ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 71 สำรวจยามค่ำคืน

บทที่ 71 สำรวจยามค่ำคืน
โดย
Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวกินอิ่มแล้ว หู่จือกับเป้าจือก็ไม่ต่างกัน ท้องของเจ้าสองตัวนูนกลม มันแลบลิ้นเลียปาก ประกบออดอ้อนฉินสือโอวซ้ายขวา พริ้มตาเหมือนยังเคลิบเคลิ้มกับความอร่อยของไก่นักเก็ต
“ช่างเป็นแลบราดอร์ที่น่ารักจริงๆ” ฮิวจ์ยิ้มอยากลูบๆมัน หู่จือหันมาพองขนใส่ ร่างเกร็งโก่งตัว จ้องฮิวจ์อย่างดุร้าย ถึงไม่ได้แยกเขี้ยวขู่ แต่ใครก็สัมผัสได้ทั้งนั้น ว่าเจ้าเด็กพวกนี้ไม่ยินดีให้คนนอกมาลูบจับ
“ใจเย็น หู่จือ เขาเป็นเพื่อน ทำตัวเป็นมิตรหน่อยสิ” ฉินสือโอวกล่าวยิ้มๆพลางใช้นิ้วลูบขนนุ่มสีทองบนหัวหู่จือ
เขาพูดจบ หู่จือก็เลียปาก ค่อยๆยอมสงบลง เดินเตาะแตะไปนั่งข้างฮิวจ์ ยื่นจมูกดมๆ เหมือนพยายามทำความคุ้นเคยฮิวจ์
คนรอบข้างต่างประหลาดใจกับเหตุการณ์นี้ ลุงฮิคสันหัวเราะเสียงดัง “แปลกจริงนะ ฉิน ไม่อยากจะเชื่อเลย เจ้าลูกหมาฟังที่นายพูดออกด้วยหรือเนี่ย?”
ฉินสือโอวลูบหัวเล็กๆของเป้าจือ พูดทั้งรอยยิ้ม  “เจ้าเด็กสองตัวนี้ฉลาดนะ ไม่ใช่แค่ฟังที่ผมพูดออก ยังฟังที่พวกคุณคุยกันรู้เรื่องด้วย พวกมันเลยเข้าใจคำนินทาที่พูดต่อหน้าพวกมันได้”
คนอื่นๆไม่เห็นด้วย ลูกหมาเข้าใจภาษาคนเนี่ยนะ? ล้อเล่นชัดๆ แต่หมาน้อยสองตัวนี้ก็ทำตัวคล้ายคนอยู่เหมือนกัน
ภายในโรงงานมีคนออกมาให้อาหารสุนัข ทำให้ในที่สุดเหล่าหมาดุร้ายอย่างเยอรมัน เชพเพิร์ดกับฟิล่า บราซิเลียโรก็เงียบเสียงลงเพื่อไปกินอาหาร
หู่จือและเป้าจือเห็นดังนั้น จึงรีบพุ่งเข้าไปอย่างเจ้าเล่ห์ พอวิ่งถึงหน้าประตูก็เริ่มเห่า ‘โฮ่งๆๆ’ ใส่
ไม่ใช่แค่เยอรมัน เชพเพิร์ดแม้แต่ฟิล่า บราซิเลียโร ล้วนเป็นหมาดุร้ายความอดทนต่ำ พอถูกหมาแลบราดอร์ล้อเลียนเช่นนี้ พวกมันจึงเลิกสนใจข้าว แล้วหันกลับไปยังประตู แยกเขี้ยวเห่าตอบไม่หยุด
เป้าจือสะดุ้งตกใจ ถอยไปสองก้าว หู่จือไม่เกรงกลัว ร่างเล็กๆของมันราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ที่เตรียมระเบิด มันไม่ถอยแต่กลับก้าวเข้าหา กางเล็บพิฆาตจิกพื้น ตาโตจ้องเขม็งขู่กลับ
แสดงอำนาจ ไร้ซึ่งความกลัว!
ก่อนจะได้พบฉินสือโอว หู่จือและเป้าจือเป็นหมาจรจัด และยังเป็นแค่ลูกหมา ไปที่ไหนก็โดนรังแก ทั้งผู้คนที่ทารุณพวกมัน หรือหมาจรจัดตัวใหญ่ แม้แต่แมวจรจัดต่างก็ทำร้ายพวกมัน
เมื่อตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ย่อมต้องการเอาชีวิตรอด โดยการทำตัวให้ดุร้ายเพียงพอ! และดุดันอย่างไม่กลัวตาย!
“เจ้าหนูนี่พอโตไปคงน่าเกรงขามทีเดียว” นายกเทศมนตรีแฮมเล็ตเอ่ยชมขณะมองหู่จือ “เขาจะเป็นผู้ช่วยที่ดีให้นายได้ ฉิน ฉันพนันได้เลยว่า เขาต้องกลายเป็นยอดชายชาตรี”
ฉินสือโอวยิ้มตอบ “แน่นอนอยู่แล้วครับ พ่อเป็นอย่างไรลูกก็เป็นอย่างนั้น ลูกชายผมทั้งสองจะเป็นพวกขี้ขลาดไปได้อย่างไรกัน?”
เขาผิวปาก หู่จือไม่จ้องกับพวกหมาดุในลานโรงงานต่อ แล้วเดินเอื่อยๆกลับมาพร้อมเป้าจือ ทว่ารอจนเหล่าหมาเตรียมจะกินอาหารกัน พวกมันก็พุ่งเข้าไปเห่าอีกรอบ เป็นอย่างนี้วนไป แกล้งเหล่าหมาดุไปได้ชั่วโมงกว่าจนมันกินอาหารไม่เสร็จเสียที
ชาวเมืองแฟร์เวลพลันตระหนักว่า ผู้คนมากมายที่มาประท้วงวันนี้ ดูจะไม่เด่นเท่าหมาสองตัวนี้ไปเลย
การประท้วงดำเนินต่อไปถึงบ่ายสี่โมง ดวงอาทิตย์เคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ฝูงคนจึงเริ่มแยกย้าย
ฉินสือโอวขับรถกลับฟาร์มปลา โดยด้านหลังมีรถโตโยต้า คัมรี่คันหนึ่งตามหลัง นายกเทศมนตรีแฮมเล็ตออกมาพร้อมชายผิวขาววัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีกับวัยรุ่นอายุสิบหกสิบเจ็ดปีอีกคน
“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ แฮมเล็ต ลมอะไรพัดให้คนสำคัญอย่างคุณมาที่นี่กันครับ?” ฉินสือโอวกล่าวทั้งรอยยิ้ม
แฮมเล็ตแปะมือกับฉินสือโอว จากนั้นแนะนำชายผิวขาววัยกลางคนข้างตัว “นี่คือเพื่อนร่วมงานเก่าของฉัน เขาชื่อดอน แพ็ตตัน ส่วนนี่ลูกชายเขา อลัน แพ็ตตัน”
“สวัสดีครับ ดอน สวัสดี อลัน” ฉินสือโอวจับมือทั้งสองคน
เขาพอเดาได้ว่าจุดประสงค์ของคนพวกนี้คืออะไร ดอนกับอลันต่างสวมเสื้อยีน หมวกกันแดด ในกระเป๋ายีนยังมีถุงมือไนลอน และสวมรองเท้าลุยน้ำ แต่งตัวเต็มยศแบบคนตกปลาอย่างนี้ ย่อมต้องการมาจับปลาที่ฟาร์มเขานั่นเอง
ดังคาด แฮมเล็ตพูดว่า “ดอนเป็นคนรักการตกปลาน่ะ ตอนมาเยี่ยมฉันที่เมืองรอบนี้ บังเอิญเขาอยากหาที่ตกปลาเสียหน่อย ฉิน นายก็รู้ว่าตอนนี้เมืองแฟร์เวลกำลังวิกฤต ขืนให้เขาไปตกปลาสุ่มสี่สุ่มห้า ให้ถึงเย็นก็คงจับอะไรไม่ได้ ฉันจึงให้พวกเขามาที่ของนาย จะได้ตกจนหนำใจเลย”
ฟาร์มปลาของฉินสือโอวก้าวหน้าไปมาก คนในเมืองแฟร์เวลล้วนรู้เรื่องนี้ดีทั้งนั้น มีทั้งสาหร่าย ทั้งลูกปลาค็อด ฟาร์มปลาต้าฉินตอนนี้ถือเป็นเวนิสแห่งเมืองแฟร์เวลเลยทีเดียว
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ แต่ทางผมยังไม่มีปลาตัวใหญ่มากนัก พวกคุณขับเรือผมออกไปตรงโซนทะเลลึกอีกหน่อยก็แล้วกันครับ  ถ้าโชคดีอาจได้เจอปลาทูน่ากับปลากระโทงร่ม ปลากระโทงดาบ และปลากระบอกเทาตัวใหญ่ก็ได้ครับ” ฉินสือโอวกล่าวแนะนำ
ชาวต่างชาติไม่ได้มีความสุภาพเท่าคนจีน ซึ่งการพูดของฉินสือโอวก็ตรงตามความคิดพวกเขาพอดี ดอนเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “ยอดเยี่ยมมากเลย ฉิน ถ้าไปตกปลาตรงทะเลลึกได้ ฉันว่าวันนี้พวกเราคงได้อะไรติดไม้ติดมือมาแน่นอน”
“พวกคุณจะขับเรือลาดตระเวนหรือเรือยอชต์ทรอลเลอร์ดีครับ?” ฉินสือโอวพูดขึ้น
แฮมเล็ตเอ่ยยิ้มๆ “ไม่จำเป็นหรอก พวกนายชาวจีนมีคำกล่าวว่าเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่ไม่ใช่เหรอ? พวกเราเป็นเพียงนักตกปลาเล็กๆ ยืมใช้แค่เรือหัวกว้างของนายก็เพียงพอแล้ว”
ฉินสือโอวไม่ได้สุภาพ เขาตั้งใจจะให้ยืมเรือใหญ่สองลำนั้นจริงๆ เพราะเป้าหมายที่จะไปตกในทะเลลึกนั้นปกติก็หนึ่งเมตรขึ้นไปแล้ว ถ้านั่งเรือเล็กไป เจอปลาใหญ่สี่ห้าร้อยปอนด์เข้า ได้โดนลากจนเรือคว่ำแน่
“ขับเรือลาดตระเวนเถอะครับ พวกคุณวางแผนจะตกปลากลางคืนด้วยไม่ใช่เหรอ?” ฉินสือโอวกล่าว
ดอนเอ่ยอย่างยินดีว่า “นั่นยิ่งเยี่ยมไปเลย ฉิน นายไม่มาด้วยเหรอ? การตกปลาเป็นหนึ่งในเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยนะ ลองคิดดูสิ กลางทะเลอันกว้างใหญ่ พวกเราที่ดิ้นรนต่อสู้กับเหล่าเจ้าแห่งท้องทะเล น่าตื่นเต้นดีออก”
ฉินสือโอวโบกมือปฏิเสธ “เอาไว้คราวหลังดีกว่าครับ เย็นนี้ผมมีธุระอื่น คงร่วมด้วยไม่ได้”
เย็นนี้เขามีธุระอื่นจริงๆ ก็คือไปสำรวจปัญหาท่อระบายน้ำของโรงงานทั้งสองแห่ง และรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด
พวกแฮมเล็ตกับดอนเตรียมอาหารเย็นและของว่างยามดึก แล้วขับเรือออกทะเลไป ดอนเองก็ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการออกทะเลเหมือนกัน มีกระทั่งใบขับขี่เรือยอชต์ การขับเรือลาดตระเวนจึงไม่ใช่ปัญหา
ฉินสือโอวเตรียมอาหารเย็นเอง พอไม่มีวินนี่บ้านก็ค่อนข้างเงียบเหงา เขาเดินไปในครัว ยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกแพโกดาบนตัววินนี่อยู่
ก่อนหน้านี้ วินนี่เป็นคนเตรียมอาหารเย็นทั้งหมด ส่วนเขาได้โชว์ฝีมือเป็นครั้งคราว
หู่จือกับเป้าจือหมอบอยู่ตรงประตู พอกระรอกเสี่ยวหมิงกระโดดลงมาจากหน้าต่าง ทั้งสองตัวก็หันไปมองเป็นตาเดียว เมื่อรู้ว่าเจ้าสิ่งที่เล็กกว่าพวกมันนี้คงแกล้งด้วยไม่สนุก จึงพร้อมใจกันกลับไปนอน ทำเป็นไม่เห็นมัน
เสี่ยวหมิงปีนไต่ขาของฉินสือโอวขึ้นไปบนไหล่อย่างคล่องแคล่ว เจ้านักปีนน้อยเล่นหางตัวเองพลาง รอให้เขากินเสร็จ ฉินสือโอวหันมามอง ผลไม้ในบ้านกินหมดแล้ว เขาเลยหยิบผลฮาเซลนัทสองลูกให้เสี่ยวหมิงแทน
มันรับฮาเซลนัทมาไว้ในมือ แต่เสี่ยวหมิงไม่กิน เพียงส่งเสียง ‘จิ๊ดๆ’ สองครั้ง
ฉินสือโอวถอนหายใจ ตอบว่า “ไม่มีผลไม้แล้ว กินรองท้องไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันซื้อผลไม้มาให้”
เสี่ยวหมิงกระโดดลงมาบนโต๊ะทั้งหงอยๆ ฟันแทะ ‘กรุบ’ เปิดเปลือกฮาเซลนัท กินเมล็ด แล้วโยนเปลือกทิ้งลงไปโดนหัวหู่จือและเป้าจือ
หู่จือกับเป้าจือเริ่มโกรธแล้ว ไอ้เวรนี่ พ่อไม่เอาเรื่องหน่อยแกก็คิดว่าพวกข้าเป็นไก่อ่อนเลยหรือ? พวกมันพองขนคอขู่ตามสัญชาตญาณ ทว่าโต๊ะนั้นสูงเกินไป ด้วยร่างเล็กๆของทั้งสองตัว เลยไม่สามารถขึ้นไปหาเจ้ากระรอกได้ จำต้องตัดใจอย่างหงุดหงิด
ตอนเย็นหนึ่งทุ่มครึ่ง ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำไปทางภูเขาตะวันตก หมู่ดาวพร่างพรายเต็มฟ้า ราวกับเพชรพลอยที่กระจัดกระจายบนผ้าแพรสีดำ ระยิบระยับ
ฉินสือโอวเรียกชาร์คและนีลเซ็นมา เตรียมออกทะเล ขณะยืนบนท่าเรือเขาเงยมองไปยังฟ้ากระจ่าง พูดว่า “ถ้าเกิดไม่มีมลภาวะ ท้องฟ้ากลางคืนจะสวยกว่านี้ไหมนะ?”
ชาร์คตอบอย่างโกรธเคือง  “ถ้าไม่มีไอ้มลภาวะบ้านี่นะ พระเจ้า เกาะแฟร์เวลจะกลายเป็นสรวงสวรรค์บนดินเลย บอส คุณจินตนาการไม่ออกหรอกว่ามันเคยสวยขนาดไหน!”
“งั้นพวกเรายิ่งต้องไล่ไอ้โรงงานพวกนั้นออกไปให้ได้!” ฉินสือโอวสตาร์ทเจ็ทสกี ขับนำออกไป
นีลเซ็นซ้อนกับชาร์ค ขับไปตามชายฝั่งเกาะแฟร์เวล เจ็ทสกีสองลำพุ่งสู่ทิศตะวันตก
มีลมกลางคืนพัดผ่านเบาๆ คลื่นทะเลซัดสาด เสียงน้ำทะเลกระทบทรายกลบเสียงมอเตอร์เจ็ทสกีที่คำราม หากไม่มีไฟหน้าซีนอนสาดแสงขาวใส่ การจะหาตัวพวกฉินสือโอว ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย
ฟาร์มปลาต้าฉินตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะแฟร์เวล ส่วนโรงงานตัวการสองที่นั้นอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างห่างกันมา และเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉินสือโอวไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาตั้งแต่แรก เพราะเขามองไม่เห็นมลภาวะ เลยไม่ได้สนใจ
เมื่อมาถึงเกาะฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ก็เห็นตึกโรงงานขนาดใหญ่สองแห่งข้างชายฝั่ง ตึกโรงงานสองตึกในความมืดช่างคล้ายกับสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ และแสงไฟสีเทาเหลืองก็คือดวงตาของพวกมัน
พอเข้าไปใกล้เขตโรงงาน น้ำทะเลก็ส่งกลิ่นแปลกๆ ทั้งเหม็นเปรี้ยวเหม็นฉุน ถ้าเป็นตอนกลางวัน คงจะมองเห็นสีน้ำทะเลที่เปลี่ยนไปได้ชัดเจนกว่า
จิตสำนึกโพไซดอนของฉินสือโอวตามกวาดล้างไปตลอดทาง ยิ่งเข้าใกล้ตัวโรงงาน ยิ่งสัมผัสถึงพลังชีวิตในทะเลยากขึ้น ในน้ำทางเกาะตะวันตกยังพอมีปลาแฮร์ริ่ง และสิ่งมีชีวิตน้ำจืด ทว่าเมื่อมาถึงทางตะวันตกเฉียงเหนือ กลับไม่มีสาหร่ายแม้แต่น้อย ท้องทะเลโล่งเตียน มีแต่ความตาย!
“ต้องย้ายโรงงานสองตึกนี้ออกไปให้ได้” ฉินสือโอวตั้งปณิธาน
เมื่อใกล้ถึงโรงงาน นีลเซ็นดับไฟเจ็ทสกีลง ค่อยๆขับไปด้านหน้าฉินสือโอวเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ที่นี่แหละ บอส ดับไฟเถอะ เกิดไอ้บ้าในโรงงานพวกนั้นเห็นเข้าได้ยุ่งยากแน่”
                ………………………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset