ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1151 เด็ดผักป่าทั่วขุนเขา

ฉินสือโอวจูงมือวินนี่ไว้ แล้วพาเธอย่ำเท้าไปบนชายหาด ฟองคลื่นสาดกระทบขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง วินนี่เป็นเหมือนเด็กตัวน้อยๆ เธอใช้ปลายเท้าเตะฟองคลื่นไปมา เตะไปเตะมาแล้วก็ยิ้มออกมาอยากพิลึกพิลั่น
ฉินสือโอวรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขไม่ใช่เพราะได้เห็นแมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรีที่งดงาม แต่เป็นเพราะได้อยู่ด้วยกันกับเขา ขณะที่กำลังซึมซับบรรยากาศแบบนี้
ในระหว่างทางกลับ ฉินสือโอวก็บอกความจริงกับเธอว่านั่นคือแมงกะพรุนเวเลลลา วินนี่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาทันที เธอถามเขาด้วยความประหลาดใจว่า “พวกมันเกิดการกลายพันธุ์อย่างฉับพลันที่ฟาร์มปลาเหรอคะ? กลายพันธุ์ได้สวยงามมากๆ ถ้าตอนแรกเป็นพวกมันที่เริ่มระบาด บางทีความเสียหายอาจจะไม่มากขนาดนี้ก็ได้”
แมงกะพรุนเวเลลลาแสงราตรีถูกสังเกตได้ง่ายกว่าแมงกะพรุนเวเลลลาธรรมดา ในน่านน้ำที่น้ำทะเลมีความใสสะอาดอย่างฟาร์มปลาต้าฉิน เพียงแค่พวกมันลอยเข้ามาในน่านน้ำระดับความลึกที่ระยะห่างจากผิวน้ำยี่สิบเมตรในตอนกลางคืน ก็จะมีคนสังเกตเห็นพวกมันแล้ว
กลับมาถึงที่วิลล่า วินนี่พาคนอื่นๆ ไปดูแมงกะพรุนอีกครั้งด้วยความกระตือรือร้น และยังได้ถ่ายรูปจำนวนหนึ่งแล้วโพสต์ลงเว่ยป๋อ เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ฉินสือโอวเห็นแล้วก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย คุณบอกว่าแค่มีความสุขกับตัวเองก็พอแล้ว ถ้าลงแรงป่าวประกาศให้คนได้รู้ไปทั่ว ก็เท่ากับการหาเรื่องให้ตัวเองลำบากไม่ใช่เหรอ?
คุณปู่คุณย่าของวินนี่มาที่นี่ครั้งนี้ มีจุดประสงค์หลักอยู่สองอย่าง อย่างแรกเพื่อมาเยี่ยมหลานสาว อย่างที่สองก็เพื่อมาปรึกษาเรื่องงานแต่งงานของวินนี่กับฉินสือโอว
หลังจากนั้น พ่อฉินกับแม่ฉินก็รีบตามมา งานแต่งงานของฉินสือโอวเป็นเรื่องสำคัญของครอบครัว กระทั่งพี่สาว พี่เขยกับหลานชายของเขาก็มาที่นี่
พอไปรับทุกๆ คนกลับมาที่วิลล่าแล้ว เสี่ยวฮุยก็รีบวิ่งแจ้นไปหาเชอร์ลี่ย์ทันที แล้วส่งของขวัญที่ถูกห่อไว้อย่างงดงามประณีตให้กับเธอ พร้อมกับพูดด้วยความเหนียมอายว่า “นี่เป็นของขวัญที่ผมเตรียมมาให้พี่ พี่เชอร์ลี่ย์ ไม่รู้ว่าพี่จะชอบมันไหม”
เชอร์ลี่ย์แย้มรอยยิ้มหวานพูดกับเขาว่า “ต้องสุดยอดมากแน่ๆ ภาษาอังกฤษของนายดีขึ้นเยอะกว่าเดิมเลยนะ”
เสี่ยวฮุยยิ้มด้วยรอยยิ้มซื่อๆ พี่สาวก็บอกกับฉินสือโอวว่า “เชอร์ลี่ย์เสน่ห์แรงมากๆ ตอนอยู่ที่บ้านเสี่ยวฮุยฝึกภาษาอังกฤษทุกวันเลย พยายามอย่างหนักเลย จนพี่เขยแกมองตาค้างเลยแหละ ตอนแรกนึกว่าเขาจะเริ่มโตเริ่มมีความคิดอยากตั้งใจเรียนหนังสือแล้ว ต่อมาถึงได้รู้ว่ามันน่าจะไม่ใช่อย่างนั้น”
ที่เขาตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ ต้องเป็นเพราะอยากจะสื่อสารกับเด็กสาวโดยไม่มีอุปสรรคมาขวางกั้นอยู่แล้ว
กอร์ดอนดึงเสี่ยวฮุยไว้ เขายื่นมือออกไปพร้อมกับพูดว่า “เพื่อน ฉันดีกับนายขนาดนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเราก็แนบแน่นปานนั้น นายไม่มีของขวัญมาให้ฉันบ้างเลยเหรอ?”
เสี่ยวฮุยรีบพยักหน้าให้ “เตรียมมาแล้ว เตรียมมาแล้ว ฉันเตรียมมาให้ทุกคนเลย แล้วก็มีของไวส์ด้วย สวัสดีไวส์”
ไวส์พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาประสานมือคารวะพร้อมกับพูดว่า “สวัสดี เพื่อน ข้ารอคอยที่จะได้พบท่านมานานแล้ว ชื่อเสียงของท่านโด่งดังกึกก้อง…”
“เขาพูดว่าอะไรนะ?” บนหน้าเสี่ยวฮุยมีแต่ความสับสนงงงวย
กอร์ดอนโอบไหล่เขา “ไม่ต้องไปสนใจ เขาเป็นบ้าน่ะ รู้จักคนบ้าใช่ไหม? ต่อให้เขาทำร้ายคนก็ไม่ถูกคุณครูดุ ไปเถอะ พวกเราไปดูของขวัญที่นายเตรียมมาให้ฉันกันดีกว่า”
ไวส์แยกเขี้ยวยิงฟันจ้องมองกอร์ดอน เชอร์ลี่ย์ก็พูดยุยงเขาว่า “โชคดีนะ ไวส์ รีบใช้พลังดัชนีจิ้มเขาให้ตายเลยสิ!”
พาวลิสเดินยิ้มๆ เข้ามามือซ้ายขวางไวส์เอาไว้ส่วนมือขวาก็กั้นเชอร์ลี่ย์ “เลิกวุ่นวายกันได้แล้ว คุณปู่คุณย่าเพิ่งมา ไปเถอะ พวกเราไปทักทายพวกท่านกันดีกว่า”
พี่สาวฉินที่มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้จึงพูดขึ้นมาว่า “พาวลิสมีมารยาทจัง ดีจริงๆ เสี่ยวฮุยลูกต้องเอาอย่างพี่พาวลิสเขานะ เข้าใจไหม?”
เสี่ยวฮุยรีบยื่นหน้าออกมาหัวเราะแหะๆ ทันที ฉินสือโอวเกาหัวแกรกๆ ตอนนี้เขายังมีความคิดหนึ่งที่ยังไม่สามารถลบออกไปจากจิตใจได้ ตอนที่เสี่ยวฮุยยังเป็นเด็ก เขามักจะรู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ค่อนข้างซื่อบื้ออยู่หน่อยๆ แต่ว่าตั้งแต่ตอนที่เขาเคยพูดให้พี่สาวฟังแล้วโดนตีกลับมา หลังจากนั้นเขาก็ได้แต่เก็บมันเอาไว้ในใจ ทว่าตอนนี้เขาอดคิดแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
ปรากฏว่าพอพาวลิสพูดต่อเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่ “อันดับแรกมาฝึกแปรงฟันกับฉันก่อนดีไหม ฮ่าๆ เสี่ยวฮุย ดูที่ฟันของฉันสิ ขาวมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ?”
เด็กชายผิวดำทำท่ายิงฟันให้เขาดู เผยให้เห็นฟันที่มีสีขาวสะอาดอย่างแท้จริง
แม่ของฉินสือโอวก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า “จริงๆ ด้วย ฟันของพาวลิสสวยจริงๆ ฉันคอยดูแลให้เสี่ยวฮุยแปรงฟันอยู่ทุกวันแต่ก็ยังขาวไม่เท่าของเขา”
ฉินสือโอวก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะคนผิวดำมีฟันที่สวยโดยธรรมชาติอยู่แล้ว พอเทียบกับสีผิวเลยยิ่งทำให้ดูขาวขึ้นไปอีก
คนทั้งครอบครัวได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จึงนั่งพูดคุยกันอย่างมีความสุข
ช่วงบ่ายไม่มีธุระอะไรให้ทำ พ่อกับพี่เขยของฉินสือโอวเลยถามหาปืนจากเขาเพื่อที่จะเอาไปยิงเล่นรอบๆ ตีนเขา
แม่ฉินเห็นพวกเขาสะพายปืนไว้จึงถามพวกเขาด้วยความกังวลใจ “ตาเฒ่านี่จะพากันไปทำอะไรน่ะ? เอาปืนกลับมาเก็บไว้ที่บ้าน พ่อจะเอาปืนไปด้วยทำไม?”
พ่อฉินกำลังอารมณ์ดี จึงหัวเราะฮ่าๆ พร้อมกับตอบแม่ของฉินสือโอวกลับไปว่า “เอาไปยิงเล่นสักนิดสักหน่อย แล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย จะได้เอากลับไปอวดเหล่าซุนเหล่าเลี่ยวด้วย”
แม่ของฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจว่า “พ่อบอกว่าพ่อยิงปืนไม่เป็น แล้วจะเอาปืนไปแกล้งทำวางท่าทำไมกัน? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
พ่อของฉินสือโอวยังอารมณ์ดีอยู่จึงหัวเราะฮ่าๆ พูดยิ้มๆ ว่า “ใครบอกว่าพ่อยิงปืนไม่เป็นกันล่ะ? ตอนสมัยหนุ่มๆ พ่อเคยฝึกกับทหารอาสาสมัคร แถมยังเคยคิดจะบุกตีพวกฝรั่งตาน้ำข้าวด้วยนะ แล้วพ่อก็เคยออกรบแบบกองโจรกับพวกทหารอาสาสมัครด้วย”
วินนี่เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย เธอพูดกับแม่ฉินว่า “คุณแม่คะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ เดี๋ยวหนูจะให้แบล็คไนฟ์ตามไปด้วย เขาเป็นทหารปลดประจำการจากกองกำลังทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดของอเมริกา ยิงปืนเก่งมาก ถ้ามีเขาไปด้วยไม่มีทางเป็นอันตรายแน่นอนค่ะ”
พอฉินสือโอวตะโกนออกไปนอกหน้าต่าง แบล็คไนฟ์ก็วิ่งเข้ามาข้างในอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ยืนทำความเคารพตัวตรง ทำวันทยหัตถ์แบบทหารอเมริกาได้อย่างแข็งขัน สร้างความสบายตาสบายใจให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็น
แม่ของฉินสือโอวพิจารณาดูแบล็คไนฟ์อยู่สักพัก แล้วพูดขึ้นมาว่า “เสี่ยวโอว แกลองถามพ่อหนุ่มคนนี้ดูสิว่าเขาแปรงฟันอย่างไร? ฟันของเขาขาวกว่าลูกเยอะเลย”
วินนี่อดหัวเราะไม่ได้ ฉินสือโอวรู้สึกว่าอยู่รับมือกับแม่ได้ยากเกินไป เลยออกไปกับพ่อแทน
ฤดูใบไม้ผลิทุกสรรพสิ่งกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง สัตว์ป่าตัวเล็กๆ บนเทือกเขาเคอร์บัลกระชุ่มกระชวยคึกคัก แม้กระทั่งที่บริเวณตีนเขาก็สามารถพบเห็นเงาร่างของพวกมันได้
ฝีมือการยิงปืนของพ่อและพี่เขยของฉินสือโอวย่ำแย่จนดูไม่ได้ ยิงปืนออกมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว เพราะถึงอย่างไรข้างหน้าภายในระยะหนึ่งร้อยแปดสิบองศาจากบริเวณที่พวกเขายิงปืน ก็ไม่มีคนอยู่แถวนั้น ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นอันตราย
วนรอบๆ ตีนเขาอยู่สักพัก พ่อและพี่เขยของฉินสือโอวก็ยังไม่ได้อะไรติดมือมาเลย แต่กลับเป็นแบล็คไนฟ์ที่ใช้ทักษะยิงปืนลูกโม่ด้วยมือเพียงข้างเดียวได้อย่างแพรวพราว จนทำให้เป็ดน้ำตัวหนึ่งวิ่งออกมาด้วยความตกใจ พ่อและพี่เขยของฉินสือโอวยังไม่ทันมองได้ชัด ก็เห็นแบล็คไนฟ์ตบข้างๆ ต้นขาด้านนอกข้างหนึ่ง พอเสียงปืนดังขึ้นมาอีกครั้งเป็ดน้ำตัวนั้นก็ถูกยิงตายแล้ว
เห็นว่าพ่อและพี่เขยยังเล่นได้ไม่เต็มที่ ฉินสือโอวจึงพูดขึ้นมาว่า “หรือกลับไปเก็บของ แล้วพวกเราค่อยขึ้นไปบนภูเขาดีไหม?”
พ่อของฉินสือโอวมองไกลออกไปในบริเวณรอบๆ หลังจากนั้นก็ส่ายหัวไปมา แล้วพูดว่า “ไม่ต้องขึ้นไปบนภูเขาหรอก เอาปืนออกมาเล่นให้พอหายอยากก็พอแล้ว ถ้าเอาปืนขึ้นไปบนภูเขาจริงๆ แล้วแม่แกไม่บ่นก็คงแปลก ใช่แล้ว เสี่ยวโอว ผักป่าบนภูเขาที่กินได้น่าจะมีอยู่ไม่น้อย ของพวกนี้น่าจะมาจากธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์เลยใช่ไหม ไม่มีคนกินเลยเหรอ?”
ฉินสือโอวไม่รู้จัก เลยถามอย่างงุนงงว่า “ผักป่าที่ไหนครับพ่อ?”
“ผักกูด ผักเบี้ยใหญ่ แล้วก็ผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะไง มีอยู่เยอะแยะ พ่อเห็นว่ามีครบทุกอย่างเลย คิดไม่ถึงว่าภูเขาของต่างประเทศจะมีผักป่าคล้ายๆ กันกับบ้านเกิดของพวกเราด้วย” พ่อฉินพูดพร้อมกับชี้ไปที่หญ้าป่าผืนสีเขียว
พี่เขยเลยพูดยิ้มๆ ว่า “นี่มันปกติมากๆ เลยนะ เป็นเขตอบอุ่นทั้งนั้นเลยนี่ ผักป่าเลยมีทิศทางการพัฒนาการไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด แต่ผมคาดว่าน่าจะมีส่วนแตกต่างอยู่นิดหน่อย ไม่รู้ว่าผักป่าที่นี่จะกินได้ไหม”
พ่อของฉินสือโอวพูดว่า “กินได้ มันเหมือนกัน แตกต่างกันตรงไหนเล่า ฉันเห็นว่าผักป่าที่นี่นุ่มมากๆ ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เราขึ้นไปเก็บผักป่าบนภูเขากันสักหน่อยไหมล่ะ? แล้วเอาปืนไปด้วย”
เมื่อได้ยินพ่อพูดอย่างนี้ ฉินสือโอวก็หัวเราะออกมา ตาเฒ่ายังอยากขึ้นไปยิงปืนล่าสัตว์บนภูเขาสักนัดสองนัดอยู่ ที่จริงแล้ว ถ้าไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม แม่ฉินคงไม่ปล่อยให้เขาขึ้นไปบนภูเขาแน่ๆ ถ้ามีข้ออ้างเรื่องเก็บผักป่า แบบนั้นก็คุยกันง่ายแล้ว
……………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset