ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 96 เด็กเร่ร่อน

บทที่ 96 เด็กเร่ร่อน
โดย
Ink Stone_Fantasy

พอได้ยินทั้งเสียงหมีร้องกับเสียงกรีดร้องของเด็ก ฉินสือโอวใจหล่นตุ้บทีหนึ่ง เขารีบวิ่งพรวดออกไปนอกบ้านพัก ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องความทรงจำวัยเด็กแล้ว
มองออกไปนอกประตู ตรงประตูหน้าฟาร์มปลา ฉงต้าที่คลานอยู่บนพื้นยื่นคอออกไปร้องไม่หยุด หู่จือกับเป้าจือก็ร่วมวงเห่าอยู่ข้างๆ ก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งขดอยู่ตรงมุมหลังประตูใหญ่
ฉินสือโอววิ่งออกไป พลางวิ่งพลางตะโกนออกไปว่า “ฉงต้า หู่จือ เป้าจือ มานี่ รีบมา!”
หู่จือกับเป้าจือเชื่อฟังมาก เมื่อได้ยินเขาตะโกนก็รีบหุบปากลงเปลี่ยนไปเลียปากแทน แล้วกระดิกหางไปมาเดินมาหาเขา แต่ฉงต้ากลับไม่สนใจคำพูดของเขา ยังคงส่งเสียงโฮกโฮกไปทางเด็กเหล่านั้นไม่หยุด
ช่วงนี้สงสัยฉงต้าคงจะเบื่อสุดขีด เพราะตั้งแต่มันมาอยู่ที่ฟาร์มปลาก็โดนรังแกตลอด โดนทั้งสุนัขแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์รังแก โดนวีลเซ็นกับพวกแหย่ และยังโดนปูหนีบจนร้องไห้ชุดใหญ่อีก ในที่สุดตอนนี้มันก็เจอกับเด็กๆที่กลัวมันแล้ว จึงถือโอกาสระบายอารมณ์อย่างสะใจ
ฉินสือโอววิ่งเข้าไป รีบลากฉงต้าออกมา ยังดีที่เขาแรงเยอะ หมีสีน้ำตาลน้ำหนักสี่ถึงห้าสิบชั่งสำหรับเขาแล้วก็เหมือนกระสอบข้าวหนึ่งกระสอบเท่านั้น แป๊บเดียวก็ลากมันออกมาได้
เมื่อจับฉงต้าได้แล้ว ฉินสือโอวก็ฟาดฝ่ามือไปที่ก้นของมัน ด่าว่า “เด็กดื้อ! แกมันเป็นเด็กดื้อ! ฉันเรียกแกอยู่แกไม่ได้ยินเหรอ?! ต่อไปจะกล้าขู่คนอีกไหม? ต่อไปจะไม่เชื่อฟังฉันอีกไหม? เชื่อหรือไม่เชื่อฟัง?!”
ยังไงฉงต้าก็เป็นคนกันเอง เขาเพียงอยากขู่มันเท่านั้น ไม่ได้ออกแรงตีมันมาก
แต่ว่าฉงต้าก็เหมือนเด็ก ขี้แยมากมาย โดนฉินสือโอวตีไม่กี่ทีก็กรีดเสียงร้องอู้อู้ขึ้นมา หากคนไม่รู้คงคิดว่าฉินสือโอวใช้มีดแทงไปที่ก้นมันเสียอีก
เมื่อสั่งสอนฉงต้าแล้ว ฉินสือโอวให้มันมาอยู่ข้างหลังแล้วมองไปที่หลังประตู มุมตรงหลังประตูนั้น มีเด็กอายุราวสิบขวบสี่คนกำลังยืนขดอยู่แล้วมองมาที่เขาอย่างตื่นกลัว เด็กผู้ชายสามคน เด็กผู้หญิงหนึ่งคน เสียงกรีดร้องที่ได้ยินก่อนหน้านี้ก็คือเสียงของเด็กผู้หญิงคนนี้
ในเด็กสี่คนนั้นมีสามคนเป็นเด็กผิวขาว คนโตที่สุดเป็นเด็กคนดำ พวกเขาขดตัวติดกันแล้วจ้องมาที่ฉินสือโอวอย่างตื่นตระหนก ทำให้ฉินสือโอวนึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอหู่จือกับเป้าจือขึ้นมา
ฉินสือโอวรู้สึกไม่คุ้นหน้าเด็กสี่คนนี้มาก่อน เขาคงจะไม่เคยเห็นเด็กพวกนี้ในเมืองมาก่อนแน่ และก็คงไม่ใช่เพื่อนเล่นของชาร์คน้อย  ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง
ขณะกำลังสงสัยอยู่นั้น เขาก็ถามว่า “ดี ทุกคน พวกเธอมาบ้านฉันมีอะไรหรือเปล่า? พวกเธอเป็นเด็กจากบ้านไหน?”
เด็กทั้งสี่คนไม่มีใครตอบ ยังคงขดตัวติดกันมองมาที่เขาอย่างตื่นตระหนก ฉินสือโอวตบไปที่ก้นของฉงต้า หันไปพยักหน้ากับหู่จือและเป้าจือ สุนัขแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์สองตัวจึงพาฉงต้าเดินกลับไปที่บ้านพัก
เห็นทีฉงต้าคงยังขู่พวกเด็กๆไม่หนำใจ ตอนเดินกลับไปก็ยังไม่วายหันมามองเป็นระยะ กะว่าจะอ้าปากร้องขู่ต่ออีก ฉินสือโอวจ้องตาเขม็งไปที่มัน มันถึงยอมเดินคอตกกลับไป
เมื่อหมีสีน้ำตาลและแลบราดอร์รีทรีฟเวอร์จากไปแล้ว ท่าทางของเด็กทั้งสี่คนก็เริ่มผ่อนคลาย ฉินสือโอวเดินยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา ตาเหลือบไปเห็นที่ฝ่ามือของพวกเขาต่างก็ถูกย้อมไปด้วยน้ำสีดำและสีน้ำเงิน ครุ่นคิดในใจ เด็กสี่คนนี้น่าจะมาเด็ดบลูเบอร์รีและแบล็กเบอร์รีของเขากินแน่นอน
สองข้างทางของประตูใหญ่หน้าฟาร์มปลาเป็นสวนผัก ในนั้นมีปลูกไม้พุ่มเบอร์รีต่างๆและต้นผลไม้ ถึงแม้บนต้นผลไม้จะยังไม่ออกผล แต่ไม้พุ่มเบอร์รีนั้นเป็นต้นที่ชาร์คและซีมอนสเตอร์ตอนกิ่งมาจากไม้พุ่มที่โตแล้ว ทำให้เต็มไปด้วยผลบลูเบอร์รี แบล็กเบอร์รี โลแกนเบอร์รี ราสเบอร์รี และเชอร์รี
เด็กสี่คนนี้คงจะเข้ามาเด็ดผลเบอร์รีกิน แต่ดันมาเจอเข้ากับฉงต้าที่กำลังเล่นอยู่ข้างนอก ฉงต้าคงคิดว่าพวกเขาคือขโมย จึงต้อนเด็กสี่คนนี้ไว้ตรงหลังประตู
 “พวกเธออยากกินสตรอว์เบอร์รีเหรอ? หรือว่าลูกเชอร์รี?” ฉินสือโอวเด็ดราสเบอร์รีออกมาจำนวนหนึ่งยื่นออกไป พูดว่า “ไม่เป็นไร ชอบก็เด็ดกินเถอะ อ้อ แล้วพวกเธอเป็นเด็กบ้านไหนกัน?”
เด็กทั้งสี่คนก้มหน้าไม่พูดไม่จา ฉินสือโอวเดินเข้าไปใกล้จึงพบว่า เด็กสี่คนนี้ต่างก็ใส่เสื้อเก่าขาดรุ่ย เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นประหลาด ก่อนหน้าเพราะยืนอยู่ไกล เขายังนึกว่าเด็กพวกนี้จงใจแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆเพราะแฟชั่นเสียอีก แต่มองจากที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่นและคราบเปื้อนนั้น คงจะไม่ใช่หรอก
ชาร์คที่เก็บแหจับปลาอยู่ในโกดังก่อนหน้านี้ก็เดินออกมา เมื่อได้เห็นรูปร่างสูงใหญ่กำยำ หน้าตาดุดันของชาร์ค เด็กผู้หญิงที่กำลังยื่นมือไปหยิบผลเชอร์รีบนมือฉินสือโอวก็หดมือกลับไป เด็กคนดำที่โตหน่อยคิดจะพาพวกเขากลับไปอย่างเงียบๆ
ฉินสือโอวถามว่า “พวกเธอไม่กินผลไม้แล้วเหรอ?”
ชาร์คกวักมือให้ฉินสือโอว อธิบายว่า “ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอกครับ บอส พวกเขาไม่ใช่เด็กจากในเมือง น่าจะเป็นเด็กเร่ร่อน”
ฉินสือโอวรู้สึกงงกับคำพูดของเขา จึงถามอย่างแปลกใจว่า “เด็กเร่ร่อน นายหมายถึงว่า พวกเขาเป็นเด็กกำพร้าเหรอ? สวัสดิการของแคนาดาถือว่าดีไม่ใช่หรือไง? ทำไมสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่เข้ามาช่วยเหลือล่ะ?”
ชาร์คพูดอย่างห่อเหี่ยวใจว่า “สวัสดิการของรัฐก็มีการแบ่งแยกเหมือนกัน คนแก่และเด็กในหลายๆที่ต่างก็ไม่ได้รับการดูแลที่ดี โดยเฉพาะย่านคนยากจน ผู้คนที่นั่นไม่เสียภาษี ไม่จ่ายค่าประกัน ทางรัฐจึงไม่ดูแลครับ”
 “เราไปเชื่อตามข่าวไม่ได้หรอกครับ ข่าวที่พวกเขาปล่อยออกมามีแต่คนโง่เท่านั้นครับที่ดู รัฐบาลก็เหมือนแก๊งนักเลงแหละครับ พวกเขาจะคุ้มครองก็แต่คนที่จ่ายค่าคุ้มครองเท่านั้น อีกอย่างคนหนุ่มสาวสมัยนี้ก็ใช้ชีวิตกันตามแต่ใจ ตอนอยู่ด้วยกันไม่รู้จักประหยัด พอมีลูกแล้วพวกเขาก็เลิกกัน เลยต้องทิ้งลูกๆไป ในแคนาดามีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากี่ที่กันเชียว? ดูแลไม่หมดหรอกครับ”
คำพูดของชาร์คค่อนข้างเย็นชา ฉินสือโอวพูดว่า “รัฐบาลแคนาดาไม่ใช่สนับสนุนให้มีลูกหรอกเหรอ? เท่าที่ฉันรู้มา คลอดลูกที่นี่มีรางวัลให้ด้วยใช่ไหม?”
ชาร์คหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณไปฟังใครพูดมั่วมาครับ? ไม่ครับ ไม่มีรางวัล แต่ว่าหากคนที่เสียภาษีอยู่แล้วคลอดลูกจะได้รับเงินประกันนิดหน่อย นั่นไม่ใช่รางวัลครับ เป็นสวัสดิการที่คนเสียภาษีควรจะได้อยู่แล้ว อีกอย่างได้สวัสดิการแค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว”
ฉินสือโอวส่ายมือ พูดว่า “แคนาดาเป็นถึงประเทศที่เจริญแล้ว แต่แค่เด็กกำพร้ากับคนแก่ยังดูแลไม่ได้ รัฐบาลยังจะมีหน้ากล้าพูดว่าตัวเองคือรัฐบาลที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างไร?”
 “สำหรับคนที่เสียภาษีแล้ว สวัสดิการที่รัฐให้ถือว่าดีใช้ได้แหละครับ แต่ว่าบอส คุณก็น่าจะรู้ ที่ที่มีแสงอาทิตย์ย่อมมีจุดที่แสงส่องไม่ถึงเสมอ รัฐบาลของแคนาดาและนิวฟันแลนด์ไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงหรอกครับ” ชาร์คพูดแก้ต่างให้
บทสนทนาของเขาทั้งสอง ใช้สรรพนามว่า’รัฐบาลแคนาดา’ไม่ใช่’รัฐบาลของเรา’ เหตุผลก็เพราะฉินสือโอวไม่มีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่เลย ส่วนทางด้านชาร์ค เขายิ่งไม่มีความรู้สึกนี้!
เรื่องนี้คงต้องโยงถึงปัญหาใหญ่ที่เกิดจากการรวมประเทศ นิวฟันแลนด์เป็นมณฑลสุดท้ายที่เข้าร่วมกับแคนาดา นอกจากนี้เหตุผลที่เข้าร่วมยังเป็นเพราะผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่สองทำให้จำต้องยอมเข้าร่วมในระบบสหพันธรัฐอย่างเลี่ยงไม่ได้อีก
เมื่อก่อนนั้น นิวฟันแลนด์ก็เหมือนกับแคนาดา ต่างก็เป็นสหพันธรัฐทั้งคู่ ในประวัติศาสตร์ยังมีบอกไว้ว่าทั้งสองประเทศยังเคยทำสงครามกันในเรื่องการล่าอาณานิคมกันอีกด้วย
ดังนั้น คนนิวฟันแลนด์จึงไม่ยอมรับรัฐบาลแคนาดามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ฟาร์มปลานิวฟันแลนด์โดนรัฐบาลแคนาดาบังคับให้ปิดตัวลง ในปี1992ตอนที่รัฐบาลประกาศให้มีการปิดฟาร์มปลานั้น นิวฟันแลนด์เกือบจะก่อจลาจล ถ้าหากมีกองกำลังทหารอยู่ ไม่แน่ว่าตอนนั้นแคนาดาคงจะเกิดสงครามกลางเมืองแน่
เหมือนกับเท็กซัสในอเมริกา ประชากรชาวเท็กซัสก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนอเมริกาเช่นกัน
ฉินสือโอวและชาร์คคุยกันต่ออีกสักพัก หลักๆก็บ่นกันเรื่องความไร้ความสามารถของรัฐบาล ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ ว่ารัฐบาลทั่วโลกก็เหมือนกันหมด ทำเป็นหัวเราะเยาะคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เหมือนดั่งทหารที่เดินถอยทัพไปห้าสิบก้าวแต่กลับหัวเราะเยาะเย้ยทหารที่ถอยทัพไปร้อยก้าว
เมื่อคุยกันจบฉินสือโอวกำลังจะเดินออกไป แต่พอหันหน้าไป ก็เห็นเด็กสี่คนนั้นยังอยู่กันหน้าประตู มองเขาอย่างตื่นกลัว
ชาร์คเดินจากไป ฉินสือโอวจึงเดินเข้าไปหาพวกเขา เด็กชายผิวดำที่ตัวโตหน่อยก้าวออกมา พูดกับเขาว่า “คุณครับ คุณดูเป็นคนดีคนหนึ่ง พระเจ้าคุ้มครองคนดีเสมอ! ขอถามหน่อยครับ บ้านคุณมีของกินไหมครับ? ขนมปัง เค้กหรืออะไรก็ได้ ขอให้พวกเราได้กินอะไรบ้างได้ไหมครับ?”
เด็กผมทองอีกคนพูดเสริมว่า “ให้พวกเราทำงานให้คุณแลกกับอาหารก็ได้ครับ”
ฉินสือโอวนำราสเบอร์รีแบ่งให้พวกเขา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องช่วยฉันทำงานก็ได้ การใช้แรงงานเด็กน่ะผิดกฎหมาย ฉันไม่อยากทำผิดกฎหมาย แต่ว่า ถ้าพวกเธอหิวก็เข้ามากินอะไรก่อนเถอะ มีขนมปัง และยังมีไส้กรอกปิ้งและปลาเผาด้วย”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว เด็กทุกคนต่างหน้าแดงด้วยความดีใจ เด็กผมทองพูดว่า “ไม่กี่วันก่อนพวกผมไปทำงานให้กับโรงงานเคมีชุนเทียน เจ้าของโรงงานที่นู่นไม่กลัวเรื่องใช้แรงงานเด็ก อีกอย่างพวกผมทำงานพาร์ทไทม์เท่านั้น ไม่ผิดกฎหมายหรอกครับ”
ฉินสือโอวเลิกคิ้ว พับผ่าสิ โรงงานเคมีชุนเทียนกล้าแม้กระทั่งใช้แรงงานเด็กเลยเหรอ? ดีที่พวกเขายังรู้กาลเทศะยอมออกไปจากเมือง ไม่อย่างนั้นเขาต้องให้เออร์บักฟ้องจนต้องวิ่งหางจุกตูดออกไปเลยเชียว
ในทวีปอเมริกาเหนือ การใช้แรงงานผู้เยาว์ถือเป็นเรื่องที่หนักหนา สำหรับผู้ประกอบธุรกิจแล้วค่าปรับสูงกว่าห้าแสนเหรียญเลยทีเดียว!
แน่นอน ในเมืองปิดอย่างเกาะแฟร์เวลอย่างนี้ การใช้แรงงานผู้เยาว์นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ขนาดนั้น เพราะว่าที่นี่อยู่ไกลจากผืนดินดังนั้นกฎหมายก็พัฒนาช้าตามไปด้วย ขอเพียงไม่มีคนฟ้องร้องก็ไม่ต้องเจอกับปัญหาทางกฎหมายอะไร
อย่างเช่นฉินสือโอว ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่มีใบขับขี่ แต่ยังคงขับรถคาลดิลแลควันโฉบไปมาในเมืองได้อย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ ในเกาะแฟร์เวลไม่มีตำรวจจราจร ดังนั้นจึงไม่มีใครมาขอตรวจใบขับขี่กับเขา
หากเป็นเซนต์จอห์นหรือเมืองพื้นดินอื่นๆ อย่างฉินสือโอวที่ไม่มีใบขับขี่แล้วยังกล้าขับรถไปมาบนถนนแล้วล่ะก็ คงได้เข้าโรงพักกินข้าวแดงไปแล้ว
เมืองเล็กก็มีประโยชน์ของเมืองเล็กเช่นกัน ทั้งอิสระ จริงใจ เรียบง่าย แสงแดด สบาย…
……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset