พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 609-2 ญาณคืนโฉม

แม้หลัวอวี้เฉิงและมั่วเฟยเยียนจะไม่พูดอะไรออกมา กลับเบิกตาโตในเวลาเดียวกัน

เศษซากวัสดุที่ดูไม่ออกเหล่านั้น แปรผันผวนอยู่ใต้ฝ่ามือขนาดใหญ่ ทั้งหมดถูกฟื้นฟูกลับเป็นเช่นเดิมทีละน้อย

ไม้ล้ำค่าลือนามแต่ละท่อน หินหยกหายากแต่ละก้อน รวมทั้งวัสดุชิ้นอื่นมากมายหลายชนิดได้รับการซ่อมแซมให้กลับไปเป็นดังเดิม ก่อนจะบินเข้าไปยังจวนถ้ำ เมื่อถึงที่จึงโรยตัวลงไป สิ่งของทุกชิ้นล้วนหาตำแหน่งที่เหมาะสมของตัวเองก่อนหยุดอยู่กับที่แล้วตกลงไป

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้ที่ยืนดูอยู่สูญสิ้นเวลาและสติสัมปชัญญะ ครั้นเมื่อประตูทางเข้าจวนถ้ำกลับไปเป็นดังเดิมเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด

ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ลืมตาขึ้น แววตาขุ่นมัวราวกับยังไม่หลุดออกจากภวังค์ มองผลงานชิ้นเอกของตัวเองอย่างสงบเงียบ

พลังอำนาจของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลางแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่ปิดบัง

ร่างกายของมั่วอีหรานอีสั่นสะท้านคราหนึ่ง ก่อนอาเจียนออกมาเป็นเลือดสด

อาชิงอยู่ระดับเจ็ดขั้นสูงสุด อยู่ห่างจากขั้นจำแลงกายเพียงระดับเดียวเท่านั้น แม้จะถูกแรงกดดันอันมหาศาลทำให้สั่นสะเทือนเช่นเดียวกัน แต่ร่างกายอันแข็งแรงของอสูรปีศาจ แตกต่างกับผู้บำเพ็ญเพียรราวฟ้ากับเหว แม้มันรู้สึกว่าเส้นลมปราณติดขัด แต่ไม่ถึงกับอาเจียนเป็นเลือด ทั้งยังต้องแบ่งพลังไปประคองช่วยมั่วหร่านอีเอาไว้

ทว่า…

“อาชิง เหตุใดเจาไม่ตายให้มันรู้แล้วรู้รอดเสีย จับตรงไหนของเจ้ากัน!”

เสียงกรีดร้องของมั่วหร่านอีก้องกังวานดังทั่วยอดน้ำตก ตามมาด้วยเสียงสะท้อนของฝ่ามือ

ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็ได้สติ ดวงตาจับจ้องอาชิงที่ยกอุ้งเท้าหน้าวางบนก้นน้อยๆ แต่อวบอิ่มของมั่วหร่านอี อุ้งมืออีกข้างสัมผัสหน้าของตัวเองที่โดนตบ ขณะที่สีหน้าเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา

นางร่อนกายลงมาด้วยสีหน้าดำคล้ำ มั่วหร่านอีและอาชิงเข้าไปอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือดกันอีกครา หลัวอวี้เฉิงมองด้วยรอยยิ้ม ยืนอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวอย่างใด

คาดไม่ถึงว่ามั่วเฟยเยียนจะพุ่งพรวดเข้ามา เขย่าไหล่ทั้งสองข้างของมั่วชิงเฉิน “น้องสิบหก เมื่อครู่ เจ้าสัมผัสได้ถึงญาณอันใดรึ”

มั่วชิงเฉินตะลึงงันเพราะโดนมั่วเฟยเยียนเขย่าตัว ครู่หนึ่งจึงตอบออกมาอย่างหนักแน่นว่า “พี่เก้า ปล่อยมือได้หรือไม่ หากท่านยังเขย่าข้าอีก เกรงว่าคงอาเจียนออกมาแล้ว”

ทันใดนั้นมั่วเฟยเยียนก็รีบปล่อยมือ ใบหน้าที่มักสงบนิ่งอยู่เสมอกลายเป็นสีแดงเข้ม “ขออภัย น้องสิบหก ข้ายั้งสติไม่อยู่เล็กน้อย”

มั่วชิงเฉินส่ายหัวบอกไม่เป็นไร กลับเห็นมั่วเฟยเยียนหยิบม้วนคัมภีร์หยกออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมพู่กันวิญญาณที่ใช้บันทึกลงคัมภีร์หยกโดยเฉพาะ ก่อนถามด้วยความตื่นเต้น “เอาละ น้องสิบหก เจ้าพูดได้แล้ว”

นางพูดจบพร้อมสีหน้าที่จริงใจและจริงจัง ราวกับเด็กตั้งใจเรียนที่สุดในห้อง

เส้นเลือดดำบนหน้าผากของมั่วชิงเฉินเต้นตุบตับ เหล่าพี่น้องของนาง ล้วนแปลกประหลาดทั้งสิ้น!

“น้องสิบหก หรือว่า ญาณรับรู้ของเจ้าถึงกับมิอาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้” เห็นหน้าของมั่วชิงเฉินเขียวคล้ำและไม่มีเสียงตอบรับอยู่นาน ทำให้ใบหน้าของมั่วเฟยเยียนซีดลงกลายเป็นน้ำแข็งที่เย็นชายิ่งกว่าเดิม

มั่วชิงเฉินเป็นกังวลจริงๆ ว่า หากเพียงแค่ตนพยักหน้า ก็จะสามารถทำให้พี่เก้าผู้ถือตนและน่าเลื่อมใสต้องผิดหวังจนถึงขั้นเป็นลม จึงส่ายหน้าตอบกลับไปว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า เป็นเพราะข้าได้รับญาณตระหนักรู้เป็นครั้งแรก ในใจจึงรู้สึกตอบสนองไม่ทันเล็กน้อย”

ยิ่งพูดก็รู้สึกละอายใจ หลังจากที่นางได้บรรลุระดับก่อกำเนิดและผ่านความเป็นความตายมานั้น กลับเพียงบังเอิญจมดิ่งเข้าสู่การตระหนักรู้ในเคล็ดกระบี่โบราณที่ไม่สมบูรณ์พร้อมกันกับอาจารย์ ผสานกับเจตจำนงกระบี่ของเคล็ดกระบี่รุ่งโรจน์โรยรา รวมเคล็ดกระบี่โบราณที่ไม่สมบูรณ์เข้ากับเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ด้วยความเข้าใจทะลุปรุโปร่ง จนเกิดเป็นเคล็ดกระบี่ชนิดใหม่ของตัวเองโดยเฉพาะ

เคล็ดกระบี่ของนางชุดนี้ เป็นเคล็ดกระบี่ที่เกิดขึ้นจากการตระหนักรู้ของกู้หลี เมื่อลองเปรียบเทียบกันแล้วย่อมมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ ถึงอย่างไร ก็ยังคงเป็นเพราะได้รับผลพลอยได้มาจากอาจารย์

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หลังจากบรรลุระดับก่อกำเนิดได้เจ็ดสิบปี ได้รับแรงกระตุ้นจากหลัวอวี้เฉิงจนมีน้ำมาคลองเกิด[1] และรับรู้ถึงญาณแรกได้

“น้องสิบหก…” มั่วเฟยเยียนกัดพู่กันด้วยความตื่นเต้น

ท่าทางเช่นนี้ของพี่เก้าทำให้มั่วชิงเฉินหยุดครุ่นคิด นางเห็นท่าไม่ดี จึงพูดอย่างจริงใจว่า “พี่เก้า ไม่ใช่ว่าท่านรับรู้ได้ถึงญาณแล้วหรือ ท่านก็ล้วนผ่านจุดนี้มาแล้ว เหตุใดจึงดูสนใจเพียงนี้”

มั่วเฟยเยียนตอบอย่างโศกเศร้าว่า “การรับรู้ของระดับบำเพ็ญกำลังอยู่ในช่วงคงที่ จนถึงตอนนี้ก็ไม่ความคืบหน้ามากนัก”

มั่วชิงเฉินร้องไห้ในใจ

พี่เก้า ระดับก่อกำเนิดของท่านมั่นคง เพราะพึ่งผ่านไปไม่กี่ปีเองมิใช่รึ

นี่ถือเป็นการด้อยพัฒนาเช่นนั้นหรือ

นี่เป็นการเย้ยหยันที่เจ็ดสิบปีให้หลังตนพึ่งตระหนักรู้ญาณแรกใช่หรือไม่

ท้ายที่สุด มั่วชิงเฉินยังคงอธิบายความรู้สึกการรับรู้ญาณแรกของตนต่อไป แม้ความรู้สึกลึกลับยากจะอธิบายเป็นรูปร่าง แต่ผู้ฟังยังเก็บเกี่ยวสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมด

มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าญาณของตนแปลกประหลาดอย่างมาก ตอนนี้ที่นางเห็นหลัวอวี้เฉิงใช้พลังวิญญาณสร้างทางเข้าจวนถ้ำเสมือนจริง ตลอดทุกขั้นตอนที่เกิดขึ้นทำให้ในใจของนางรู้สึกมึนงง หลังจากนั้นก็ไม่เห็นไม่ได้ยินสิ่งใดอีกเลย ดวงจิตล้วนถูกจินตภาพเหล่านั้นครอบงำ

ไม่แน่ใจว่าเพราะปล่อยดวงจิตให้ล่องลอยหรือเห็นแสงวิญญาณวาบหนึ่ง จิตใต้สำนึกจึงคิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้

ร่างกายของนางคือร่างฮุ่นตุ้น (โกลาหล) สามารถใช้ลมปราณหลากหลายชนิดแปรเปลี่ยนเป็นรากวิญญาณเจ็ดสีที่มีพลังอันบริสุทธิ์ หัวใจหลักของการบำเพ็ญพรตคือการคืนปราณดั้งเดิม

ในเมื่อปราณวิญญาณ ปราณมาร ปราณปีศาจ หรือแม้แต่ปราณมรณะ ล้วนพัฒนามาจากพลังปราณดั้งเดิม พร้อมด้วยข้อกำหนดต่างๆ ที่ตามมาทีหลัง ลมปราณเหล่านั้นยังสามารถแปรผกผันกลับปราณดั้งเดิมได้ แล้วสรรพสิ่งเหล่านี้เล่า

เต๋าเกื้อหนุนสิ่งมีชีวิตแรก สิ่งมีชีวิตแรกเกื้อหนุนสิ่งมีชีวิตที่สอง สิ่งมีชีวิตที่สองเกื้อหนุนสิ่งมีชีวิตที่สาม สิ่งมีชีวิตที่สามเกื้อหนุนทุกสรรพสิ่ง[2]

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีวิวัฒนาการ ไยต้องมองว่าคือเนื้อแท้หรือเทียม

เพราะความเข้าใจถึงเนื้อแท้เช่นนี้ ทำให้นางได้รับญาณแรก จึงตั้งชื่อให้ว่า…คืนโฉม

เมื่อคืนโฉมสำแดงฤทธิ์ วัตถุต่างๆ จะได้รับการซ่อมแซมให้กลับเป็นดังเดิม

เพียงแต่จะฟื้นฟูได้เพียงระดับหนึ่ง การจะควบคุมได้ไม่แม่นยำ จำเป็นต้องอาศัยการรับรู้ของญาณที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่มั่วชิงเฉินสามารถใช้ญาณคืนโฉมซ่อมแซมปากทางเข้าจวนถ้ำของเวินหนิงจนกลับมาเป็นดังเดิมได้

หาใช่เพราะตนมีความสามารถเห็นโครงสร้างเดิมได้อย่างแม่นยำ แต่เพราะความดีความชอบของหลัวอวี้เฉิงก่อนหน้านี้ที่ใช้วิธีซ่อมแซมปากทางเข้าปรากฏให้เห็นทีละน้อย

มั่วเฟยเยียนฟังคำบอกเล่าของมั่วชิงเฉิน สัมผัสได้ถึงความรู้สึกสนใจอันท่วมท้นของนาง

ส่วนหลัวอวี้เฉิงที่เงียบไปนาน ทันใดนั้นพูดขึ้นมาว่า “สหายมั่ว ท่านเคยคิดไหมว่า เนิ่นนานแสนนานนับจากนี้ ในช่วงเวลาที่ญาณคืนโฉมของเจ้าเเข็งแกร่งขึ้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

มั่วชิงเฉินอ้าปากค้าง ราวกับตระหนักอะไรบ้างอย่างได้ ทั้งไม่พูดสิ่งใดออกไป แต่ในใจกลับเต้นรัว

หลายปีมานี้ได้จัดการกับเรื่องราวต่างๆ อยู่หลายครา เรื่องที่หลัวอวี้เฉิงคาดการณ์ สำหรับนางดูเหมือนน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง จึงถามออกไปโดยไม่ตั้งใจ “เจ้าคิดว่าเช่นไร”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มอย่างลึกซึ้ง ตอบชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่แน่ว่า เจ้าอาจจะทำให้คนแก่ย้อนวัย คนตายฟื้นคืนก็ได้”

ประโยคที่ไม่ต่างอะไรจากสายฟ้าฟาดเช่นนี้ ทำให้มั่วชิงเฉินสะดุ้ง แต่ไม่ตกใจเท่าผู้อื่นที่ยืนฟังอยู่

มั่วหร่านอีหยุดลงไม้ลงมือนานแล้ว บ่นพึมพำว่า “คนแก่ย้อนวัย คนตายฟื้นคืน นี่มีเพียงทวยเทพเท่านั้นถึงทำเรื่องเช่นนี้ได้มิใช่รึ”

หัวใจของมั่วชิงเฉินสั่นระรัว หายใจเข้าลึกๆ ก่อนหายใจออกด้วยความสงบ ปรากฏรอยยิ้มบนหน้า “ทุกคนอย่าพึ่งคิดไปไกล ทวยเทพอะไรกันเล่า โลกผู้บำเพ็ญเพียรจนถึงบัดนี้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับแยกวิญญาณยังหาไม่พบ เรื่องสำคัญในตอนนี้ คือรีบเข้าไปในจวนถ้ำก่อนค่อยว่ากันเถิด”

ในใจของพวกเขาต่างมีความรู้สึกที่สับสนวุ่นวาย ทั้งหมดพยักหน้า เดินเข้าจวนถ้ำของเวินหนิงพร้อมกัน

[1] เป็นสำนวน หมายถึง เมื่อมีเงื่อนไขครบถ้วน เป้าหมายที่วางไว้ก็จะบรรลุผล

[2] จากคัมภีร์เต๋าบทที่ 42 หมายถึงเต๋าให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่ไร้รูปร่างขึ้น จากนั้นสิ่งมีชีวิตแรกแยกออกเป็นสองส่วนคือหยินและหยาง เพื่อความสมดุลของพลังงานจึงแผ่พลังงานจนเกิดธรรมชาติที่โอบล้อมและสร้างสรรพสิ่งไว้

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี
Status: Ongoing
สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset