บทที่ 526 ไม่ส่งเงินมาสักหยวนเดียว

บทที่ 526 ไม่ส่งเงินมาสักหยวนเดียว

แน่นอนว่าคุณแม่เวิงก็เข้าใจเป็นอย่างดี เนื่องจากลูกชายหล่อนเป็นคนช่างเลือกเหลือเกิน หากหล่อนเป็นหลินชิงเหอ หล่อนก็ไม่อยากแนะนำหลานสาวให้กับเขาเหมือนกัน

ใบหน้าของเวิงกั๋วต้งเหมือนมีหมอกบาง ๆ ปกคลุม และเงียบขรึมลงอย่างมาก

ในขณะเดียวกันโจวซื่อนีก็กำลังอุ้มหลานชายของตัวเองอยู่

แฝดมังกรหงส์คนที่เกิดก่อนคือพี่สาว ส่วนคนที่เกิดตามมาคือน้องชาย ซึ่งทั้งสองเกิดห่างกันไม่มากนัก

โจวซื่อนีดีใจมาก เพราะว่าหลานชายของหล่อนหน้าตาดีจริง ๆ คิ้วตาของเขาไม่เหมือนหวังหยวนผู้เป็นพ่อ แต่เหมือนโจวหยางผู้เป็นน้าชายใหญ่มากกว่า

ในขณะที่หวังหยวนรู้สึกเจ็บปวดใจโดยแท้กับแฝดคนพี่ เพราะลูกสาวเหมือนกับเขามาก โดยเฉพาะดวงตาที่เหมือนราวกับถอดแบบกันมา

เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าแฝดชายหญิงหน้าตาไม่เหมือนกันเลย หากเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของทั้งสองฝ่าย ทั้งคู่ล้วนเลือกแต่ส่วนดี ๆ ของพ่อแม่มาทั้งหมด

พอรู้ว่าเป็นแฝดมังกรหงส์ คนตระกูลหวังทางนั้นก็ดีใจกันใหญ่ ขนาดที่คุณพ่อและคุณแม่หวังมาดูถึงที่นี่ ซึ่งคุณพ่อหวังพูดกับโจวเอ้อร์นีประมาณว่าลำบากหล่อนแล้ว ทั้งยังให้ซองแดงซองใหญ่แก่หล่อนอีกด้วย

คุณแม่หวังให้เงินขวัญถุงแก่หลานชายหลานสาวสองคนโดยไม่ได้ให้โจวเอ้อร์นี และไม่ได้พูดอะไรกับหล่อนด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้แสดงท่าทางไม่ดีใด ๆ

โจวเอ้อร์นีเห็นแล้วก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร เพียงว่าไปตามมารยาท

เนื่องจากมีน้องสาวแท้ ๆ เป็นผู้ดูแลหลังคลอด ทำให้หล่อนไม่ต้องยืมมือคนอื่น แถมโจวซื่อนียังจัดการทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ

โจวซื่อนีเองก็ยุ่งมากเช่นกัน ตอนกลางวันอยู่ดูแลหลังคลอดให้พี่สาวกับช่วยดูแลเด็ก ๆ และเรื่องอื่น ๆ ตกค่ำก็ยังต้องไปเรียนภาคค่ำกับกังจือ

เห็นชัดว่าโจวเอ้อร์นีได้ช่วงเวลาอยู่ไฟดีไม่เท่ากับโจวซานนี เพราะก่อนหน้านี้อากาศไม่ร้อนและไม่เย็นเกินไป แต่ผ่านไปไม่นานอากาศก็เย็นมากขึ้นแล้ว

โจวเสี่ยวเหมยกับท่านแม่โจวจึงมักจะมาช่วยดูแลอยู่บ่อย ๆ

โดยเฉพาะท่านแม่โจวที่กระตือรือร้นอย่างมาก เพราะนี่เป็นท้องแฝดชายหญิงที่หาได้ยาก และยังเป็นครั้งแรกที่ตระกูลโจวมีท้องแฝดมังกรหงส์

หลินชิงเหอโทรศัพท์ไปบอกกับสะใภ้ใหญ่ ซึ่งหล่อนก็บอกเรื่องเหล่านี้ด้วย “ซื่อนีแกคล่องแคล่วดีมากเลยค่ะ ไม่ว่าจะเอ้อร์นีหรือว่าซานนี หล่อนก็สามารถดูแลได้หมดในมือเดียว ทั้งยังดูแลดีมากด้วย”

โจวเอ้อร์นีพอมั่นใจว่าท้องแฝดก็เคยโทรศัพท์กลับไปบอกเรื่องน่ายินดีแล้ว ดังนั้นสะใภ้ใหญ่โจวจึงรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวคนที่สองมีลูกแฝด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น สะใภ้ใหญ่โจวก็จะรู้สึกดีใจอยู่ดี

“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันหยางหยางโทรศัพท์กลับมา พี่ก็บอกเขาว่าปีใหม่ไม่ต้องกลับบ้านแล้ว ให้อยู่ปักกิ่งคอยดูแลพี่สาวเขา” สะใภ้ใหญ่โจวยิ้มขณะพูด

“เดี๋ยวอีกซักพักก็จะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวแล้ว พี่กับพี่ใหญ่สามารถมาที่นี่ได้นะคะ” หลินชิงเหอพูด

“พวกเราไม่ไปแล้ว ให้หยางหยางไปก็คงเหมือนกันนั่นแหละจ้ะ” สะใภ้ใหญ่โจวยิ้ม

เมืองหลวงปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่ย่อมไม่มีคำไหนจะพูด หล่อนและพี่ชายใหญ่โจวปรับตัวกับที่นั่นไม่ไหว ไปร่วมงานแต่งครั้งหนึ่งก็ได้เปิดหูเปิดตาพอแล้วไม่จำเป็นต้องไปอีก แถมค่าเดินทางก็แพงด้วย

ให้ลูกชายไปเถอะ ลูกชายหล่อนรู้เรื่องเยอะ ไม่ทำให้พี่สาวตัวเองต้องขายหน้า

หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไร เพียงบอกหล่อนว่าไม่ต้องกังวลทางนี้ พวกเธอสบายดี

เมื่อสะใภ้ใหญ่โจววางสาย ภรรยาเลขาธิการสาขาหมู่บ้านก็ยิ้มและพูดขึ้น “เอ้อร์นีคลอดแล้วเหรอคะ”

“คลอดแล้ว คลอดลูกแฝดชายหญิงด้วยนะ” สะใภ้ใหญ่โจวเอ่ยยิ้ม ๆ

“โอ้โห ดีจริง ๆ ค่ะ บ้านสามีจะต้องยิ่งเอ็นดูหล่อนมากแน่” เลขาธิการสาขาหมู่บ้านได้ยินก็พูดขึ้น

กฎหมายให้กำเนิดบุตรบีบบังคับหนักมากว่าให้มีลูกได้เพียงคนเดียว การคิดอยากจะมีลูกหลายคนไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ แน่นอนว่ามีคนแอบมีลูกมากกว่าหนึ่งคนด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องจ่ายค่าปรับมหาศาล

แต่นี่มีทั้งเด็กชายหญิงในท้องเดียว ช่างน่าพึ่งพอใจจริง ๆ

สะใภ้ใหญ่โจวพูดกับภรรยาเลขาธิการสาขาหมู่บ้านจบแล้วก็เดินมาบอกเรื่องน่ายินดีที่บ้านของสะใภ้รอง

อย่างไรเสียโจวซานนีก็คลอดลูกชายให้กับหลี่อ้ายกั๋วคนหนึ่ง และเดือนก่อนไม่มีใครโทรศัพท์กลับมา ครั้งนี้จึงกลับมาบอกเรื่องทั้งหมดพร้อมกัน

พี่ชายรองได้ยินก็ดีใจมาก ครั้งก่อนที่เอ้อร์นีกับหวังหยวนกลับมา เขาจึงได้รู้ว่าเดิมสภาพร่างกายของลูกสาวคนโตไม่ค่อยดี เลยให้ครอบครัวเจ้าสี่พาไปรักษาที่ปักกิ่ง

ตอนนี้ถึงกับคลอดเด็กที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว

เมื่อสะใภ้ใหญ่กลับไปแล้ว สะใภ้รองก็เบ้ริมฝีปาก พอเห็นผู้ชายของตนดีใจขนาดนั้นก็เอ่ยอย่างไม่พอใจ “คุ้มค่ากับที่ดีใจแทนหล่อนไหมคะ นั่นก็แค่ลูกสาวเนรคุณคนหนึ่งเอง!”

ตัวเองมีชีวิตที่ดีแล้วเคยคิดถึงครอบครัวตัวเองไหม? เคยคิดจะดูแลมารดาทางนี้สักหน่อยหรือเปล่า?

หรือว่าจะทำตามบ้านสี่นั่น เลียนแบบว่าต้องตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวตัวเอง ช่างสั่งสอนลูกสาวของหล่อนให้กลายเป็นอะไรไปแล้ว?

“ลืมบุญคุณอะไรของคุณ? คุณพูดถึงลิ่วนีหรือไง” พี่ชายรองพูดขึ้น

“ฉันก็พูดถึงลูกสาวคนโตของคุณอย่างไรคะ ไปปักกิ่งตั้งนานขนาดนั้น เงินสักหยวนก็ไม่ส่งกลับมา เสียแรงที่เลี้ยงหล่อนมาจนโต!” สะใภ้รองด่า

“ทำไมซานนีต้องส่งเงินกลับมาด้วย ครอบครัวพวกเราไม่ได้อดอยากอีกแล้ว อีกอย่างซานนีก็แต่งงานไปแล้ว เธอก็ต้องอยู่กับอ้ายกั๋วสิ” พี่ชายรองกลอกตาใส่ภรรยา

“คุณก็ให้ท้ายหล่อนไปเถอะ ฉันจะคอยดูว่าหล่อนจะกตัญญูกับคุณอย่างไร” สะใภ้รองพูดเหน็บแหนม

ในใจหล่อนยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งไม่พอใจ ตัวเองได้มีชีวิตที่ดีในเมืองหลวง แต่กลับไม่ยอมโทรศัพท์มาบอกครอบครัวกันสักนิด เงินก็ไม่ส่งกลับมาบ้าน เลี้ยงหล่อนจนโตขนาดนี้ นี้คือสิ่งที่หล่อนตอบแทนงั้นเหรอ?

“เซี่ยเซี่ยกำลังคุยกับกับลูกสาวคนเล็กของอาจารย์เขาแล้ว ถ้าเขาเอาคนกลับมาที่บ้านผุพังของพวกเรานี่แล้วคนอื่นเขาดูถูกพวกเรา ฉันจะดูสิว่าคุณยังยิ้มออกอยู่ไหม!” สะใภ้รองพูดด้วยความโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห

ลูกเขยคนโตเป็นคนมีเงิน ไม่อย่างนั้นจะสามารถเอาเงิน 400 หยวนมาแต่งกับโจวซานนีหรือ? หล่อนเองก็จับตามองว่าลูกสาวคนนี้จะสามารถช่วยครอบครัวในชนบทได้ไหม แต่นี่หล่อนกลับไม่คิดที่จะส่งเงินกลับมาบ้านแม้แต่นิดเดียว

“ปีนี้อย่าเพิ่งเรียกเซี่ยเซี่ยกลับมา ปีหน้าครอบครัวของพวกเราก็ควรจะสามารถลืมตาอ้าปากได้แล้ว” พี่ชายรองพูดพร้อมกับโบกมือ

“บ้านอิฐของพี่สาวใหญ่สวยงามออกอย่างนั้น ทั้งหมดก็เพราะได้เงินมาจากเชิ่งเหม่ย แถมเชิ่งเหม่ยยังพาเชิ่งเฉียงไปปักกิ่งด้วย แล้วดูสิว่าตอนนี้เชิ่งเฉียงเป็นยังไง? บ้านนั้นก็เป็นลูกสาวเหมือนกัน แต่ดูลูกสาวบ้านเราสิกลับสนใจแต่ตัวเอง!” สะใภ้รองพูด

“มันจะเหมือนกันได้ยังไง เชิ่งเหม่ยแต่งงานกับคนรวย ซานนีกับอ้ายกั๋วเป็นอย่างนั้นไหมล่ะ? สามารถเอามาเทียบได้ได้ด้วยเหรอ ที่พวกเขาอยู่ที่ปักกิ่งได้อย่างปกติสุข นั่นก็เพราะชิงเหอดูแลพวกเขาสองคน ฉันได้ยินมาจากพี่ใหญ่ว่าของที่นั่นแพงมาก แต่ละวันไม่ใช่อยู่ง่าย ๆ เลย” พี่รองพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี

“ต่อให้ของแพง แต่เดือนหนึ่งใช้แค่ 80 หยวนก็เหลือใช้แล้วไม่ใช่เหรอ? นี่กลับไม่ส่งมาช่วยที่บ้านบ้างเลย ตอนนี้บ้านของพวกเราแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว ขายหน้าคนอื่นไหมละ?” สะใภ้รองพูด

พี่ชายรองไม่อยากทะเลาะกับหล่อนเรื่องนี้ ทำให้สะใภ้รองอัดอั้ดตันใจ พอโจวลิ่วนีกลับมาเห็นสีหน้าย่ำแย่ของผู้เป็นแม่ หล่อนก็ถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมพอหนูกลับมาแม่ถึงทำหน้าบูดบึ้งแบบนี้”

“ก็พี่สาวของแกน่ะสิ ตัวเองมีชีวิตที่ดีแล้ว ไม่โทรกลับมาหาที่บ้านไม่พอ เงินสักหยวนก็ไม่ส่งมาเหมือนกัน ในใจของหล่อนยังมีบ้านแม่อยู่ไหม?” สะใภ้รองด่า

โจวลิ่วนีได้ยินก็เอ่ยเสียงเย็นชา “แม่เพิ่งจะรู้เหรอคะ พี่สาวหนูเขาไม่คิดถึงบ้านแม่แล้ว หล่อนไปเรียนรู้จากบ้านสี่ ไม่เห็นหน้าเห็นหัวใครแล้ว!”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ทำตัวเองทั้งนั้นสะใภ้รอง ถ่วงความเจริญก้าวหน้าเอง ไม่ดูแลลูกสาวคนโตให้ดีๆ เอง ก็ไม่แปลกหรอกที่ซานนีจะตัดขาดไม่มาดูดำดูดีด้วย น้องเขาทนมามากแล้วกับบ้านที่ไม่ใช่บ้าน มีโอกาสได้ตัดครอบครัว toxic ออกจากชีวิตแล้วใครบ้างจะไม่ทำ

อย่าเอาบ้านพี่สาวใหญ่เป็นตัวอย่างเลยสะใภ้รอง เธอไม่รู้หรอกว่าทางนั้นมันเน่าในขนาดไหน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset