พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 609-1 ญาณคืนโฉม

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะด้วยความเริงร่าก่อนบินขึ้นจวนถ้ำ สายตากวาดมองรอบหนึ่ง แล้วหลับตาลง มือทั้งสองข้างเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด ทำให้ชายแขนเสื้อสีเขียวสะบัดพริ้วไหวเป็นวงกว้าง ราวกับสายน้ำและเมฆลอยตามแรงลม

มั่วชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ทันใดนั้นก็เห็นหลัวอวี้เฉิงชำเลืองมอง จึงรีบปั้นหน้ากลับซ่อนรอยยิ้ม

แอบคิดในใจว่านี่จะโทษนางได้อย่างไร จะมีผู้ใดสง่างามดั่งสายลมถึงขนาดที่สวมชุดนักพรตของสตรีแล้วไม่รู้สึกว่าผิดแผกเช่นนี้

ปีนั้นนางไปหมู่บ้านเคยนำเสื้อผ้าทอหยาบมาให้เขาชุดหนึ่ง ใครจะคาดคิดว่าคนผู้นี้กลับเบ้ปากด้วยความรังเกียจ เอาใจยากมากความเพียงใด

ดังนั้น ท่ามสายตาแฝงจิตสังหารของฝ่ายตรงข้าม นางจึงโยนเสื้อผ้าทอหยาบลงไปในน้ำอย่างเรียบเฉย

เสื้อผ้าทอหยาบไหนเลยจะทนทานการแทรกซึมของพลังหยินอันเข้มข้นได้ เพียงพริบตาก็กลายเป็นตะกอนน้ำแข็ง

หลังจากนั้น ก็ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว เจ้าคนเรื่องมากน่ารำคาญผู้นั้นสวมชุดสตรีมาตลอดจนถึงบัดนี้…

เห็นมั่วชิงเฉินหัวเราะจนตัวสั่นไม่หยุด หลัวอวี้เฉิงก็น้ำตาไหลอยู่ในใจ

สตรีผู้นี้ แท้จริงเคยเห็นเขาเป็นคนดีสักกี่ครา เขาแค่ฉลาดกว่านางเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง…

เขาสลัดความรู้สึกขมขื่นเต็มท้องออกไป ก่อนเคลื่อนไหวร่างกายต่อไป แสงวิญญาณเส้นหนึ่งวาดผ่านกลางท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้ามือดครึ้มสว่างสดใสขึ้น

แสงวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงเปล่งประกายเส้นหนึ่งทีละน้อย เมื่อเวลาผ่านไป คาดไม่ถึงว่ามีเงาอันงดงามของจวนปรากฏขึ้น

มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงมองจวนถ้ำของเวินหนิง พลันรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าแสงวิญญาณกลางท้องฟ้ากลายร่างเป็นสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ที่ดูแล้วเหมือนเดิมทุกประการ

เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป สิ่งก่อสร้างกลางอากาศก่อร่างเสร็จสมบูรณ์ แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือทางเข้าที่พังทลาย

หลัวอวี้เฉิงลืมตาขึ้นช้าๆ

“สหายหลัว เป็นเช่นใดบ้าง” มั่วชิงเฉินถาม

หลัวอวี้เฉิงหยิบโอสถจากถุงเก็บวัตถุออกมาก่อนโยนใส่ปาก “รอประเดี๋ยว ตอนนี้ข้ารู้โครงสร้างของจวนถ้ำทั้งหมดแล้ว ดูเหมือนสามารถพิจารณารูปแบบปากทางเข้าออกได้คร่าวๆ”

พูดถึงตรงนี้ก็ตบถุงเก็บวัตถุที่คาดเอวไว้ด้วยท่าทางขัดใจ “สหายมั่ว จดเรื่องถุงเก็บวัตถุเอาไว้ในบัญชีด้วยใบหนึ่ง ใบที่เจ้าให้มานี่ช่างรับไม่ได้เลยจริงๆ”

มั่วชิงเฉินยิ้มราบเรียบตอบกลับว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าการจับคู่ถุงเก็บวัตถุใบนี้กับอาภรณ์ที่เจ้าสวมใส่อยู่ช่างเข้ากันยิ่งนัก ไม่เห็นหรือว่ามันเป็นสีเดียวกัน”

เมื่อพูดเช่นนี้ ก็มองไปยังหลัวอวี้เฉิง ของทุกอย่างที่เขาใช้หาใช่ของธรรมดา แม้ปากคอเราะรายอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวกลับสง่างามดั่งสวรรค์สร้าง

ตอนนี้ เกรงว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าเวทนาที่สุดของเขาแล้ว

อีกาไฟที่อยู่ในถุงอสูรวิญญาณทนไม่ไหวพูดแทรกขึ้น “นายท่าน ควรจะบอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเขาล้วนเป็นช่วงเวลาที่น่าสงสารที่สุด แม้แต่อาภรณ์ที่สวมใส่ยังมิถูกต้อง สวมกระทั่งอาภรณ์ของสตรี…”

พูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกคับข้องใจอยู่บ้าง “นายท่าน เขาสับสนในตัวเองเช่นนี้ คล้ายกับว่าเป็นเพราะท่านกระมัง ความรู้สึกผิดแม้เพียงเท่าเล็บมือของท่านก็มีไม่เลยหรือ คุยกับเขาใช้คำพูดที่นุ่มนวลสักเล็กน้อยได้หรือไม่”

มั่วชิงเฉินเงียบไม่โต้ตอบสิ่งใด

หากความรู้สึกผิดและซาบซึ้งในบุญคุณแปรเปลี่ยนเป็นถ้อยคำนันจา คงทำให้ทั้งสองยิ่งอึดอัดใจมากกว่าเดิม แต่ไม่ว่าจะพูดหรือไม่ ล้วนสลักไว้ในหัวใจเสมอ

หลัวอวี้เฉิงปรับลมปราณให้เข้าที่เรียบร้อย กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ากลับรู้สึกว่า กำไลข้อมือของสหายมั่วนั้นดีกว่า”

มั่วชิงเฉินประหลาดใจ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าปีนั้นที่ตนเสียชีวิต กำไลเก็บวัตถุย่อมปรากฏออกมา เข้าต้องสังเกตเห็นในเวลานั้นเป็นแน่

นางถอดกำไลแล้วโยนขึ้นไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “หากเจ้าชอบก็เอาไปใช้เสีย แล้วอย่าลืมจดไว้ในหนี้ที่ต้องชำระด้วย”

หลัวอวี้เฉิงโยนกำไลกลับไป “ข้าไม่ได้จะใส่ชุดสตรีไปทั้งชีวิต ไยต้องการกำไลนี่ด้วย”

มั่วชิงเฉินมุมปากโค้งลงตอบว่า “สหายหลัว ท่านอย่างี่เง่าหน่อยเลย กำไลเก็บวัตถุเป็นของล่องหน”

หลัวอวี้เฉิงไตร่ตรองอย่างจริงจัง พรางมองมั่วชิงเฉิน “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า ไร้น้ำใจไร้ยางอาย ไร้เหตุผลไร้จรรยา คือข้อดีของโลกผู้บำเพ็ญเพียรกันเล่า”

มั่วชิงเฉินหมดคำจะพูด…

หลัวอวี้เฉิงละสายตายิ้มอย่างราบเรียบ “กำไลเก็บวัตถุ แม้เป็นของล่องหน แต่มีเพียงผู้ใช้เท่านั้นที่มองเห็น พลังการควบคุมตนเองของข้าย่ำแย่ เกรงว่าใช้นานเข้าจะเกิดความสับสนในเพศสภาพ แต่หากเจ้าจริงใจละก็ ในอนาคตเมื่อตามหาแหวนเก็บวัตถุพบ จำไว้ว่านำมาให้ข้า”

เจ้านะหรือขาดพลังควบคุมตัวเอง เช่นนั้นใครเล่าที่ไร้ยางอาย สวมชุดสตรีมากี่ปีแม้แต่ความรู้สึกเขินอายยังไม่มีสักนิด

บุรุษที่ทำเช่นนี้ได้ เกรงว่าคงไม่นำเรื่องประหลาดพรรค์นี้มาใส่ใจหรอก

มั่วชิงเฉินหมดคำพูดโดยปริยาย พยักหน้าด้วยความจำนน

หลัวอวี้เฉิงยิ้มอย่างพอใจ ยื่นมือขวาออกไป ทำนิ้วกลางและนิ้วนางชิดติดกัน ก่อนเคลื่อนไหวช้าๆ บนอากาศ

แสงวิญญาณเป็นดวงๆ เคลื่อนไหลตามนิ้วมือยาว กระจายตัวตามแนวโค้งออกไปทีละเส้น พุ่งไปยังสิ่งก่อสร้างกลางอากาศ

โครงสร้างด้านนอก ขยายออกช้าๆ ปากทางเข้าที่ถูกสร้างขึ้นมีลำแสงเปล่งออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ผู้บำเพ็ญเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด สำหรับคนทั่วไป เทียบเท่ากับมีอำนาจยิ่งใหญ่ดั่งผลักภูเขาพลิกมหาสมุทร

อาการบาดเจ็บของหลัวอวี้เฉิงหายดีแล้ว แขนเสื้อด้านซ้ายสะบัดคราหนึ่ง ปราณวิญญาณพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ก่อนหักเหลงพื้นตกกระทบลงบนซากปรักหักพังด้านล่าง แปรเปลี่ยนเป็นพายุหมุนลูกหนึ่ง วัตถุที่ใช้สร้างประตูทางเข้าและค่ายกลอย่างไม้ล้ำค่าที่แตกหักหรือหินหยกราคาแพงแหลกละเอียด ทั้งหมดถูกม้วนขึ้นกลางอากาศก่อนโดนดูดเข้าไป

บริเวณนั้นถูกเก็บกวาดเรียบร้อย

มือขวายังคงเคลื่อนไหวต่อไป ใช้เวลาเนิ่นนาน ทางเข้าจวนถ้ำกลางอากาศได้เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว หลัวอวี้เฉิงดันมือทั้งสองข้าง พลังวิญญาณที่ลอยอยู่กลางอากาศก่อตัวกลายเป็นโครงสร้างหนึ่งแล้วตกลงไป พอดีกับจวนถ้ำบนพื้น มีเพียงปากทางเข้าที่ว่างเปล่าเท่านั้น

เนื่องจากหลายวันมานี้ทั้งสองคนไม่ได้ลงไปด้านล่าง ทำให้มั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอี รวมถึงอาชิงเสือขนสีน้ำเงิน เมื่อเห็นภาพเกิดขึ้นตรงหน้าก็ตกใจกันอย่างมาก มองหลัวอวี้เฉิงด้วยสายตาแตกต่างกัน

หลายวันมานี้มั่วชิงเฉินอยู่ข้างกายหลัวอวี้เฉิงไม่ห่าง เห็นวิธีการซ่อมแซมจวนถ้ำเต็มสองตา ในใจอกสั่นขวัญผวา มองปราณวิญญาณตรงปากทางเข้าที่เปลี่ยนรูปร่างด้วยความสับสนอยู่นานโดยไม่พูดอะไร

“สหายมั่ว พวกเราลงไปกันเถอะ ปากทางเข้ากลับเป็นดังเดิมแล้ว ทว่าเพราะพลังวิญญาณที่ใช้รวมตัวกันแค่ชั่วคราว ทั้งไม่มั่นคงและไม่อาจรักษาไว้ได้นาน พวกเราต้องรีบไปรีบกลับ และยังต้องระวังไม่ให้ใช้พละกำลังมากเกินไปด้วย” หลัวอวี้เฉิงใช้พลังวิญญาณไปมาก ทำให้เสียงของเขาฟังดูอ่อนแรงลง พูดจบร่างกายก็สั่นสะท้านเล็กน้อยขณะก้าวลงด้านล่าง กลับเห็นมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน

หลัวอวี้เฉิงมองขึ้นไป เพียงเห็นสายตาของมั่วชิงเฉินที่มองดูจวนถ้ำด้านใน สีหน้าเดี๋ยวก็โง่งมเดี๋ยวก็หัวเราะ ราวกับตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกลับ และตระหนักรู้บางสิ่งได้

นางยืนอยู่กลางอากาศเป็นเวลานาน

แม้กระทั่งมั่วหร่านอีก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน จึงไม่อย่างกรายเข้าไปขัดจังหวะ

ทั้งสามต่างรอด้วยความสงบ

ไม่มีใครรู้ว่าต้องรออะไร หรือมองสิ่งใดอยู่ เพียงแต่ในใจต่านเต้นกับการตั้งหน้าตั้งตารอ

เมื่อบรรลุมาถึงระดับขั้นบำเพ็ญเพียรอย่างพวกนางในทุกวันนี้ ไม่พูดถึงว่ามีความสัมพันธ์เช่นไรกับมั่วชิงเฉิน แต่เป็นเพราะได้เจอกับผู้บำเพ็ญเพียรที่ตระหนักรู้ได้อย่างอัศจรรย์ใจ นับว่าคุ้มค่าให้ดีใจอย่างมาก

มรรคาสวรรค์ช่างลึกลับ ไม่อาจพูดได้ว่าการได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจะสามารถรู้ซึ้งถึงเรื่องราวทั้งหมด ฉะนั้นจึงต้องเดินหาทีละก้าว

สิบวันให้หลัง ทางเข้าจวนถ้ำที่หลัวอวี้เฉิงใช้พลังวิญาณก่อร่างขึ้นมาพลันกะพริบแสงวาบ แล้วสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอบ สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปสักนิด เพียงจ้องมองร่างที่ลอยตัวกลางอากาศ

ผ่านมาอีกครึ่งเดือน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ขยับตัวแล้ว

นางหรี่ตาเล็กน้อย ฝ่ามือซ้ายขวาแต่ละข้างมีแสงวิญญาณเส้นหนึ่งพุ่งออกมา ปะทะกับเศษซากกองหนึ่งบริเวณมุมด้านล่างอย่างไม่ลดละ

มือทั้งสองข้างเคลื่อนไหวต่อเนื่อง แสงวิญญาณทั้งสองบิดเข้าหากันอย่างช้าๆ คาดไม่ถึงว่าค่อยๆ กลายเป็นภาพลวงตาฝ่ามือขนาดใหญ่แยกหลุมว่างเปล่ากลางอากาศ เคลื่อนที่ไม่ยอมหยุด

“พวกเจ้าดูเร็ว!” มั่วหร่านอีผู้มีความอดทนทางอารมณ์น้อยที่สุดตะโกนขึ้นคนแรก

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี
Status: Ongoing
สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset