บทที่ 555 อยากกินผัก

บทที่ 555 อยากกินผัก

ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์มา การรับรสของหลินชิงเหอก็เริ่มพิกลเล็กน้อยแล้ว

อาหารทะเลราคาแพงไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่อะไร แต่ของปกติที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปนั้น เธอกลับรู้สึกว่ามีรสชาติไม่เลวเลยจริง ๆ

อย่างเช่นผักกวางตุ้งที่เพิ่งเก็บมาใหม่ ๆ จากพื้นที่อื่นแล้วส่งมาที่นี่

หลินชิงเหอรู้สึกชอบกินมันมากเป็นพิเศษ

สำหรับอาหารจำพวกเนื้อ เธอก็จำเป็นต้องกินบำรุงด้วยในทุก ๆ วัน ซึ่งแต่เดิมก็ไม่ได้หากินยากอะไร

ตอนนี้โจวชิงไป๋จัดเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อหล่อนหมดแล้ว และเรื่องที่หลินชิงเหอท้องก็มีแค่คนในครอบครัวที่รู้เรื่อง คนอื่น ๆ ในพื้นที่นี้ยังไม่ทราบเรื่องแน่ชัด

แต่เพราะเรื่องที่หลินชิงเหอได้เลื่อนขั้น ต่อมาทำให้หล่อนมีเวลาว่างมากขึ้น กระทั่งมีหลายคนที่เห็นหล่อนก็ยังไม่รู้เลยว่าหล่อนลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้าน

นอกจากผักกวางตุ้งพวกนี้แล้ว หลินชิงเหอยังชอบกินเห็ดหอม และก็เห็ดโคนญี่ปุ่นแห้งที่สามารถเอาไปตุ๋นน้ำแกงได้ ซึ่งเธอกินเข้าไปไม่ใช่น้อย ๆ เลย

โจวชิงไป๋ก็รู้สึกจนปัญญา เขาตุ๋นซุปไก่หรืออะไรก็ตาม หล่อนกลับทานได้น้อยหรือไม่ก็ไม่กินเลย แต่ถ้าเป็นของพวกนี้ภรรยาเขากลับชอบมาก

แต่ว่าชอบก็ส่วนชอบ เขาก็ยังคงไปซื้อพวกซี่โครงกลับมาตุ๋นสลับสับเปลี่ยนกันบ้าง

ซุปซี่โครงเห็ดหอม ซุปซี่โครงทะเล ตุ๋นไก่ใส่เห็ดหอมอะไรก็ตาม เขาก็ทำให้ภรรยาทานทั้งหมด

อาหารพวกนี้คนทั้งครอบครัวยกให้เธอกินคนเดียวทั้งหมด หลินชิงเหอก็เป็นคนนอนขี้เซาอีกด้วย ดังนั้นแม้ว่าเธอจะเป็นห่วงรูปร่างของตัวเองแต่ก็ไม่อาจหยุดความอิ่มเอิบในตอนนี้ได้

วันนี้โจวกุยหลายมาหาย่าของเขาที่บ้าน เอาเนื้อหมูมาให้ 2-3 ชั่ง

“ทำไมยังเอาเนื้อหมูมาให้ละ?” ท่านแม่โจวกำลังออกมารำไท่เก๊กด้านนอกพอดี นางได้พวกย่าเฒ่าคนอื่น ๆ มาสอนให้ จึงอยากจะออกมารำโชว์แม่เฒ่าจูและแม่เฒ่าหูดูให้พวกนางอิจฉาเล่น

“พ่อผมซื้อมาน่ะครับ เลยบอกให้เอามาให้ทางนี้ด้วย” โจวกุยหลายพูด

“เก็บไว้กินทางนั้นก็พอแล้วละจ้ะ จะเอามาให้ที่นี่ทำไม พ่อแม่หลานนี่กตัญญูจริง ๆ” ท่านแม่โจวพูดเช่นนี้

โจวกุยหลายก็มองเห็นย่าเฒ่าจูที่อยู่ข้างบ้านออกมาแล้วเช่นเดียวกัน จึงให้ความร่วมมือพูดว่า “ต้องกตัญญูสิครับ ผมมีคุณย่าคนเดียวนะ คุณย่าอยากกินอะไรพวกผมจะซื้อมาให้”

ท่านแม่โจวรู้สึกพอใจมาก นางหัวเราะแล้วพูด “ฉันต้องการของพวกนี้ที่ไหนกัน เดือนหนึ่งพวกเธอให้เงินฉันแล้วก็ปู่ของเธอคนละ 40 หยวนแล้วนะ”

“เงินเบี้ยเลี้ยงก็ส่วนเบี้ยเลี้ยงสิครับ เนื้อพวกนี้ก็ต้องเอามาให้คุณย่าอยู่แล้ว คุณย่ากับคุณปู่อย่าคิดมากเลยครับ รับไว้เถอะ” โจวกุยหลายพูด

ท่านแม่โจวเหลือบมองแม่เฒ่าจู “ออกไปข้างนอกหรือ?”

“อืม ออกไปเดินเล่นน่ะ” แม่เฒ่าจูตอบกลับสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

ภรรยาของลูกชายนางอย่าพูดถึงให้เงินเบี้ยเลี้ยงเลย พวกข้าวหรือเส้นอะไรนั้นก็ยังตระหนี่ไม่ยอมส่งมาให้ มันน่าโมโหที่ขนาดยายเฒ่าจากบ้านนอกยังมีชีวิตที่ดีกว่าเลย

รอจนนางเดินจากไปแล้ว ท่านแม่โจวก็เดินกระหยิ่มยิ้มย่องกลับเข้ามาในบ้าน และพูดกับเจ้าสามไปด้วย “บอกพ่อของเธอด้วยนะว่าไม่ต้องเอาเนื้อมาแล้ว แม่ของเธอกำลังท้องกำลังไส้ เอาไปทำกับข้าวให้หล่อนกินเถอะ”

“แม่ของผมไม่ค่อยชอบกินเนื้อน่ะสิครับ หล่อนชอบกินผัก” โจวกุยหลายพูด

“มีเนื้อก็ต้องกินเนื้อเยอะ ๆ สิ มีอย่างที่ไหนกินผัก? ไม่ใช่เมื่อก่อนนะ ตอนนี้พวกเราไม่ได้ลำบากเหมือนตอนนั้นแล้วด้วย แต่ตอนพวกหลานย่าก็เห็นว่าแม่เธอยังชอบเอาเนื้อสัตว์กลับมากินบ่อย ๆ เลยไม่ใช่เหรอ” ท่านแม่โจวพูด

ตอนนั้นความเป็นอยู่ของพวกเขาไม่ค่อยดี แต่ละครอบครัวต่างพากันรัดเข็มขัดกันหมด มีแต่บ้านของเจ้าสี่ที่ชอบเอาเนื้อมากิน

โจวชิงไป๋ก็เอาคูปองเนื้อกลับมาให้ กลับกันกับชีวิตในตอนนั้น ที่ต้องไปในเมืองแลกเงินกลับมาเก็บเอาไว้ คูปองเนื้อก็หายากยิ่ง ไม่มีใครไม่อยากได้มันมาเก็บไว้หรอกนะ

แต่ว่าบ้านเจ้าสี่ก็ยังแบ่งเนื้อกลับมากิน

โจวกุยหลายกลับบ้านมาก็พูดเลยทันที

“นั่นจะไปเหมือนกันได้ยังไง ตอนนั้นพวกเราไม่มีกระทั่งน้ำมัน รู้ไหมว่ามันหายากขนาดไหน? ตอนนี้กินดีอยู่ดีทุกวัน ย่อมไม่ต้องประหยัดอะไรขนาดนั้นแล้ว” หลินชิงเหอพูด

“ยังไงก็ต้องกินเนื้อมากหน่อยนะครับแม่ วันนี้คุณย่าจับไก่ 20 ตัวมาเลี้ยง คาดว่าน่าจะมี 12-13 ตัวที่เลี้ยงจนโตได้ ถึงตอนนั้นคงจะเองมาตุ๋นให้แม่กินทั้งหมดเอง” โจวกุยหลายพูด

หลินชิงเหอพยักหน้า “คุณย่าของลูกท่านใจดีมาก” แต่ว่าเธอคงกินไม่ไหว ไก่หลายตัวขนาดนั้น เธอจะกลายเป็นยายอ้วนแบบไหนกัน?

สามเดือนแรกของหลินชิงเหอผ่านไปอย่างทรมาน แต่ว่าหลังจากผ่านสามเดือนนี้มาได้ เธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก

ความรู้สึกมึนและคลื่นไส้ยังคงมีอยู่ ถึงอย่างนั้นอาการก็ทุเลาลงจากเดิมมาก

ตอนนี้เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ เข้าสู่เดือนมีนาคมแล้ว อากาศยังคงเย็นอยู่บ้าง แต่บรรยากาศก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

โจวชิงไป๋อยากจะพาเธอออกไปเดินด้วยกันข้างนอก ในตอนนี้จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับร่างกายของเธอ ร้านเกี๊ยวก็ไม่อยากจะเปิดแล้ว แต่หลินชิงเหอไม่ให้เขาทำอย่างนั้น

ให้ตายเถอะเธอเพียงแค่ท้องเท่านั้นเอง สามเดือนก่อนหน้านี้เธอไม่อยากจะไปที่ไหนเลย แต่นี่เพียงพริบตาเดียวก็เป็นปลายเดือนมีนาคมใกล้จะเข้าสู่ช่วงเดือนเมษายน

เธอเองก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว ดังนั้นทำให้เธอที่เฝ้ารออากาศเย็นสบายตลอดอยากออกไปข้างนอก

เธอจึงรู้สึกรำคาญเขา

หลินชิงเหอมาหาคุณแม่เวิง ปีนี้คุณแม่เวิงเริ่มเปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้ว และยังยุ่งมาก ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้พอเธอรู้ว่าหลินชิงเหอท้องก็เคยมาหา 2 ครั้ง แต่ต่อมาเธอก็ไม่มีเวลามาแล้ว

กลับเป็นเธอที่ตอนนี้ว่างจนไม่มีอะไรทำ ก็สมควรที่จะมาที่นี่เองไม่ใช่หรือ

ร้านขายเสื้อผ้านี้คุณแม่เวิงเป็นคนดูแลด้วยตัวเอง ยังไม่มีลูกจ้าง ตอนที่หลินชิงเหอมาถึงก็เห็นหล่อนกำลังทำความสะอาดอยู่

หลินชิงเหอเรียกหล่อนจากด้านนอกร้าน

คุณแม่เวิงพอเห็นเข้าก็ออกมาหาเธอทันที พูดยิ้ม ๆ “มาได้ยังไงคะเนี่ย? ฉันนึกว่าเธอไม่รู้ที่อยู่เสียอีก”

“แถวนี้ฉันมาหลายรอบแล้ว พอพี่บอกที่อยู่ฉันก็หาเจอได้ทันทีเลยค่ะ” หลินชิงเหอยิ้มแล้วพูดต่อ “กิจการเป็นยังไงบ้างคะ?”

“ไม่เลวเลยค่ะ” คุณแม่เวิงพูดยิ้ม ๆ

ถนนเส้นนี้คนค่อนข้างจะเยอะ ไหนจะแบบเสื้อผ้าที่มาจากโรงงานของหวังหยวนที่รูปแบบดูดีมากจริง ๆ ทำให้ในหนึ่งเดือนพวกเธอสามารถทำรายได้ 400 หรือ 500 หยวนต่อเดือน

ตอนที่คุณแม่เวิงทำบัญชีเดือนแรก หล่อนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าร้านเสื้อผ้าเล็ก ๆ จะทำรายได้ได้เยอะขนาดนี้

ไม่เพียงแต่หล่อนเท่านั้น คุณพ่อเวิงนั้นยิ่งรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่า เขาทำงานมาทั้งชีวิตเงินเดือนทั้งหมดกลายเป็นขยะไปเลย แม้ว่าจะมีเบี้ยเลี้ยงหรืออะไรก็ตาม แต่เขาไม่เคยทำธุรกิจจริง ๆ จัง ๆ จึงไม่รู้ว่าได้เงินเยอะขนาดนี้

เงินเดือนของเขาไม่ได้น้อย เขาได้ถึง 100 กว่าหยวนเช่นกัน แต่ว่าเมื่อเทียบกับรายได้เดือนนี้ของคุณแม่เวิงแล้ว เงินเดือนของเขาก็เทียบไม่ติด

หลังจากนั้นคุณแม่เวิงก็ยุยงให้เขาเปิดร้านขายเสื้อผู้ชายสักร้าน

คุณพ่อเวิงไม่ค่อยเต็มใจ เขาทำธุรกิจไม่เป็น และก็ไม่ชอบทำธุรกิจเช่นกัน ตอนนี้งานที่โรงงานหากทำได้ก็ทำไปก่อน หากทำไม่ได้แล้วถึงตอนนั้นเขาค่อยเกาะภรรยากินก็ยังได้

คุณแม่เวิงยังหัวเราะที่เขาอยากทำตัวเป็นตาแก่หน้าขาว*อยู่ได้อีก? ที่เรียกเขาอย่างนี้เพราะอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว คงไม่สามารถเรียกว่าหนุ่มหน้าขาวได้อีก

*หมายถึง เด็กหนุ่มที่มีผู้หญิงมีอายุเลี้ยงดูด้วยความเสน่หา

เพราะว่าได้กำไรดี ความลังเลใจที่คุณพ่อจะซื้อร้านก็ค่อยคลายลง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็น่าจะคืนทุนร้านได้ไม่เร็วก็ช้า

“กิจการร้านนี้ไม่เลวเลยนะคะ รอบ ๆ ก็มีแค่ร้านเสื้อผ้าของที่นี่” หลินชิงเหอพูด

“ตอนนี้ก็คงมีแค่ร้านเดียว แต่ต่อไปน่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกแน่เลยค่ะ ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ได้เป็นกังวลอะไรหรอกนะคะ เพราะคุณภาพกับรูปแบบสินค้าร้านนี้แท้ ๆ จึงทำให้ลูกค้าประจำเยอะมากขนาดนี้” คุณแม่เวิงพูดพร้อมหัวเราะ พูดจบสายตาของหล่อนถึงมองไปที่ท้องของหลินชิงเหอแล้วพูด “ตอนนี้ยังรู้สึกแย่อยู่ไหมคะ?”

……………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อาหารแต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ คงใส่ความรักลงไปมากแน่ ๆ

บ้านเวิงออกมาทำธุรกิจแล้ว ฟังคำแม่แล้วกิจการดีจริง ๆ ค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset