ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 100 แม่มาแล้ว

ตอนที่100 แม่มาแล้ว

เรื่องราวพลิกผันกลายเป็นเรื่องตลกในทันทีเมื่อทหารหน่วยนี้บุกมาถึง

KTVถูกกวาดล้างและเข้าควบคุมเบ็ดเสร็จ แขกทุกคนที่เข้ามาใช้บริการในคืนนั้นล้วนถูกไล่ออกจากร้านทันที

ทั้งเจ้าของที่นี่กับผู้จัดการร้านอย่างหยานเสวียเหลียงยังต้องคอตกเป็นลูกสุนัขเช่นกัน

ทั้งฉีเล่ยและบรรดาลูกศิษย์ที่เหลือต่างก็เฝ้ามองภาพฉากอันดูเกินจริงตรงหน้า พลางคิดไปว่าตัวเองฝันไปรึเปล่า? เนื่องจากพวกเขาเพิ่งจะรู้จักเหอจื่อได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง จึงไม่มีใครรู้เลยว่า ภูมิหลังของเธอแท้จริงแล้วจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้

ที่น่าเหลือเชื่อกว่าก็คือ เหอจื่อคนนี้กลับทำตัวกลมกลืนกับนักศึกษาคนอื่นๆทั่วไปได้ ทั้งย้ายมาอยู่ในหอพักเก่าๆของมหาวิทยาลัย ทนกินอาหารไม่อร่อยในโรงอาหาร เดินถือกาต้มน้ำออกไปกรอกน้ำข้างนอกเพื่อต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน ทั้งๆที่เธอเป็นถึงลูกสาวของแม่ทัพภาคที่1แห่งประเทศจีน!

ยิ่งไปกว่านั้น…เวลาเดินทางไปไหนมาไหน เธอยังขึ้นแต่รถประจำทางด้วย

ทหารติดอาวุธนับหลายสิบนายยืนแถวตรงอยู่เคียงข้างเหอจื่อราวกับเครื่องจักรสังหารไร้ความรู้สึก แม้ภายในใจของทุกคนจะมีคำถามมากมาย แต่กลับไม่มีใครสักคนที่กล้าส่งเสียงดังในเวลานี้ กระทั่งจ้าวหยวนหยวนที่ดูจะสนิทกับเหอจื่อมากที่สุดยังได้แต่ปิดปากเงียบ

เหอจื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันน่าอึดอัดใจเช่นกัน จึงหันไปพูดกับซูจงว่า

“ไหนว่าจะถอยทัพ? ลากพวกอันธพาลออกไปได้แล้ว”

ซูจงพยักหน้าตอบอย่างแข็งขัน ก่อนจะหันไปตะโกนสั่งการทหารภายใต้บังคับบัญชาของตัวเอง จากนั้นจึงได้นำทีมทหารทั้งหมดออกไปพร้อมกับกลุ่มบอดี้การ์ดชุดสูทดำ ที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากสุนัขตาย

หม่ารุ่ยกับชายวัยกลางคนที่นอนโทรมแน่นิ่งอยู่บนพื้น ก็ถูกลากออกไปเก็บไว้อีกห้องเช่นกัน ไม่มีใครสนใจว่า คนชั่วสองคนนั้นจะถูกจัดการอย่างไรต่อ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่พวกมัน‘สมควร’โดนแล้ว

เหอจื่อหันมากล่าวกับจินเซิงว่า

“มีบางอย่างที่ต้องจัดการต่ออีกนิดหน่อยน่ะ นายพาทุกคนกลับไปก่อนเถอะ”

“เดี๋ยว…เดี๋ยวผมรีบไปเรียกรถให้นะครับ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางกลับ ทางเราจะอาสาออกให้เองครับ”

หวางหลิง เจ้าของKTVแห่งนี้เป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ40ปี สวมเสื้อผ้าราคาแพงพร้อมกับสร้อยทองเส้นใหญ่เป็นแผงรอบคอ ดูก็รู้ว่าใส่มาเพื่ออวดร่ำอวดรวย ทว่าตอนนี้กลับไร้ซึ่งความน่าเกรงขามเมื่อได้ยินว่า อีกฝ่ายเป็นแม่ทัพภาคที่1 ตอนนี้ได้จังหวะจึงรีบเสนอหน้าออกมาเพื่อเอาใจเหล่านักศึกษากลุ่มนี้

จินเซิงโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจและกล่าวว่า

“ไม่เป็นไรครับ พวกผมเรียกแท็กซี่กันเองได้”

ทัศนคติของพวกจินเซิงที่มีต่อคนในKTVไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะหากคนพวกนี้ลงมาควบคุมสถานการณ์ตั้งแต่แรก เรื่องราวคงจะไม่บานปลายถึงขนาดนี้แน่นอน

มิหนำซ้ำพวกรปภ.ยังจะให้ท้ายพวกอันธพาลอีก ตอนที่พวกนักศึกษาโดนทำร้ายกลับไม่ห้ามปราม พอเห็นว่ากลุ่มอันธพาลเสียท่ากลับรีบเข้ามาขวางเชียว จินเซิงย่อมไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอีกต่อไป

แต่หวางหลิงก็แกล้งทำเป็นหูทวนลม หันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้หยานเสวียเหลียงให้จัดการต่อ

“ผู้จัดการหยาน ไปเตรียมรถขับพานักศึกษาพวกนี้กลับบ้าน บอกให้คนขับอย่ารีบล่ะ เดี๋ยวจะเกิดอันตรายกับพวกเด็กๆเข้า โอ้? ดูจากชุดแล้วน่าจะเป็นนักศึกษาแพทย์ปักกิ่งใช่ไหมครับเนี่ย? เด็กๆพวกนี้ล้วนแต่เป็นอนาคตของชาติ ยินดีที่ได้ต้อนรับนะครับ หวังว่าวันหน้าจะมาสนุกกันใหม่ ครั้งหน้าผมจะรีบจัดเตรียมสถานที่ให้ก่อนเลยครับ ฮ่าฮ่า…”

“ลืมมันไปเถอะครับ คงไม่มีครั้งหน้าแล้ว”

จินเซิงกล่าวประชดต่อทันที

“ไปเถอะทุกคน เดี๋ยวฉันจ่ายค่าแท็กซี่ให้เอง!”

หวางหลิงได้แต่ยิ้มแห้งรับไว้ ใบหน้าที่สุดแสนจะด้านหนาพลันต้องแตกร้าวราน เฝ้ามองพวกนักศึกษาเดินจากไปอย่างไม่ไยดี ส่วนพวกพนักงานคนอื่นๆที่อยู่บริเวณใกล้เคียงที่เห็น ต่างก็แอบจับกลุ่มกระซิบนินทาทันที ปกติเจ้านายของพวกเขาคนนี้ชอบวางกล้ามใหญ่โต และยังกดขี่ลูกน้องอยู่เสมอๆ พอเห็นอีกฝ่ายตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็อดที่จะสะใจไม่ได้จริงๆ

หลังจากกุมตัวพวกบอดี้การ์ดขึ้นรถบรรทุกทหารไปแล้ว ซูจงก็เดินกลับเข้ามาในร้านตามลำพัง

เหอจื่อเป็นคนสั่งให้เขากลับมาเอง และเมื่อมาถึงก็รีบอีกฝ่ายเดินตรงเข้าไปพลางชี้ไปที่ฉีเล่ย พร้อมกล่าวแนะนำทันที

“เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้รู้จัก ผู้ชายคนนี้ชื่อฉีเล่ย”

สีหน้าของซูจงเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมไปชั่วขณะ สายตาของเขาหรี่เล็กลงสำรวจมองฉีเล่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด ก่อนจะกระซิบถามว่า

“แฟนหนุ่มเหรอครับ?”

เขาย่อมรู้ดีว่า เหอจื่อผู้ซึ่งเป็นถึงคุณหนูของแม่ทัพภาคที่1นั้น มีดีทั้งในด้านหน้าตา ความฉลาด แล้วก็ไหวพริบปฏิภาณ โดยรวมแล้วทำให้หญิงสาวยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้น นี่ยังไม่รวมถึงภูมิหลังครอบครัวที่พิเศษเกินกว่าใครๆ ตั้งแต่เด็กจนโต ผู้ชายทุกคนโดยรอบต่างหลงรักเธอกันทั้งนั้น

ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เขาต้องอยู่ดูแลเหอจื่อมาตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากซูจงจะเป็นทหารฝีมือดีแล้ว เขายังถูกทุกคนเรียกขานในอีกหนึ่งฉายาว่า ผู้พิทักษ์อัญมณีตัวน้อย

เพื่อร่วมคลาสคนอื่นๆเหอจื่อไม่แม้แต่แนะนำให้เขารู้จัก แตกต่างจากชายหนุ่มคนนี้ที่กลับเรียกมาแนะนำเป็นการส่วนตัว จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ซูจงจะคิดไปในทางแบบนั้น

ใบหน้าของเหอจื่อแดงระเรื่อขึ้นทันที เธอยกเท้าเตะซูจงไปหนึ่งทีและสวนตอบไปว่า

“นี่นายจินตนาการไปถึงไหนแล้วห๊ะ? เขาเป็นอาจารย์ของฉันย่ะ!”

“อ่า! เป็นอาจารย์หรอกเหรอครับ ผมเผลอแสดงกิริยาไม่สุภาพออกไปแบบนั้น ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

ซูจงรีบตรงเข้าไปจับมือฉีเล่ยทันทีพร้อมกับกล่าวคำขอโทษ

ฉีเล่ยยิ้มตอบไปว่า

“ขอบคุณมากเลยนะครับที่มาช่วยในวันนี้”

เขาพลางคิดกับตัวเองอยู่ภายในใจว่า ถ้านายไม่รีบมาซะก่อน มีหวังฉันคงต้องพลั้งมือฆ่าคนแน่นอน ส่วนไอ้แก๊งอันธพาลพวกนั้นก็จริงๆเลย จะบ้าดีเดือดกันไปถึงไหน

ซูจงส่ายหน้าไปมาและตอบกลับไปยิ้มๆ

“อาจารย์ฉีเกรงใจเกินไปแล้วครับ ต้องขอบคุณอาจารย์ฉีมากกว่าที่ช่วยผมเอาไว้ ถ้าคุณหนูเหอได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว มีหวังผมต้องรื้อถอนร้านนี้ทิ้งจริงๆแน่ ในฐานะที่เป็นลูกสาวของแม่ทัพภาคที่1 จะให้คุณหนูถูกคนรังแกง่ายๆไม่ได้เด็ดขาด”

“เธอเป็นลูกสาวของแม่ทัพภาคที่1จริงๆเหรอครับ?”

ฉีเล่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“อ้าว อาจารย์ฉีไม่รู้หรอกเหรอครับ?”

ซูจงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นปฏิกิริยาของฉีเล่ย คนอย่างคุณหนูเหอนี่นะไม่เคยเปิดเผยเรื่องราวในชีวิตของเธอให้เขาฟัง? นี่ใช่คุณหนูที่เขารู้จักรึเปล่า?

ตอนที่เธอยังเด็ก เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเด็กผู้ชายตกหลุมรักเด็กผู้หญิงตัวน้อยผู้แสนน่ารักอย่างเหอจื่อ พวกเขาเหล่านั้นก็มักจะพยายามทำให้เธอสนใจโดยการแกล้ง และทุกครั้งเธอก็มักจะยกมือขึ้นเท้าสะเอวและพูดว่า

“พวกนายรู้ไหมว่าพ่อของฉันเป็นใคร? ถ้ายังกล้ารักแกฉันอีก ฉันจะสั่งให้พ่อไล่ฆ่าพวกนายให้หมด!”

เด็กๆในวัยนั้นที่ต้องการรังแกเด็กผู้หญิงก็เพื่อเรียกร้องความสนใจเท่านั้น แต่พอได้ยินเหอจื่อตัวน้อยร้องข่มขู่ออกไปแบบนั้น ก็ไม่มีใครกล้ารังแกเธออีกเลยนับแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะกลัวพ่อของเธอมาไล่ฆ่า…

ถึงขนาดที่ว่าลูกของนายทหารคนอื่นๆที่ปล่อยให้มาวิ่งเล่นในกรมทหารภาคที่1 ในแต่ละวันเด็กทุกคนต่างต้องพากันหลบซ่อนตัวด้วยความหวาดผวา เพื่อไม่ให้เหอจื่อพบเข้า เพราะกลัวถูกฆ่าทิ้ง

ซึ่งความแข็งแกร่งของเหอจื่อนั้น ฉีเล่ยเองก็ได้เห็นประจักษ์ต่อสายตาคู่นี้ของตนเองแล้ว

“ผมต้องขอโทษแทนคุณหนูด้วยนะครับ การจะมาเป็นอาจารย์สอนคุณหนูคงจะเป็นเรื่องเครียดมากเลยใช่ไหมครับ? ผมเคยแนะนำเธอตั้งแต่แรกแล้วว่า ด้วยนิสัยแบบนี้ ควรจะสอบเข้ามาเป็นทหารแบบคุณพ่อดีกว่า”

“แสดงว่าผมโชคดีนะครับ เธอไม่เคยสร้างปัญหาให้ผมเลยสักครั้ง”

ฉีเล่ยยกมือขึ้นลูบหลังศีรษะตัวเองแก้เขิน เขาไม่เคยทราบถึงภูมิหลังของเหอจื่อมาก่อนเลย เมื่อได้มารับรู้แบบนี้ท่าทีของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีลูกศิษย์จากตระกูลใหญ่แบบนี้ ถ้าเขาเกิดสอนเธอไม่ดีขึ้นมา นี่ถือเป็นความรับผิดชอบครั้งใหญ่ของเขาสินะ

อย่างน้อยที่สุด ก็คงต้องพยายามไม่ให้เธอหัวร้อนขึ้นมาระหว่างเรียน ฉีเล่ยจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ป้องกันไม่ให้เธอไปหักคอเพื่อนร่วมคลาสคนอื่นๆ

เหอจื่อยกกำปั้นหักนิ้วดังกร๊อบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ซูจง ถ้านายพูดไม่เข้าหูฉันอีกแค่ครั้งเดียว นายเตรียมเจอดีแน่!”

ซูจงรีบร่นถอยออกไปก้าวใหญ่อย่างกับเจอระเบิดฝังดิน พร้อมกับยกมือขึ้นห้ามปราม

“แหะ แหะ..ล้อเล่นน่ะครับ ล้อเล่น! คุณหนูทั้งสวย ทั้งฉลาด แถมยัง…อ่อนโย๊นอ่อนโยน อันที่จริงอาจารย์ฉีน่าจะมีความสุขสุดๆไปเลยจริงไหมครับ?”

เหอจื่อเมินอีกฝ่ายไปและหันมาถามฉีเล่ยว่า

“อาจารย์ฉียังเวียนหัวอยู่ไหมคะ? เรามานั่งพักตรงนี้กันหน่อยดีไหม?”

“ใช่ครับ ใช่ครับ ทุกท่านนั่งพักกันที่นี่ก่อนสักครู่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปเตรียมอาหารมาให้เดี๋ยวนี้เลยครับ! ฮ่าฮ่าๆ”

ในที่สุดหวางหลิงก็ได้โอกาสเอ่ยปากเสนอขึ้นมากลางวงสนทนา และรีบปรบมือเรียกบริกรให้ไปนำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นมาบริการโดยเร็วที่สุด

ไม่นานห้องคาราโอเกะที่ก่อนหน้าเละเทะ ข้าวของแตกเสียหายเนื่องจากการต่อสู้ ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติภายในเวลาอันสั้น ภายในห้องถูกทำความสะอาดจนมีสภาพใหม่กริบอีกครั้ง พร้อมกับชุดผลไม้แกะสลัก ไวน์แดงและกาแฟ ที่ถูกนำมาวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ

ฉีเล่ย, เหอจื่อและซูจงที่ก่อนหน้าถูกย้ายให้ไปรอที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่ง เมื่อห้องถูกจัดแจงใหม่จนเสร็จสรรพ หวางหลิงก็อาสาออกไปเชิญด้วยตัวเอง เขากล่าวขึ้นอย่างสุภาพขึ้นว่า

“ต้องขออภัยจากใจจริงคะครับ ที่ก่อนหน้าบริการคุณลูกค้าได้ไม่ดีพอ ของทั้งหมดในห้องกินดื่มได้ตามสบายครับ ทางเราไม่คิดเงิน”

หลังจากขึ้นไปนั่งคุยกันสักพัก ฉีเล่ยก็จิบกาแฟหมดไปหนึ่งแก้ว สายตาพลางเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือและกล่าวว่า

“ผมไม่เวียนหัวแล้วครับ กลับกันเลยไหม?”

เหอจื่อคลี่ยิ้มขื่นเอ่ยขึ้นว่า

“ยังไปไม่ได้นะคะอาจารย์ฉี แม่ของฉันกำลังเดินทางมาที่นี่ อีกไม่นานน่าจะมาถึงแล้ว ถ้าแม่เข้ามาแล้วไม่เห็นหน้าหนู โลกใบนี้คงพังพินาศแน่ค่ะ…”

“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน…”

ฉีเล่ยที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับสั่นสะท้าน เฮ้! ฉันยังชอบโลกใบนี้อยู่นะ! แม่ของเหอจื่อจะต้องเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวขนาดไหนกัน? ไหนตอนแรกเหอจื่อบอกว่า แม่ของตัวเองป่วย? แต่มาวันนี้แม้แต่นายทหารมากฝีมืออย่างซูจงยังกลัวหัวหด ดูยังไงเธอก็น่าจะสบายดีไม่ใช่รึไง?

ขณะที่ทั้งสามคนกำลังสนทนาพูดคุยกันฆ่าเวลา ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวแต่งตัวมีสไตล์เดินเข้ามา พร้อมด้วยรองเท้าส้นสูง ทุกย่างก้าวเปี่ยมมีเสน่ห์น่ามองและน่ายำเกรงในคราวเดียว ทุกบริเวณที่เธอย่างผ่านเข้ามาราวกับเกิดแรงกดดันขุมใหญ่ปกคลุมอยู่

“มู่เซียวหยาน ทางนี้!”

เหอจื่อโบกมือเรียกหญิงสาวคนนั้นทันที

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset