ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 100 ครอบครัวเดียวกัน

บทที่ 100 ครอบครัวเดียวกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy

 “เสื้อตัวนี้ไม่เลวเลย เชอร์ลี่ย์ เหมาะกับเธอมาก เอาตัวนี้”
 “กระโปรงตัวนี้ก็สวยมากเลย เชอร์ลี่ย์ เธอชอบไหม? ซื้อเลยแล้วกัน”
 “กอร์ดอน มาลองรองเท้าปีนเขาคู่นี้ ใส่สบายไหม? ซื้อเลยแล้วกัน”
 “มิเชลล์ มาลองเสื้อเชิ้ตตัวนี้ให้ฉันดูหน่อย โอเค ไม่เลว ซื้อเลยแล้วกัน”
 “บอริส นายเหมาะกับเสื้อยีนตัวนั้นมากเลย มา ลองใส่ดู ดูสิ หล่อมากเลย ซื้อเลยแล้วกัน!”
“……”
ความจริงฉินสือโอวนั้นไม่ชอบการเดินซื้อของเป็นที่สุด แม้แต่มาเดินกับวินนี่เขาก็รู้สึกว่าการเดินซื้อของนั้นน่าเบื่อ เมื่อก่อนตอนที่ไม่มีเงิน เขาชอบเดินดูของไปทั่ว แต่ตอนนี้พอมีเงินเหลือใช้แล้ว กลับกลายเป็นไม่ชอบไปเสียงั้น
คงเพราะยังไงก็มีเงินพอซื้อของพวกนี้ พอมาเดินแล้วจึงทำให้กิเลสในการอยากได้ของเขานั้นน้อยลงไป
เด็กสี่คนเดินตามฉินสือโอวจนตาลายไปหมด พวกเขาเข้าไปเพียงไม่กี่ร้าน เสื้อผ้าที่ดูก็ไม่เยอะ ก็เป็นเมืองเล็กนี่นา แถมยังเป็นเมืองเล็กที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีอีกต่างหาก
แต่ว่า ของที่ซื้อได้กลับมากโขเชียว ขอแค่ฉินสือโอวรู้สึกว่าเหมาะกับสี่คนนี้ ก็คือซื้อ รูดบัตร’ปรื้ดปรื้ด’เป็นว่าเล่น ทำให้เด็กสี่คนตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก
 “ฉิน พวกเขาเป็นใคร? เป็นลูกของคุณเหรอ?” คนที่รู้จักฉินสือโอวต่างก็เข้ามาถามคำถามกันไม่หยุด
ฉินสือโอวตอบไปว่า “ไม่ใช่ แน่นอนว่าไม่ใช่ลูกฉัน พวกเขาเป็นเพื่อนตัวเล็กของฉัน ต่อไปจะมาอยู่ที่ฟาร์มปลากับฉัน”
เมื่อซื้อเสื้อเสร็จ ฉินสือโอวพาเด็กๆไปที่ร้านขายเครื่องใช้ในบ้าน ข้างในเต็มไปด้วยสินค้าประเภทโซฟา เก้าอี้ โต๊ะ
 “ชอบเตียงแบบไหนกัน? ไปเลือกเลย” ฉินสือโอวพูดพร้อมหัวเราะ เขาดึงตัวเจเร็ดเถ้าแก่ร้านออกมาเงียบๆ กำชับเสียงเบาว่า “เพื่อนฝูง เดี๋ยวแกะป้ายราคาออกให้ก่อนนะ อย่าให้พวกเด็กๆเห็น”
เมื่อไม่มีป้ายราคา ก็ต้องให้คนเป็นคนบอกราคาเอง เจเร็ดทำตามที่ฉินสือโอวบอก คือบอกราคาถูกมั่วๆไป เมื่อเด็กทั้งสี่คนไม่รู้สึกกดดันแล้ว จึงเลือกซื้อเตียงในแบบที่ตัวเองชอบ
เชอร์ลี่ย์ซื้อเตียงที่ทาสีชมพูทั่วเตียง กอร์ดอนซื้อเตียงพับได้ที่ใช้ในทางทหาร เตียงที่มิเชลล์ซื้อมีตู้และชั้นวางหนังสืออยู่บนหัวเตียง ส่วนบอริสซื้อเตียงสองชั้น
แต่ว่า พวกเขาล้วนซื้อแต่เตียงเดี่ยว เพราะคงคิดว่าเตียงเดี่ยวราคาต้องถูกกว่าเตียงคู่อยู่แล้ว
ขณะที่ฉินสือโอวกำลังจ่ายเงินอยู่เห็นบอริสที่จ้องไปที่เตียงเหล็กสองชั้นแบบเดียวกับที่เขาเคยใช้สมัยเรียนมหาวิทยาลัยอย่างตกตะลึง จึงถามว่า “เพื่อนฝูง นี่คืออย่างไรกัน?”
บอริสเกาหัว ยิ้มแหยๆแล้วพูดว่า “ถ้าเผื่อใครไม่ชินกับที่นอนใหม่ ผมสามารถให้เขามานอนห้องผมได้ครับ”
เจเร็ดเมื่อรับเงินแล้วก็ให้พนักงานนำไปไว้ที่รถ เขารับผิดชอบจัดส่งไปให้ถึงที่ฟาร์มปลาเอง
การเลือกผ้าห่ม หมอน ปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนนั้นค่อนข้างลำบาก ตอนเลือกผ้าห่มนั้น ฉินสือโอวพาพวกเด็กๆไปเลือกแต่ผ้าห่มไนลอน เชอร์ลี่ย์อุ้มผ้าห่มขึ้นมา พูดด้วยเสียงตกใจว่า “ผ้าห่มนี่ทำไมเบาแบบนี้ล่ะ?”
ฉินสือโอวดีดเบาๆไปที่หัวของเธอ พูดว่า “หากหนักเกินไปพวกเธอจะฝันร้ายได้นะ”
 “พวกเธอชอบคอมพิวเตอร์ยี่ห้ออะไรกัน? ในเมืองก็คงไม่มียี่ห้อให้เลือกมากมาย ไปเถอะ กลับบ้านไปซื้อในเว็บอะเมซอนกัน” ฉินสือโอวอุ้มผ้าห่มไปเก็บไว้หลังรถ แล้วถาม
เด็กทั้งสี่คนมองหน้ากันครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างเขินอาย “พวกเราต่างก็ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์เลย คงไม่ต้องซื้อแล้ว อีกอย่างวันนี้ก็ใช้เงินไปเยอะแล้ว”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “เรื่องนี้พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อก่อนหน้านี้พวกเธอไม่เคยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มาก่อน ก็แสดงว่าไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ชอบล่ะสิ? ไม่รู้จะซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นไหน งั้นก็ซื้อแม็คแล้วกัน”
นี่คือคำพูดแคมเปญโฆษณาของแอปเปิลในแคนาดา หากคุณไม่รู้ว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นอะไร งั้นเชิญเลือกแอปเปิล
 “แอปเปิล? แอปเปิลไม่ใช่เอามากินเหรอ?” กอร์ดอนถาม
มิเชล์กลอกตาแล้วพูดว่า  “นายนี่ช่างไม่รู้อะไร กอร์ดอน แอปเปิลคือยี่ห้อของเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ของบริษัทนี้น่ะมีสัดส่วนในตลาดมากกว่าคู่แข่งถึงยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์เลย!”
สุดท้าย ฉินสือโอวพาพวกเขาไปร้านสะดวกซื้อของฮิวจ์เพื่อซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันเช่นยาสีฟันแปรงสีฟัน แชมพูสระผม ครีมอาบน้ำ พอตอนจะกลับ ฉินสือโอวเลือกแว่นดำให้บอริสใส่ พยักหน้าแล้วพูดว่า “อื้ม ใส่แล้วทำให้มีออร่านักแข่งรถมืออาชีพขึ้นมาเลย”
บอริสเกาหัวหัวเราะเบาๆ เขาไปยืนอยู่หน้ากระจกมองดูอย่างชื่นชม จากนั้นก็ถอดออกมาเก็บไว้อย่างระมัดระวัง แล้วตบกระเป๋ากางเกงเบาๆพูดว่า “ผมต้องใส่มันแล้วคว้าแชมป์F1มาให้ได้เลยครับ”
ตกดึก ฉินสือโอวตั้งใจพาเออร์บัก ชาร์ค ซีมอนสเตอร์ นีลเซ็นและเด็กทั้งสี่คนไปกินข้าวกันที่ร้านของคุณลุงฮิคสัน ให้พวกเขาได้ทำความคุ้นเคยกัน
เด็กทั้งสี่คนเพิ่งได้เข้าไปร้านอาหารในฐานะลูกค้าเป็นครั้งแรก ระหว่างทางกอร์ดอนถามว่า “ฉิน พวกเราสั่งอาหารเองได้ไหมครับ? ที่นั่นมีแฮมเบอร์เกอร์ไหม? ถ้าหากว่าเราอยากดื่มเครื่องดื่ม ต้องไปซื้อเองหรือว่าให้พนักงานซื้อมาให้ครับ?”
ฉินสือโอวคิดมาตลอดว่าเด็กๆในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกากับแคนาดา คงเป็นเด็กที่เห็นอะไรมาเยอะ อย่างเคเอฟซีหรือแมคโดนัลก็คงกินจนเบื่อ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า สังคมของประเทศที่เจริญแล้วก็มีจุดบกพร่องเหมือนกัน อย่างเช่นเด็กกำพร้าหรือเด็กที่อาศัยอยู่ในเขตยากจน สิ่งที่พวกเขาเคยสัมผัส ยังเทียบไม่ได้กับเด็กฐานะยากจนในจีนเลย ครอบครัวของพวกเขาคือยากจนแร้นแค้นจริงๆ
นี่ทำให้เขานึกถึงบทความหนึ่งที่เคยอ่านสมัยเรียนมัธยมปลาย ตอนนั้นเป็นช่วงที่เจอร์เมน โอนีล(ผู้เล่นเซ็นเตอร์ในทีมเพซเซอร์)โด่งดังมากในNBA นิตยสาร’สแลมดังก์’ได้ไปสัมภาษณ์เขา
ผู้เล่นที่มีค่าตัวสูงกว่าร้อยล้านในตอนนั้นรำลึกถึงความหลังว่า เขาเข้าภัตตาคารครั้งแรกตอนอายุ15ปี โค้ชบาสเกตบอลสมัยมัธยมปลายพาเขาไปกินเลี้ยงที่นั่น เขาได้ใส่รองเท้าบาสเกตบอลคู่ใหม่ก็ตอนอายุ 15เช่นกัน ตอนนั้นเขานำทีมสมัยมัธยมปลายเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในระดับลีกบาสเกตบอล โรงเรียนจึงมอบรางวัลให้เขาเป็นรองเท้าจอร์แดนคู่หนึ่ง
‘ในบทความที่เขียนเป็นเรื่องจริง เด็กๆชาวอเมริกันเหนือนั้นทั้งยากจนและแร้นแค้น’
ปลาเทราต์ที่ทอดจนเป็นสีเหลืองทอง แผ่นปลาค็อดราดด้วยซอสมะเขือเทศ โดนัทช็อกโกแลตที่เพิ่งออกจากเตา หมูหันที่ย่างจนเป็นสีแดง โยเกิร์ตสีขาวหิมะที่ราดด้วยน้ำเชื่อมเมเปิล ยังมีสเต๊กชิ้นเล็กที่เพิ่งย่างเสร็จ ปลายอดม่วงเนื้อนุ่ม ปูและล็อบสเตอร์สีแดงสดราดซอสขิง อาหารรสเลิศชุดใหญ่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว
ทานอาหารจานเด็ดของคุณลุงฮิคสัน ดื่มน้ำผลไม้ที่เพิ่งคั้นสดๆ เด็กสี่คนละเลงกินอาหารกันจนดูไม่ได้เลย
เพื่อหลีกเลี่ยงบรรยากาศที่อึมครึม ฉินสือโอวเริ่มพูดว่า “เฮ้ เด็กๆทั้งหลาย พวกเธอเล่าเรื่องของบรรยากาศและผู้คนเมืองแคนาดาให้ฉันฟังที พวกเธอต้องเคยไปมาหลายที่แล้วใช่ไหม? ฉันน่าสงสารมากเลย ตั้งแต่มาถึงแคนาดาแล้วก็อุดอู้อยู่แต่ที่นี่ ยังไม่เคยออกไปไหนเลย”
เมื่อได้ยินคำนี้ เด็กทั้งสี่คนก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที กอร์ดอนรีบแย่งพูดเหมือนอย่างเคย “งั้นพวกผมเริ่มเล่าจากเมืองน้ำตกเล็กแล้วกันครับ….”
ฉินสือโอวใช้ประวัติการเดินทางของพวกเขาเป็นหัวข้อสนทนาแบบนี้ ก็เพื่อให้พวกเขาเป็นตัวหลักในการสนทนา พวกเด็กๆจะได้ไม่รู้สึกถึงการถูกเบียดเบียนหรือเหยียดหยาม พวกเขาได้แชร์ประสบการณ์ที่ลำบากตรากตรำแต่ตอนนี้เมื่อหวนย้อนกลับไปกลับกลายเป็นประสบการณ์การเดินทางที่เต็มไปด้วยความสุข ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับมาคึกคักอีกครั้ง
เออร์บักขยิบตาให้ฉินสือโอว ฉินสือโอวยักไหล่เป็นการบอกว่าเรื่องเล็กน้อย
หลังทานมื้อค่ำแล้ว ฉินสือโอวพาพวกเขากลับบ้านพัก บ้านพักมีทั้งหมดแปดห้องนอน ชั้นหนึ่งมีห้องที่กว้างมากๆอยู่สองห้อง พื้นที่ห้องเกินแปดสิบตารางเมตร ส่วนชั้นสองมีหกห้องนอน ฉินสือโอวพักไปหนึ่งห้อง อีกห้องเป็นห้องนอนแขกที่วินนี่เคยพัก ก็เท่ากับเหลือห้องสี่ห้องพอดี
ตอนกลางวันได้มีการเก็บกวาดห้องนอนไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ข้างในมีเฟอร์นิเจอร์อยู่ไม่เยอะ มีเพียงเตียง เก้าอี้ และโซฟาเท่านั้น
ฉินสือโอวพูดว่า “เดี๋ยวพวกเราค่อยไปสั่งของจากเซนต์จอห์นกัน พวกเธอชอบดูทีวี งั้นก็ตั้งทีวีไว้ในห้องเลยแล้วกัน ถ้าชอบร้องเพลง ก็ติดตั้งคาราโอเกะสำหรับห้องนอน ถ้าชอบอ่านหนังสือ ฉันจะทำห้องสมุดเล็กๆให้พวกเธอ ดีไหม?”
เด็กสี่คนจ้องกันตาเป็นประกาย ต่างก็รัวถามกันว่า ‘จริงเหรอครับ’’ทำได้เหรอครับ’’ได้จริงเหรอครับ’ไม่หยุด
หู่จือและเป้าจือกระดิกหางเดินตามหลังพวกเขา ฉงต้ายังไม่ยอมแพ้ ยังคิดอยากจะขู่พวกเขาอีก ฉินสือโอวจับมันมาแล้วตบไปที่ก้นมันสองสามที มันถึงจะยอมหยุด ตั้งตาตั้งตาแทะขนมรูปกระดูกที่อยู่ในมือ
 “นี่เป็นของของเสียวหู่และเสี่ยวเป้าไม่ใช่เหรอคะ?” เชอร์ลี่ย์ถามด้วยความแปลกใจ เนื่องจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมของประเทศฝั่งตะวันออกและตะวันตก หลังเด็กสี่คนได้รู้ถึงความหมายที่แท้จริงของหู่จือและเป้าจือแล้ว จึงเรียกพวกมันว่าเสียวหู่และเสี่ยวเป้า
หู่จือและเป้าจือมองฉงต้าอย่างไม่พอใจ แต่ฉงต้าไม่สนใจ กินแพล็บแพล็บต่ออย่างสบายใจ สำหรับเจ้าตะกละตัวนี้แล้ว ไม่มีคำว่าอร่อยหรือไม่อร่อย มีแต่คำว่ากินได้กับกินไม่ได้เท่านั้น
 “โอเค ฝันดี หนุ่มสาวทั้งหลาย เจอกันพรุ่งนี้” ฉินสือโอวส่งพวกเขาเข้าห้องนอนไป
หลังจากปิดประตูห้องกอร์ดอนเป็นห้องสุดท้ายแล้ว ประตูห้องของเชอร์ลี่ย์ก็เปิดออก เด็กหญิงตัวน้อยมองฉินสือโอวด้วยสายตากังวล แล้วถามว่า “ฉิน เป็นไปได้ไหมว่านี่เป็นเพียงความฝัน? พอพรุ่งนี้ตื่นจากฝันแล้ว พวกเราก็พบว่าตัวเองยังอยู่ข้างถนนหรือไม่ก็ในกองหญ้าหรือเปล่า?”
ฉินสือโอวกอดเธอไว้ พูดด้วยเสียงนุ่มทุ้มว่า “ถึงจะเป็นฝันจริงๆ ฉันก็จะให้พวกเธอฝันไปเรื่อยๆจนถึงวันที่พวกเธอไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้วนั่นแหละ ไปนอนเถอะ ต่อไปทุกอย่างจะดีขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน”
……………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset