ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 99 ลมหยุดฝนซา

บทที่ 99 ลมหยุดฝนซา
โดย
Ink Stone_Fantasy

จากนั้น เมื่อเด็กสี่คนอาบน้ำเสร็จแล้วก็ทยอยกันเดินออกมา พวกเขาไม่เพียงอาบน้ำแม้แต่เสื้อก็ซักเรียบร้อย แล้วก็ใส่ทั้งเสื้อเปียกๆอย่างนั้นออกมาด้วย
ฉินสือโอวรีบให้พวกเขาเข้าห้องน้ำไปถอดเสื้อออก แล้วโยนลงเครื่องซักผ้าซักและปั่นแห้ง จากนั้นก็ใช้เครื่องอบผ้าอบให้แห้ง ค่อยให้พวกเขาใส่
 “ดูสิ ผมนี่ดูแลเด็กไม่เป็นจริงๆ” ฉินสือโอวพูดอย่างจนปัญญา
เมื่อสวมเสื้อที่สะอาดแล้ว พวกเด็กๆก็เดินเข้ามานั่งลงบนพื้นอย่างมีระเบียบ ฉินสือโอวให้พวกเขานั่งบนโซฟา แต่พวกเขาก็ดึงดันปฏิเสธ
 “ฉันมีเรื่องจะพูดกับพวกเธอ”
 “คือแบบนี้ ฉันชื่อฉิน เป็นเจ้าของฟาร์มปลาแห่งนี้ คุณลุงคนนี้คือทนายความของฉัน คุณเออร์บัก พวกเธอก็คงเห็นแล้ว ว่าฟาร์มปลาของฉันใหญ่มาก สถานะทางการเงินของฉันก็ถือว่าดี…”
ฉินสือโอวพูดช้าๆ
เด็กชายที่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ฟังถึงตรงนี้ก็ดีใจจนหยุดไม่อยู่ ถามว่า “คุณจะบอกว่า ฟาร์มปลาของคุณพนักงานไม่พอ จะให้พวกเรามาทำงานเหรอครับ? รับรองว่าไม่เป็นคดีความแน่นอนครับ”
ฉินสือโอวโบกปัดมือ แล้วพูดว่า “ไม่….”
ใบหน้าเด็กสี่คนแสดงออกถึงความผิดหวัง
ฉินสือโอวพูดต่อว่า “ฉันอยากให้พวกเธออยู่ต่อ แต่ไม่ใช่รับเลี้ยงพวกเธอนะ พวกเธออยู่ที่ฟาร์มปลา ไม่ต้องออกไปเร่ร่อนอีก ฉันจะอุปการะให้พวกเธอได้เรียนหนังสือและโตเป็นผู้ใหญ่เอง”
ฟังจบ ปฏิกิริยาของเด็กทั้งสี่คนไม่เหมือนกัน เด็กที่เก็บตัวใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ เด็กหญิงมีความลังเล เด็กที่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่นั้นดีใจสุดขีด ส่วนเด็กชายผิวสีดำนั้นออกจะตื่นกลัว ดวงตาเลิ่กลั่กไม่หยุด เหมือนกับกำลังมองหาอะไร
ฉินสือโอวพอเดาความคิดของเด็กพวกนี้ออก เด็กผิวสีดำมีความคิดเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขารู้ว่าในโลกนี้ไม่มีของฟรีอยู่ ตัวเขาทั้งเลี้ยงข้าวทั้งจะขออุปการะพวกเขา อาจจะมีแผนชั่วอะไรอยู่ก็ได้
เด็กหญิงก็คงมีความคิดคล้ายๆกัน แต่คงจะเชื่อว่าทุกคนมีความคิดที่จะทำความดี จึงไม่อยากจะสงสัยในตัวฉินสือโอวมากเกินไป
เด็กอีกสองคนนั้นคงไม่ต้องพูด ไร้เดียงสาขนาดนี้คงไม่ได้คิดอะไรนอกจากดีใจเท่านั้น
เออร์บักยิ้มอย่างใจดี นั่งลงบนพื้นมองไปที่เด็กทุกคน พูดว่า “พวกเธอเรียกฉันว่าคุณปู่เออร์ก็ได้ ความจริงคือฉันเองที่อยากรับเลี้ยงพวกเธอ เพราะฉันก็เคยเป็นเด็กกำพร้าอย่างพวกเธอมาก่อน จากนั้นก็ถูกรับเลี้ยงโดยคนดีคนหนึ่ง ถึงมีวันนี้ได้ แต่ว่าพวกเธอก็เห็นแล้ว ว่าอายุฉันไม่เหมาะสม ดังนั้น จึงต้องให้ฉินมาคอยช่วยดูแลพวกเธอชั่วคราว”
ฉินสือโอวภายนอกยิ้มแต่ในใจกลับถอนหายใจไม่หยุด นี่มันเรื่องอะไรกัน ตัวเองยังไม่ทันแต่งงานก็ต้องเป็นพ่อคนแล้วเหรอ? แต่ว่าก็มีดีอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือเขาเพียงแค่รับผิดชอบดูแลพวกเขา ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในด้านกฎหมาย ไม่อย่างนั้นหากลองคิดในด้านลบ หากวันหนึ่งเขามีลูกของตัวเองขึ้นมา จะแบ่งสมบัติกันอย่างไร?
ในขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาคิดได้ถึงปัญหาน่ากลัวอีกปัญหาหนึ่ง คุณปู่ของตนนั้น ได้ข่าวว่าตอนหนุ่มๆถือได้ว่าเป็นคาสโนว่าคนหนึ่ง ทำไมถึงไม่มีลูกหลานเลยสักคน? ถึงกับต้องยกทรัพย์สมบัติให้กับเขาเลยเหรอ?
เป็นไปได้ไหมว่า ราคาของการได้รับพลังโพไซดอน ก็คือสูญเสียคุณสมบัติในการให้กำเนิด?
พอคิดถึงตรงนี้ ฉินสือโอวรู้สึกเย็นวาบไปทันที ลองคิดให้ลึกกว่านี้ ไม่ว่าเออร์บักจะทำอะไรก็จะคิดเผื่อเขาก่อนเสมอ ครั้งนี้ที่เขาออกแรงยุยงเขา ถึงขั้นบังคับให้เขารับเลี้ยงเด็กพวกนี้เพราะอะไรกัน? ไม่รู้ว่าจะมีตื้นลึกหนาบางอะไรแอบซ่อนอยู่หรือเปล่า?
 “คุณทำงานอะไรนะครับ?” เด็กชายผิวสีดำถามเชิงสอบสวน
เออร์บักหยิบใบอนุญาตว่าความทนายของเขาออกมา ยิ้มบางๆว่า “ฉันเป็นทนายความ ก่อนจะเกษียณเคยทำงานที่สถานทูตและเป็นประธานศาลสูงสุดของศาลทั้งสี่รัฐ”
เมื่อได้เห็นบัตรประจำตัวทนายความสีน้ำตาล เด็กชายผิวดำกับเด็กผู้หญิงดูโล่งใจไปมาก จากนั้นพวกเขาก็เริ่มถามคำถามสัพเพเหระที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
 “พระเจ้า พวกคุณจะรับเลี้ยงพวกเราจริงเหรอครับ? ต่อไปพวกเราสามารถอยู่ที่ฟาร์มปลาได้จริงเหรอครับ?”
 “พวกเราจะได้กินอิ่มทุกมื้อใช่ไหมครับ? กินข้าวผัดที่แสนอร่อยเหมือนเมื่อกี้อีกได้ไหมครับ?”
 “ต่อไปจะไม่มีคนมารังแกพวกเราแล้วใช่ไหม?”
 “แบบนี้พวกเราก็ไปโรงเรียนได้แล้วใช่ไหม?”
ฉินสือโอวสลัดความคิดมากของเขาออกไปชั่วคราว เขาฝืนยิ้มโบกปัดมือแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ต่อไปพวกเธอจะอยู่ที่นี่ ทุกคนจะมีห้องเป็นของตัวเอง จะได้กินอิ่มทุกมื้อ และไม่มีคนมารังแกพวกเธอได้อีก แน่นอนว่าพวกเธอต้องไปโรงเรียนด้วย ตามนี้แหละ”
 “ทุกคนจะมีห้องเป็นของตัวเอง? พระเจ้า นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม? ห้องของตัวเอง? ห้องที่สามารถตกแต่งห้องอย่างไรก็ได้?” เด็กผู้หญิงเบิกตาสีฟ้าเขียวโตแล้วถามอย่างดีใจ เด็กอีกสามคนก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
ฉินสือโอวไม่มีวันเข้าใจ ความรู้สึกของเด็กกำพร้าในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ห้องหนึ่งมีเด็กยัดรวมกันถึงเจ็ดถึงสิบคน การได้มีที่ส่วนตัวที่เป็นของตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันแค่ไหน!
ในทุกปีทั้งอเมริกาและแคนาดาต่างก็มีเด็กกำพร้าหนีออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เหตุผลหลักๆก็คือการอยากไปแสวงหาอิสรภาพ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น เด็กพวกนี้ก็เหมือนสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เราได้เห็นในหนังหรือภาพยนตร์ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง คนที่สามารถมอบทั้งความรักความยุติธรรมให้กับงานการกุศลจะมีสักกี่คนเชียว?
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและศูนย์ดูแลคนชรา แต่ไหนแต่ไรก็เป็นสถานที่ที่ดำมืดที่สุดในอเมริกาและแคนาดา พูดอย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเกินไป ยิ่งในเมืองเล็กๆแบบนี้แล้ว ที่นั่นก็เหมือนเป็นคุกเวอร์ชั่นที่รุนแรงน้อยลงเท่านั้นเอง
เมื่อได้เห็นเด็กๆถามนู่นถามนี่ เออร์บักก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นมา เป็นครั้งแรกของวันนี้ที่เขาหัวเราะร่าอย่างนี้
จากนั้น เออร์บักก็ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลของเด็กทั้งสี่คน เด็กชายผิวสีดำชื่อบอริส เด็กชายที่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ชื่อกอร์ดอน เด็กเก็บตัวชื่อมิเชลล์ เด็กผู้หญิงชื่อเชอร์ลี่ย์ ทุกคนล้วนมีแต่ชื่อไม่มีนามสกุล
หรือก็คือ พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่พวกเขาคือใคร
เรื่องต่อจากนี้เออร์บักได้จัดการให้เสร็จสรรพ เด็กถูกรับเลี้ยงภายใต้การดูแลของเขา กฎหมายแคนาดากำหนดไว้ว่า ผู้ชายโสดที่อายุต่ำกว่าสามสิบสี่ไม่สามารถรับเลี้ยงเด็กได้ ทำให้ฉินสือโอวไม่มีคุณสมบัติพอ แต่ว่าก็ยังต้องพึ่งเขาในการดูแล
ข้างนอกฝนยังไม่หยุดตก ฉินสือโอวออกไปไม่ได้ จึงได้แต่นั่งเล่นอินเทอร์เน็ตอยู่ในห้องรับแขก ส่วนเด็กๆนั่งดูทีวีกัน
 “พวกเราไปดูห้องได้ไหมคะ?” เชอร์ลี่ย์ถามด้วยท่าทีตื่นเต้นและคาดหวัง
ฉินสือโอวลูบเบาๆไปที่เส้นผมของเธอแล้วพูดพร้อมหัวเราะว่า “ตอนนี้ในห้องยังไม่มีเตียงเลย ดูทีวีไปก่อนแล้วกันนะ จากนั้นเราค่อยไปซื้อของในเมืองกัน”
เมื่อได้ยินว่าจะได้ไปซื้อของ พวกเด็กๆก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาอีก เมื่อก่อน คำว่าซื้อของกับพวกเขานั้นเหมือนอยู่กันคนละโลก
หู่จือและเป้าจือนั่งข้างกันแล้วมองไปที่เด็กสี่คนอย่างสงสัย ฉงต้ากระพริบตาใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงน มันเหมือนเห็นลางร้าย ต่อไปคงจะไม่สามารถขู่เด็กสี่คนนี้ได้อีกแล้ว
ฝนที่ตกจากลมร้อนนั้น มักจะรีบมารีบไป
หลังจากฝนเทลงมาสักประมาณครึ่งชั่วโมงก็เริ่มซาลง ฉินสือโอวถือโอกาสนี้รีบไปซื้อของในเมือง พาเด็กสี่คนไปซื้อเสื้อผ้า แล้วก็ซื้อเตียงซื้อผ้าห่ม กลางวันเพิ่งจะมีฝนตกหนักไป คิดว่าถึงกลางคืนก็อากาศก็คงยังไม่อบอุ่นเท่าไร
เขาขับรถคาดิลแลควันมา ใบหน้าเด็กสี่คนเต็มไปด้วยความฉงนและเฝ้ารอ ต่างยืนล้อมอยู่ข้างรถ แต่กลับไม่กล้าขึ้นรถ
 “ขึ้นมาสิ” ฉินสือโอวเลื่อนกระจกลงแล้วพูดพร้อมหัวเราะ
บอริสพูดอึกอัก “เสื้อผ้าของพวกเราสกปรกมาก”
ฉินสือโอวพูด “มาเถอะ ไม่เป็นไร นี่คือรถที่พวกเราใช้ทำธุระ ถ้าสกปรกขึ้นมา พวกเธอมาทำความสะอาดก็พอนี่”
 “รับรองจะทำให้สะอาดหมดจดเลยครับ” เด็กสี่คนพยักหน้าพร้อมกันรัวๆ จากนั้นก็ขึ้นรถอย่างระมัดระวัง
ขึ้นรถแล้ว บอริสที่มีภาพลักษณ์เงียบขรึมมาตลอดนั้นก็โลดโผนขึ้นมาทันที ตาเขาเบิกกว้าง และถามไม่หยุด
 “รถคันนี้ใช้เครื่องยนต์v8สูบใช่ไหมครับ? แรงบิดสูงสุดคือเท่าไร? ระบบเกียร์อัตโนมัติมีกี่จังหวะครับ? สี่จังหวะหรือหกจังหวะครับ?”
 “เอ๋ รถมีระบบ ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวไหม? ผมเห็นมีป้ายอยู่ ว้าว ยอดมากเลยครับ เห็นว่านี่คือรถที่มีระบบควบคุมการลื่นไถล ระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนล้อที่ดีที่สุดในโลก…”
 “หรูสุดๆเลย แถมยังมี DVD และ Carputer ในรถด้วยใช่ไหมครับ? ตรงเบาะหลังคือหน้าจอแอลซีดีด้วยใช่ไหมครับ? ภาพชัดมาก ยอดเยี่ยมไปเลย! ว้าว เบาะเป็นแบบ360องศาด้วย แล้วก็มีเครื่องนวดในตัวอีก นี่คืออะไร? ตู้เย็นมินิเหรอ? อย่างกับวังของพระราชาเลย!”
ฉินสือโอวมองบอริสที่มองไปรอบด้านอย่างน่าสนใจ และตอบคำถามของเขาในเวลาเดียวกัน บอริสในตอนนี้กลับมาเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาดูโตเกินตัว โตเกินจนผิดปกติ
แต่ว่า บางทีอาจเพราะโลกนี้ที่บีบบังคับให้เขาเป็นคนแบบนั้น เด็กสี่คนที่อายุไม่ถึงสิบขวบ สามารถเร่ร่อนมาเรื่อยๆจนถึงเกาะแฟร์เวลนี้ได้ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์
รอจนบอริสไม่ถามอะไรแล้ว ฉินสือโอวถามคำถามหนึ่งด้วยความสงสัย “ดูเหมือนเธอจะรู้เรื่องเยอะนะ? เธออายุเท่าไร? ทำไมถึงรู้อะไรเยอะแยะจัง?”
นายคนเล็กใจใหญ่กอร์ดอนแย่งพูดขึ้นมาว่า “พวกเราเคยทำงานพาร์ทไทม์ที่โรงซ่อมรถมาก่อนครับ บอริสอยากมีรถเป็นของตัวเองมาตลอด แบบนี้ไม่ว่าเราอยากไปไหน ก็ไม่ต้องลำบากเดินแล้ว อ้อจริงสิ นายอยากได้รถอะไรนะ? คนนำทางลิงคอล์น?”
 “เขาเรียกว่าระบบนำทางลินคอน!” เชอร์ลี่ย์เม้มปากยิ้ม
รถระบบนำทางลินคอนเป็นรถบ้านที่โด่งดังมาก ถือว่าบอริสตาถึง ราคาของรถคันนั้นถูกกว่ารถคาดิลแลควันนิดเดียวเท่านั้น
หลังจากโดนกอร์ดอนแฉความลับ บอริสที่เคร่งขรึมก็อับอายจนโกรธขึ้นมา ตะโกนขึ้นว่า “กอร์ดอน ไม่ต้องพูดแล้ว นายมันไอ้ปากสว่าง!”
กอร์ดอนกำลังจะโต้กลับ แต่ฉินสือโอวทำมือส่งสัญญาณให้’หยุด’ จากนั้นก็พูดกับบอริสต่อว่า “เธอชอบรถมากขนาดนี้ แล้วเธอขับรถเป็นไหม? อยากจะมาลองขับดูไหมล่ะ?”
พูดเสร็จ เขาเปิดประตูรถออกจากที่นั่งคนขับ เสียงของบอริสดีใจจนสั่น พูดว่า “ไม่ๆๆ ผมขับรถไม่เป็นครับ ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่มีใบขับขี่ด้วย…..”
 “มาลองดูหน่อยก็ได้ มาสิ ความจริงฉันเองก็ไม่มีใบขับขี่หรอก” ฉินสือโอวพูดพร้อมหัวเราะ เขาไม่มีใบขับขี่ของแคนาดาจริง แต่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่มีคนตรวจอยู่แล้ว อีกอย่าง ใบขับขี่ของจีนก็สามารถใช้ในแคนาดาได้ประมาณสามเดือน
บอริสอยากปฏิเสธ แต่ไม่อาจทนแรงดึงดูดจากที่นั่งคนขับได้ เขาแลบลิ้นเลียไปที่ริมฝีปากอวบหนาของเขาแล้วนั่งลง มือที่สั่นสะท้านกำลังจับไปที่ที่นั่งคนขับ หายใจเข้าออกแรงๆ ดวงตาแดงก่ำ พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “พระเจ้า ฉันได้จับพวงมาลัยแล้ว ฉันได้จับพวงมาลัยของรถคาดิลแลค!”
 “บอริสต้องได้เป็นนักแข่งรถมืออาชีพในอนาคตแน่นอน ฉันกล้าพนันเลย” ฉินสือโอวพูดพร้อมหัวเราะ “เพราะเขามีความรักและความเคารพในตัวรถมาก นี่แหละคือคุณสมบัติที่นักแข่งรถมืออาชีพต้องมี!”
……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset