บทที่ 556 ทัศนคติต่อธุรกิจ

บทที่ 556 ทัศนคติต่อธุรกิจ

ตอนแรกที่คุณแม่เวิงรู้ว่าหลินชิงเหอท้อง หล่อนรู้สึกตกใจมาก

เนื่องจากเสี่ยวข่ายโตขนาดนี้แล้ว หล่อนยังสามารถท้องได้อยู่อีกหรือ? แต่นอกจากจะตกใจในตอนแรกแล้วหล่อนก็ไม่ได้ว่าอะไร อยากมีลูกก็มีเถอะ ชีวิตของหล่อนมีพร้อมขนาดนั้นแล้วมีอีกสักคนคงไม่เป็นอะไร?

มีทั้งลูกชายและก็ลูกสาวก็ดีเหมือนกัน

แต่ท้องนี้ของหลินชิงเหอไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไหร่นัก ตอนที่คุณแม่เวิงไปหาหล่อนสองครั้งก็พบว่าเธอกำลังอาเจียนอยู่ทุกครั้ง

อาการนั้นหนักมากจนคุณแม่เวิงเห็นแล้วรู้สึกทนไม่ได้

หลินชิงเหอยิ้ม “ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ เพียงแค่กินอะไรที่มันเลี่ยนมากไม่ได้ แต่อาหารทั่วไปก็สามารถกินได้ปกติ”

“ไม่ง่ายเลยจริง ๆ” คุณแม่เวิงพูด

พวกหล่อนต่างเป็นผู้หญิง ซึ่งการตั้งครรภ์ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยจริง ๆ

ในตอนแรกหลินชิงเหอยังไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร แต่ตอนนี้เมื่อคิดถึงอนาคต เธอก็รู้สึกว่ามันต้องมีความสุขมากแน่นอน

จะพูดอย่างไรดี?

เธอเองก็ค่อนข้างจะเชื่อหมอดูเฒ่าคนนั้นไปแล้ว เธอทำหมันอะไรก็แล้ว กลับยังสามารถตั้งท้องได้ เท่านี้ก็สามารถเชื่อได้แล้วไม่ใช่หรือ? อีกทั้งคนคนนั้นยังบอกว่า นี้คือสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอหลังจากนี้

อะไรคือการเปลี่ยนชีวิตไม่เปลี่ยนชีวิต เดิมทีมันน่าจะไม่ใช่เรื่องดีด้วยซ้ำ ความหมายของมันก็คือเดิมทีร่างนี้ของเธอต้องไม่มีลูกสาว หรือก็คือลูกสาวคนนี้เธอเป็นคนลิขิตให้เกิดมา

ในเมื่อเป็นชะตาฟ้าลิขิตแล้วเธอจะสามารถหลีกหนีมันไปได้อย่างไร? จะท้องเร็วท้องช้าอย่างไรหล่อนก็ต้องมาเกิดอยู่ดี ในเมื่อมาแล้วหลินชิงเหอก็ไม่คิดจะแหกกฎเช่นกัน แม้ว่าหล่อนจะเป็นคุณแม่ที่อายุเยอะแล้ว แต่หลินชิงเหอคิดว่าร่างกายของตัวเองยังไหวอยู่

ถ้าเกิดสายไปกว่านี้ 2-3 ปี นั่นก็คงจะแก่เกินไปแล้ว ดังนั้นอายุของเธอในตอนนี้ถือว่ากำลังดีที่สุดแล้ว

หลังอยู่คุยกับคุณแม่เวิงอีก 1 ชั่วโมงกว่า ๆ หลินชิงเหอก็ขอตัวกลับมา เธอไม่ได้กลับไปที่ร้านเกี๊ยวเลยทันที แต่เดินไปดูร้านอื่น ๆ ก่อน

อีกยังเดินแวะมาหาซานนีด้วย

ชื่อเล่นของลูกชายซานนีชื่อว่าพ่างพ่าง(แปลว่าอ้วน) เด็กน้อยตัวอ้วนกลมนี้เห็นได้ชัดเลยว่าได้รับการเลี้ยงดูดีมากขนาดไหน ทั้งดูแล้วเหมือนเขาจะเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่งด้วย

“อาสะใภ้สี่คะ อาการแพ้ท้องดีขึ้นแล้วหรือคะ” โจวซานนีล้างแก้วน้ำ แล้วรินน้ำให้เธอ

หลินชิงเหอกำลังกระหายน้ำพอดี รับน้ำมาดื่มแล้วพูด “ดีขึ้นเยอะแล้วจ้ะ ไม่ได้ทรมานเท่าเมื่อก่อนแล้ว”

เมื่อก่อนโจวซานนีเป็นห่วงเธอ จนทำหัวไชเท้าดองไปให้เธอด้วย 2 โถ หลินชิงเหอกินเป็นบางครั้งบางคราว แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็ถือว่าเป็นน้ำใจ

“อาได้ยินอาสี่ของเธอบอกว่า หน้าร้านตรงนั้นปล่อยเช่าไปเหรอ?” หลินชิงเหอพูด

“ครับ พวกเราทำธุรกิจไม่ได้ภายในเวลาสั้น ๆ หรอกครับ ก็ปล่อยเช่าไปก่อน ปล่อยเช่าไปแล้วอย่างไรร้านก็ยังอยู่” หลี่อ้ายกั๋วพูดยิ้ม ๆ

“นั่นก็ไม่เลวเหมือนกัน ได้เท่าไหร่ก็เป็นรายได้เสริมทั้งนั้น” หลินชิงเหอพยักหน้าพูด

ปีนี้ราคาของต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้น เงินที่เท่ากันก็จะยิ่งซื้อของได้น้อยลงแล้ว เธอขึ้นเงินเดือนให้กับหลี่อ้ายกั๋วและโจวซานนีด้วยเช่นกัน ก่อนหน้าที่สองสามีภรรยาได้เดือนละ 80 หยวน ปีนี้ขึ้นเป็น 140 หยวน

สองสามีภรรยาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพียง 30 หรือ 40 หยวนก็พอแล้ว พ่างพ่างก็ยังเล็กอยู่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเท่าไร ดังนั้น 1 เดือนเก็บสัก 100 หยวนก็ไม่ใช่ปัญหา

แต่ว่าภายใน 1 ปีพวกเขาก็จะเก็บเงินได้เพียง 1,200 หยวนเท่านั้น แม้ว่าจะไม่น้อย แต่พวกเขายังติดหนี้ที่เอาไปซื้อหน้าร้านกับหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋อยู่จำนวนหนึ่งนะ

ความหมายของหลี่อ้ายกั๋วก็คือ ให้เขาดูร้าน 3 ปีหลังจากนั้นค่อยออกมาทำคนเดียว แต่ว่าโจวซานนียืนกรานไม่เห็นด้วย

ก่อนอื่นหนี้ที่ติดอาสี่กับอาสะใภ้สี่ไม่แน่ว่า 3 ปีจะสามารถชดใช้หมด พวกเขาคุ้นเคยกับสิ่งของในร้านดี แม้ว่าอาสี่กับอาสะใภ้สี่จะยอมให้นำเข้าไป แต่การนำสินค้าเข้าครั้งหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไหร่? ต้นทุนนั้นมากเกินไป!

เงินส่วนนี้เอามาจากไหน? พวกเขาพึ่งพาอาสี่กับอาสะใภ้สี่ครั้งหนึ่ง ครั้งที่ต่อไปก็ยังพึ่งอาสี่กับอาสะใภ้สี่อยู่ คิดหรือว่าพวกเขาจะสามารถทำเช่นนี้ได้ตลอด?

ทั้งพามาที่เมืองหลวงกระทั่งให้ยืมเงินซื้อร้าน โจวซานนีคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ดังนั้นหล่อนจะคิดว่าจะรักษาร้านนี้เอาไว้ ส่วนเมื่อไรจึงจะคืนเงินอาสี่อาสะใภ้สี่หมดหล่อนเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน และไม่รู้ว่าเมื่อไรตัวเองจะสามารถเก็บสะสมเงินทุนทำธุรกิจได้ งั้นหากเทียบกับการทำด้วยตัวเอง ปล่อยร้านเก็บค่าเช่าหารายได้ก็ดีเหมือนกัน

เพราะว่าโจวซานนียืนกรานเช่นนี้ หลี่อ้ายกั๋วจึงทำได้เพียงฟังภรรยาของตน

อีกอย่างความคิดเห็นนี้ของภรรยาเขาก็แน่วแน่มากด้วย

แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังไม่เคยพูดให้หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ทราบ

หลินชิงเหอนั่งเล่นอยู่สักพัก ก็คิดถึงของกินต่าง ๆ ที่อยู่ในบ้านว่ายังมีอยู่ จึงไม่ได้เอาของกินกลับไปด้วย

พอกลับมาก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว

หู่จือกลับมาค่อนข้างเร็วทีเดียว หลังจากเทศกาลโคมไฟเขากับเฉินซานซานก็กลับมากันแล้ว ตอนนั้นหลินชิงเหอรู้แล้วว่าตัวเองท้อง กำลังอยู่ในช่วงมรสุมชีวิตอยู่เลยจึงไม่ได้สนใจเขานัก

ปีนี้หู่จือจะย้ายออกไป เขาเช่าบ้านข้างนอกไว้แล้วหลังหนึ่ง และมาเอาเงินที่เขาได้จากการตั้งแผงขายของจากหลินชิงเหอและอาของเขา

แต่มีอีกเรื่องที่ต้องเล่าก็คือ เขาเป็นพลเมืองของปักกิ่งแล้ว

ยังคงเป็นเวิงกั๋วต้งที่ช่วยทำเรื่องย้ายให้ ทำให้ตัวเขาได้กลายเป็นคนปักกิ่งแล้วจริง ๆ คำเรียกขานว่าเป็นคนปักกิ่งไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ไม่กลัวแล้ว

หลินชิงเหอพึงพอใจในตัวหลานนอกคนนี้มาก ทั้งขยันอดทนอีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เขาเพิ่งมาที่นี่ เขาฉลาดขึ้นไม่น้อยจากการที่เขาไปเรียนมากว่า 2 ปี เป็นคนที่รู้จักอดทนลำบากมาก

ขอเพียงวันนั้นฝนไม่ตก ไม่ว่าอะไรก็ขวางเส้นทางเดินของเขาไม่ได้

“ทำไมวันนี้กลับมาเร็วแบบนี้ละจ๊ะ?” หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ

“น้าสะใภ้” หู่จือที่กำลังพูดอยู่กับน้าของเขา ได้ยินเสียงเธอก็หันไปยิ้มขานรับพูดว่า “วันนี้โชคดีครับ เสื้อขายหมดเร็วตั้งแต่เนิ่น ๆ เลย พรุ่งนี้ผมค่อยเข้าไปเอาของอีกชุดหนึ่งนะครับ”

“พาซานซานไปดูหนังบ้างละ ดูเธอสิยุ่งอยู่ทุกวัน ไม่มีเวลาให้หล่อนบ้างเลย” หลินชิงเหอพูด

“มีสิครับ” หู่จือพูดพร้อมยิ้ม

ตอนนี้เรียกได้ว่าเฉินซานซานเป็นว่าที่ภรรยาของเขาแล้ว ทะเบียนบ้านเขาก็ย้ายมาแล้ว อายุก็ถึงเวลาที่จะแต่งงานมีครอบครัวได้แล้วเช่นกัน แต่วันปีนี้เขายังไม่ได้วางแผนนี้เอาไว้

เขาอยากหาเงินให้ได้มาก ๆ แล้วซื้อหน้าร้านสักร้านก่อน น้าสะใภ้และน้าของเขาก็พูดเอาไว้หมดแล้วว่าถ้ามีเงินก็ให้ซื้อหน้าร้านเอาไว้ ไม่แนะนำให้เขาตั้งแผงลอยขายเช่นนี้ตลอดไปได้

เขาเชื่อฟังพวกเขาอยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เนื่องจากปีนี้เพื่อย้ายทะเบียนบ้าน เขาต้องใช้เงินไปจำนวนหนึ่งเลยจริง ๆ

“เมื่อกี้พูดอะไรกับอาของเธอเหรอจ๊ะ พออาเข้ามาก็หยุดซะแล้ว” หลินชิงเหอพูดอย่างไม่คิดอะไร

“ไม่มีอะไรครับ ตอนที่ผมไปตั้งแผงลอย เจอเข้ากับเชิ่งเฉียงน่ะครับ” หู่จือส่ายหัวพูด

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดสักเท่าไหร่ เขาบังเอิญเจอกับสวี่เชิ่งเฉียง สวี่เชิ่งเฉียงก็เห็นเขาเช่นเดียวกัน เดิมทีเขาไม่คิดจะทัก แต่สวี่เชิ่งเฉียงปรายตามองเขาแวบเดียวก็ย้ายสายตาไปมองทางอื่นแล้ว เขาก็ไม่อยากจะทักเช่นเดียวกัน

ทั้งสองคนต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร แบ่งแยกจากกันอย่างชัดเจน ราวกับพวกเขาไม่เคยรู้จักกัน

ไม่มีใครเคยสอนสวี่เชิ่งเฉียง เขามองสวี่เชิ่งเฉียงทำธุรกิจแล้วก็รู้สึกขัดตาไม่น้อย ทัศนคติแบบนั้นไม่ดีมาก ๆ

ลูกค้ามาต่อรองราคากับเขา เขากลับตอกกลับไปหนึ่งประโยคว่าอยากซื้อก็ซื้อไม่อยากซื้อก็ไปเสีย

มีธุรกิจที่ไหนเขาทำกันแบบนี้?

ขนาดทำเลที่นั่นดีจนเขาขายหมดแล้ว สวี่เชิ่งเฉียงเพิ่งขายไปได้แค่ 2 ตัว

ทัศนคติแบบนั้นของเขาใครมาซื้อแล้วเจอแบบนั้นก็พากันหนีหมดแล้ว

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หู่จือขยันแล้วยังหัวดีอีกนะคะ ก้าวหน้าแน่ ๆ ค่ะ

ส่วนเชิ่งเฉียงน่ะเหรอ ไม่แปลกใจหรอกที่ทำไมยังไม่ไปไหนสักที ทัศนคติไล่ลูกค้าแบบนี้คงขายได้ไม่นานหรอก

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset