้วรอเล่าจนสองชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่คลอดเสียที หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋เห็นดังนั้นจึงขอตัวกลับมาก่อน ซูต้าหลินเองก็ขอกลับเช่นเดียวกัน คนที่ยังรออยู่จึงเหลือเพียงโจวซื่อนี โจวเสี่ยวเหมย และหวังหยวนเท่านั้น

สุดท้ายหวังหยวนก็บอกให้โจวเสี่ยวเหมยกลับไปก่อน เหลือเพียงโจวซื่อนีที่ยืนรอเป็นเพื่อนเขา

เมื่อถึงรุ่งสาง เด็กทั้งคู่จึงได้ถือกำเนิดออกมา และก็เป็นอย่างที่หวังหยวนและโจวเอ้อร์นีคาดหวัง พวกเขาเป็นแฝดมังกรหงส์คู่หนึ่งจริง ๆ

หวังหยวนดีใจเสียจนอธิบายออกมาไม่ได้ ส่วนโจวซือนีก็รีบกลับไปทำของกินมาให้เอ้อร์นีกิน

โจวซานนีคลอดแล้วโจวเอ้อร์นีก็ยังมาคลอดอีก สองพี่น้องจึงต้องมาอยู่ด้วยกันแล้ว

ตอนที่คุณแม่เวิงมาถึงและได้ยินหลินชิงเหอพูดเรื่องนี้ หล่อนก็พูดอย่างกังวลใจ “ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกั๋วต้งเลยค่ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมแต่งงานมีภรรยา นี่ก็อายุมากแล้วด้วย”

“มาตรฐานของกั๋วต้งคงจะสูงมากมั้งคะ” หลินชิงเหอพูด

“ฉันก็ไม่รู้ค่ะว่าเขาชอบแบบไหน นัดดูตัวให้เขาไปเขาก็ไปดู แต่ต่อให้มีสาว ๆ มาถูกใจเขา เขากลับไม่ถูกใจสาวคนไหนเลยค่ะ” คุณแม่เวิงเอ่ยอย่างอัดอั้น

หลินชิงเหออยากจะหัวเราะเช่นกัน ที่จริงอายุของเวิงกั๋วต้งยังไม่ถือว่ามาก เพียงแค่ถึงช่วงเวลาเหมาะสมที่จะแต่งงานแล้วก็เท่านั้น แต่มันกลับทำร้ายจิตใจของคุณแม่เวิงเป็นอย่างมาก

“แล้วหลานสาวคนเก่งคนนั้นของคุณล่ะคะ?” คุณแม่เวิงถาม

“คนไหนหรือคะ?” หลินชิงเหอนิ่งไปพักหนึ่ง

“ซื่อนีไงคะ” คุณแม่เวิงพูด

“ซื่อนีหรือคะ?” จู่ ๆ หลินชิงเหอก็รู้สึกร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกขึ้นมา เธอมองหล่อนแล้วพูด “พี่เวิงคะ อย่าว่าอย่างงั้นอย่างนี้เลยนะคะ ซื่อนีเป็นเด็กดีจริง ๆ พี่ดูสิคะ ทั้งซานนีเอ้อร์นีอยู่ไฟหลังคลอดก็ได้หล่อนดูแลอย่างคล่องแคล่วเชียว แต่จะว่าไปแล้วหล่อนไม่เหมาะกับกั๋วต้งหรอกค่ะ”

เธอไม่ได้รู้จักเวิงกั๋วต้งคนนี้มากนัก แต่เห็นได้ชัดว่าสายตาของเวิงกั๋วต้งนั้นสูงมากเกินไป แน่นอนว่าซื่อนีเองก็ไม่ขาดคุณสมบัติตรงไหน แต่อายุของทั้งสองห่างกันเหลือเกิน จุดนี้ไม่ต้องถามมากก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว

“ขนาดกั๋วต้งมีตัวเลือกเป็นสาว ๆ ปักกิ่งตั้งเยอะแยะ เขายังไม่มองเลยค่ะ” หลินชิงเหอพูด

เธอไม่อยากจับคู่ให้กับซื่อนีและกั๋วต้ง ด้วยกังวลว่ามันจะทำร้ายจิตใจของซื่อนี แม้ว่าซื่อนีจะเป็นเด็กมองโลกในแง่ดีไม่ค่อยถูกผลกระทบง่าย ๆ ก็ตาม

แต่ตัวเลือกของเวิงกั๋วต้งย่อมดีอยู่แล้ว รูปร่างดีการศึกษาก็สูง เกิดจับคู่ให้พวกเขาแล้วเวิงกั๋วต้งไม่ชอบซื่อนี แต่ซื่อนีกลับชอบเขาขึ้นมาแล้ว คนที่สูญเสียจะเป็นใครได้?

“ฉันเห็นซื่อนีดีมาก ๆ เหมือนกันค่ะ อีกทั้งอายุของซื่อนียังน้อยกว่าเขามาก เขาคงต้องกลายเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนไปสินะคะ” คุณแม่เวิงเผาลูกชายคนโตของตัวเองอย่างไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว

ชายหนุ่มใกล้จะอายุเข้าเลขสามแล้ว แต่เขากลับไม่กระตือรือร้นอะไรเลย คุณแม่เวิงล่ะอยากจะตีเขาจริงเชียว

หลินชิงเหอยังคงปฏิเสธต่อ “พี่ลองหาคนอื่นไหมคะ ซื่อนีน่าจะพูดคุยกับกั๋วต้งไม่รู้เรื่องแน่ค่ะ”

คุณแม่เวิงอับจนปัญญา แต่เมื่อเห็นว่าหลินชิงเหอไม่อยากจะแนะนำจริง ๆ หล่อนก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว

หล่อนกลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ทั้งยังมองเวิงกั๋วต้งด้วยสีหน้าไม่ดีอีก

“แม่เป็นอะไรไปครับ” เวิงกั๋วต้งที่กำลังดูทีวีทักขึ้น วันนี้เป็นวันหยุดของเขา เขาจึงได้อยู่กับบ้าน

“เป็นอะไรน่ะเหรอ? ก็ดูที่ลูกทำกับแม่สิ ลูกชอบผู้ชายใช่ไหม? หรือว่าไม่คิดจะแต่งงานแล้วอยากให้พ่อกับแม่โมโหตายใช่ไหม?” คุณแม่เวิงพูดด้วยใบหน้าดำทะมึน

เวิงกั๋วต้งอึ้งไป เขาไม่รู้ว่าแม่คิดว่าเขาชอบผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงได้อย่างไรกัน

“ผมยังไม่เจอคนที่เหมาะสมน่ะครับ” ชายหนุ่มพูด

คุณแม่เวิงได้ยินก็เอ่ยเสียงเขียว “งั้นลูกลองพูดมาสิว่าอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม ลูกสาวตระกูลเฉินดีออกขนาดนั้น มีการศึกษารู้หนังสือ ทั้งสวยทั้งสะอาดสะอ้าน แถมหล่อนก็ดูจะชอบลูกด้วย ส่วนลูกแม้แต่คิดก็ยังไม่มี!”

“หล่อนจู้จี้เกินไป ไม่เหมาะสมกับผม” เวิงกั๋วต้งพูดเสียงเรียบ

“ผู้หญิงเขาจู้จี้หน่อยจะเป็นไรไป จะทำไมหา!” คุณแม่เวิงพูด ทั้งรู้สึกสมน้ำหน้าลูกชายคนโตที่อายุปูนนี้แล้วยังไม่แต่งงาน

“ก็ไม่ทำไมหรอกครับ แค่ไม่เหมาะสมกับผม” เวิงกั๋วต้งพูด เขาไม่อยากจะแต่งงานกับคนที่รบกวนตัวเองทั้งวันเท่านั้น ลูกสาวตระกูลเฉินหน้าตาพอใช้ได้ แต่เวลาพูดไม่ต่างกับแมวสักเท่าไหร่ เขาไม่มีความคิดทางนั้นกับหล่อนเลยจริง ๆ

“ลูกสาวตระกูลเหอคนนั้นก็ไม่เห็นจะจู้จี้ ทำไมลูกไม่ชอบล่ะ?” คุณแม่เวิงถามอีก

“ภายในตระกูลของหล่อนวุ่นวายน่าดู แต่งไปแล้วคงไม่สงบสุข” เวิงกั๋วต้งพูด

การที่เขาแต่งงานหาภรรยาคนหนึ่งมันง่ายนักเหรอ? นั่นเป็นเรื่องที่มีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนะ แล้วเขาไม่มีสิทธิ์เลือกคนดี ๆ งั้นหรือ?

ความหมายของแม่เขาก็คือ ตอนนี้เขาอายุเยอะแล้ว เดี๋ยวก็จะอายุ 30 ปีแล้ว มีผู้หญิงสักคนก็ไม่เลวนะ

เวิงกั๋วต้งรู้สึกเหนื่อยใจเช่นกัน นั่นคือภรรยานะไม่ใช่สิ่งของประดับบ้าน ที่ถ้าไม่ดีก็สามารถสับเปลี่ยนได้น่ะ

“น้าหลินของลูกมีหลานสาวคนหนึ่ง แม้ว่าครอบครัวหล่อนจะเป็นคนชนบท แต่หล่อนเป็นคนดีทีเดียว ทั้งคล่องแคล่วทั้งสะอาดสะอ้าน เดิมทีแม่ล่ะอยากให้ลูกลองไปดูตัวหล่อน แต่น้าหลินกลับไม่เห็นด้วยนี่สิ” คุณแม่เวิงถอนหายใจ

ตอนที่โจวเอ้อร์นีแต่งงาน หลินชิงเหอก็ได้เชิญหล่อนกับคุณพ่อเวิงไปด้วย และก็ได้เห็นหน้าค่าตาพี่ชายใหญ่โจวและสะใภ้ใหญ่โจวหมดแล้ว ไหนจะมีโจวหยางกับโจววั่งที่เป็นลูกชายทั้งสองคน

พี่ชายใหญ่โจวกับสะใภ้ใหญ่โจวเป็นชาวนา เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นคนซื่อตรง

แถมน้องชายยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย น้องคนเล็กก็มีคะแนนยอดเยี่ยม ต่อไปน่าจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ ถึงจะเป็นครอบครัวชาวนาก็เถอะ แต่คุณแม่เวิงกลับรู้สึกว่าไม่มีตรงไหนขาดตกบกพร่องเลย

ทว่าหลินชิงเหอกลับไม่มีความคิดนั้นจริง ๆ คุณแม่เวิงเองก็เข้าใจในความกังวลของหลินชิงเหอ ในเรื่องที่ลูกชายหล่อนจะทำให้หลานสาวตัวเองต้องเสียใจ

……………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

รู้สึกกดดันแทนกั๋วต้งหน่อย ๆ นะคะ ก็คนมันเลือกยาก เลยต้องใช้เวลาหน่อย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset