ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 106 คุยเรื่องธุรกิจ

ตอนที่106 คุยเรื่องธุรกิจ

“จะรักษาได้จริงๆเหรอค่ะ? แบบไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เลยนะคะ?”

เซียวเซียวเหลือบมองไปที่บริเวณขาอ่อนของตัวเอง สีหน้าของเธอดูค่อนข้างกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ขอโทษนะคะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ไว้ใจคุณ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงอนาคตทางอาชีพการงานของฉัน ก็เลยกังวลอยู่นิดหน่อย ถึงพี่หลินจะบอกว่าฝีมือด้านการแพทย์ของคุณเหนือชั้นมากก็ตาม…”

ฉีเล่ยชี้ไปที่หัวเข่าของหลินชูวโม่และกล่าวว่า

“ก่อนหน้านี้ บาดแผลที่หัวเข่าของเธอยังอาการหนักกว่าของคุณอีก ลองดูด้วยตาตัวเองสิครับ ตอนนี้ยังเห็นแผลถลอกอยู่อีกไหม?”

“สุดหล่อ แอบมองขาอ่อนของฉันอีกแล้วนะ”

หลินซูวโม่อดกล่าวหยอกเย้าฉีเล่ยไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายจับจ้องมาที่ขาของตัวเอง

“ผมแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ”

“แต่สายตาของนายมันชวนเข้าใจผิดมาก”

“…”

เซียวเซียวหัวเราะและกล่าวขึ้นว่า

“พี่หลินเองก็เคยบอกมาก่อนเหมือนกันว่า เธอล้มเข่ากระแทกพื้น แต่ตอนนี้กลับไม่มีเหลือทิ้งแม้แต่รอยแผลเป็นด้วยซ้ำ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเธอหายดีขนาดนี้ได้ยังไง นี่อย่างกับไม่เคยเป็นแผลมาก่อนด้วยซ้ำ”

หลินชูวโม่ยักไหล่กล่าวแทรกขึ้นว่า

“ก็เพราะฉันรู้ว่าเธอต้องไม่เชื่ออยู่แล้ว ฉันก็เลยพาสุดหล่อมาดูอาการให้เธอถึงที่นี่ยังไงล่ะ ปัญหากวนใจของเธอจะได้หมดสิ้นไปซะที”

สาวสวยในชุดกระโปรงสั้นสีขาวเอ่ยแซวขึ้นว่า

“แหมม…ที่แผลของพี่หลินหาย เพราะเขาใช้ลิ้นเลียรึเปล่าค่ะ?”

หลินชูวโม่รู้สึกราวกับโดนท้าทายอย่างบอกไม่ถูก เธอยิ้มสวนขึ้นทันทีว่า

“ใช้ยารักษานี่แหละจ้ะ แต่หลังจากนั้นฉันให้เขาเห็นมากกว่าขาอ่อนอีกนะ”

เสียงหนึ่งเอ่ยถามแทรกขึ้นทันทีด้วยความสงสัย

“มากกว่าขาอ่อน?”

หลินชูวโม่เบะปากคว่ำกล่าวตอบพร้อมสีหน้าดูแคลนว่า

“สมองคนหรือสมองหมูกันจ๊ะ? บนเรือนร่างของผู้หญิงเนี่ย ยังมีอีกกี่ส่วนกันที่น่าดึงดูดกว่าขาอ่อน ไหนคิดสิคิด?”

ภายในใจของฉีเล่ยว้าวุ่นโกลาหลไปหมด แม้จะรู้ว่าพวกเธอก็สนทนากันตามภาษาผู้หญิงเป็นปกติ แต่พอเอาเข้าจริง นี่มันน่ารำคาญมาก อย่างกับมีผึ้งฝูงหนึ่งกำลังส่งเสียงหึ่งๆบินวนอยู่รอบตัวเขา

ฉีเล่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า

“ผมอยากเห็นที่ไหนกันล่ะ? ตอนนั้นรู้ทั้งรู้ว่าใส่กระโปรงยังจะมานั่งยองๆให้เห็นอีก ไม่รู้จักระมัดระวังเอง แล้วยังจะมาพูดจาชวนให้คนอื่นเข้าใจผิดแบบนี้อีก ผมเป็นฝ่ายเสียหายนะครับ”

บรรดาสาวสวยนั่งขำกันจนท้องแข็ง

“สุดหล่อ สรุปว่าเห็นของใต้กระโปรงพี่หลินจริง?”

“ฮ่าฮ่า…สุดหล่อร้อนตัวเองนะ ตอนแรกฉันยังแค่คิดว่าพี่หลินล้อเล่น”

คล้อยหลังพวกสาวๆหัวเราะคิกคักกันเสร็จ ฉีเล่ยก็เอ่ยถามน้ำเสียงเย็นขึ้นว่า

“จะเริ่มรักษากันเลยไหม?”

ตอนนี้ยังพอเหลือเวลา เพราะหลี่ถงซียังมีสอนอีกสองคาบบ่าย และเขาต้องรีบกลับไปพบเธอที่มหาวิทยาลัยอีก

หลินชูวโม่หัวเราะเล็กน้อยและเอ่ยขึ้นว่า

“เซียวเซียว นั่งลงก่อน ช่วยโชว์เรียวขาระดับนางแบบชั้นนำให้สุดหล่อของเราดูหน่อยเร็ว”

เซียวเซียวเชื่อฟังเธอเป็นอย่างมาก เธอนั่งลงบนโซฟาทันทีก่อนจะถอดรองเท้าเหยียดเรียวขานวลสีขาวประดุจหิมะขึ้นมาวางบนตักของฉีเล่ย

“…”

ขาสวยมาก…

นี่เป็นประโยคแรกที่ฉีเล่ยร้องอุทานขึ้นภายในใจ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถสบถคำเหล่านี้ออกไปได้จริง เขามาที่นี่เพื่อรักษาผู้ป่วยที่เดือดร้อน แม้ว่าผู้ป่วยรายนี้จะเป็นสาวสวยระดับนางแบบ แต่ในสายตาของแพทย์ ผู้ป่วยก็คือผู้ป่วย ไม่มีความแตกต่างระหว่างหญิงหรือชาย ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ทุกคนต้องได้รับการรักษาและปฏิบัติตัวอย่างเท่าเทียม

ฉีเล่ยหยิบขวดยาขนาดจิ๋วที่บรรจุผงคางคกเย็นออกมา และค่อยๆเทผงยาลงบนแผลของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังพลางเช็ดด้วยความเบามือ ใช้นิ้วกดจุดบริเวณรอบแผล ลงน้ำหนักสม่ำเสมอ จนกว่าผงยาจะซึมซับเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ยามนั้นถึงค่อยหยุด

ฉีเล่ยเก็บขวดยาและเงยหน้ากล่าวกับเซียวเซียวว่า

“เดี๋ยวผมจะแบ่งยาผงส่วนหนึ่งไว้ให้ หลังอาบน้ำเสร็จก็ใช้มันทาอีกรอบบริเวณบาดแผล พรุ่งนี้น่าจะหายดีแล้ว”

“พรุ่งนี้?”

เซียวเซียวขมวดคิ้วแน่นร้องอุทานออกมาเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อ

“ครับ พรุ่งนี้ก็หายดี”

ฉีเล่ยยังคงพยักหน้ายืนยันคำเดิม

เฝ้าสังเกตท่าทางการแสดงออกของเซียวเซียว ดูยังไงเธอก็ไม่อยากจะเชื่อ และไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แม้แต่สาวๆรอบข้างยังไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

“ไม่มีทางน่า ทำไมมันง่ายขนาดนี้ล่ะ?”

“ไม่ใช่ว่ากำลังหลอกพวกเราอยู่หรอกนะ? แล้วไอ้ผงดำๆที่ใส่ไปมันคืออะไร? น่ากลัว…”

“หรือนี่กำลังแอบหลอกจับขาของเซียวเซียว? ถ้าครึ่งวันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แสดงว่านายแค่มาหลอกลวนลามเธอนะ!”

ฉีเล่ยไม่มีอารมณ์จะมานั่งเถียงกับผู้หญิงพวกนี้ให้เสียเวลา เขายกแขนขึ้นมองนาฬิกาแวบหนึ่ง กล่าวว่า

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว”

“อย่า! อย่าเพิ่งไป!”

หลินชูวโม่รีบฉุดแขนของฉีเล่ยกลับเข้ามาทันที โดยเผลอคิดไปว่าเขาคงกำลังหัวเสียที่คนอื่นสงสัยในความสามารถของตนเอง เธอจึงรีบระล่ำระลักอธิบายให้ทุกคนฟังทันทีว่า

“ตอนที่ฉันล้ม เขาก็ทายาผงตัวนี้ให้ฉันเหมือนกัน!”

“เอ่อ…พี่หลิน พี่ก็ชอบแก้ตัวแทนผู้ชายของพี่ทุกคนนั่นแหละ เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวพวกเราจะกลับมาดูผลอีกครั้ง ถ้าแผลของเซียวเซียวยังไม่หาย พวกเราจะถอดเสื้อผ้าพี่ แล้วถ่ายประจานดีไหม?”

หลินชูวโม่ตบหน้าอกอันอวบอิ่มของตนด้วยความมั่นอกมั่นใจ และกล่าวว่า

“ได้! ถ้าขาของเซียวเซียวหายดี ก็เอารูปเปลือยที่พวกเธอถ่ายงานนอกมาโชว์ให้ทุกคนในคลินิกของฉันดู ว่ายังไงกล้ารึเปล่า?”

หลังจากเอ่ยกล่าวออกไปแบบนั้น เธอก็หันกลับมาจับจ้องฉีเล่ยและกล่าวว่า

“นายรู้ไหมว่า งานนอกที่คนพวกนี้ไปรับมันคืองานแบบไหน?”

“….”

“หลิวชูวโม่! อย่า!”

“ว่าไง! กล้ารึเปล่า?!”

พวกสาวๆกำลังถกเถียงกันไปกันมาไม่หยุดอยู่บนโซฟา

จากบทสนทนาของพวกเธอ ฉีเล่ยสามารถพูดได้อย่างหนึ่งว่า สาวๆกลุ่มนี้ล้วนมีชื่อเสียงในวงการกันทั้งนั้น หนึ่งในนั้นเป็นสาวผมลอน เธอเป็นดาราหญิงที่มีชื่อเสียงค่อนข้างโด่งดัง แต่น่าเสียดายที่ฉีเล่ยไม่ค่อยสนใจเรื่องวงการบันเทิงสักเท่าไหร่ เขาจึงไม่รู้จัก

หลังจากวุ่นวายกันอยู่ครู่หนึ่ง หลินชูวโม่ก็ลุกขึ้นและร้องบอกไปว่า

“พวกเธอคุยกันต่อเถอะ ฉันกับฉีเล่ยมีธุระต้องคุยกันส่วนตัว”

“เข้าใจค่ะ เข้าใจ ทั้งหล่อทั้งน่ารักแบบนี้ใครจะอดใจไหว? ตามสบายค่ะ ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก”

หลินชูวโม่สวนกลับติดตลกทันที

“พวกเธอนั้นแหละน่าห่วงที่สุดแล้ว!”

ห้องทำานส่วนตัวของหลินชูวโม่อยู่บนชั้นสามของตึก เมื่อขึ้นไปข้างบนจะพบเห็นสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอยู่ภายในห้องค่อนข้างครบครัน นอกจากโต๊ะทำงานและชั้นวางหนังสือในส่วนนอกแล้ว ถ้าเดินลึกลงไปจะมีประตูอีกบานซ่อนอยู่ เพื่อเปิดเข้าไปอีกห้องด้านใน เป็นโซฟาพร้อมทีวีจอแบนขนาดใหญ่ ด้านข้างเป็นเตียงไซส์สำหรับนอนคนเดียวและตู้เสื้อผ้า

มีทั้งหมอนกับผ้าห่มอยู่บนเตียงพร้อม เธอน่าจะแวะมางีบหลับที่นี่เป็นประจำ

“นั่งก่อนสิ”

หลินชูวโม่ชี้ไปที่โซฟา พลางรวบผมขึ้นมัดเป็นหางม้าเพื่อความสะดวกสบายของตัวเธอเอง

ฉีเล่ยนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาใดๆ รอให้อีกฝ่ายประเดิมเอ่ยขึ้นก่อน

หลินชูวโม่นำชาสองแก้วมาเสิร์ฟให้และเดินไปนั่งโซฟาด้านตรงข้ามกับฉีเล่ย

“เชิญ”

ฉีเล่ยขี้เกียจรอแล้ว

“หมายความว่าไง?”

“ก็มีธุระจะคุยกับผมไม่ใช่รึไง?”

ฉีเล่ยเอนหลังพึงโซฟา สายตาคู่นั้นดูเยียบเย็นปราศจากอารมณ์ใดๆ

“ฮ่าฮ่า…ทำไมนายน่ารักจัง”

หลินชูวโม่ปิดปากหัวเราะเสียงอ่อน ก่อนจะเริ่มปริปากกล่าวขึ้นอย่างจริงจังว่า

“ฉันอยากคุยเรื่องธุรกิจกับนาย”

“ธุรกิจ?”

“ใช่ ยาผงสีดำของนายนั่นไง บอกราคาค่าสูตรมาได้เลย”

“ไม่”

ฉีเล่ยส่ายหัวปฏิเสธตอบไปทันใด

หลินชูวโม่พอจะเดาได้อยู่แล้วว่า อีกฝ่ายจะต้องให้คำตอบแบบนี้ โดยไม่เอ่ยถามจุกจิกให้เสียเวลาเปล่า เธอกล่าวต่อขึ้นทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้นคงเป็นการดีกว่าหากพวกเราร่วมมือกัน ใช้ยาผงสีดำแลกเปลี่ยนกับหุ้นส่วนแทนแล้วกัน ฉันรับผิดชอบทั้งค่าวัตถุดิบ การผลิต รวมไปถึงการทำการตลาด แบ่งกัน30/70ว่าไง?”

ฉีเล่ยแสยะยิ้มขึ้นบนมุมปากราวกับกำลังสนุก

“ดูเหมือนว่าคุณจะมาคุยผิดคนแล้ว ผมไม่ควรนำสูตรลับออกไปเผยแพร่ให้ใครง่ายๆ แล้วอีกข้อที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากร่วมมือด้วยหรอกนะ แต่ผมไม่มีเวลามากขนาดนั้น”

“40/60 นายได้ส่วนแบ่งตั้งสี่ส่วนเลยนะ”

ฉีเล่ยยังคงส่ายหัวตอบ

“คุณเข้าใจผิดแล้ว เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น”

“ประการแรกเลย ผมไม่ต้องการเงิน ประการที่สอง ผมมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันน้อยมาก และตัวผมก็ไม่ได้กระหายเงินอะไรขนาดนั้น และประการที่สาม ความสนใจเพียงอย่างเดียวที่ผมมีคือ การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ทางการแพทย์ให้เด็กรุ่นใหม่ ไม่อย่างนั้น ผมคงเลือกทำธุรกิจแทนที่จะมาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแบบนี้ตั้งแต่แรก จริงไหม?”

“50/50?”

หลินชูวโม่ไม่มีหวั่น ทั้งยังเสนอราคาต่อทันที จากท่าทางการแสดงออกของเธอ จะเห็นได้ว่า ผู้หญิงคนนี้มีทัศนคติที่ว่า จะไม่มีเบาคันเร่งจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

ฉีเล่ยยังคงส่ายหัวเช่นเดิม

“ทำธุรกิจไปก็เสียเวลา สู้ผมเอาเวลาพวกนั้นมาสอนหนังสือดีกว่า”

“60/40 นายได้หกส่วน”

ฉีเล่ยเริ่มมีน้ำโหแล้ว เขากล่าวน้ำเสียงขรึมตอบไปว่า

“นี่คุณไม่เข้าใจที่ผมพูดเลยใช่ไหม? อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ ผมคืออาจารย์! และหน้าที่ของผมคือถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้แก่กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในศาสตร์แพทย์แผนจีน! ชัดเจนแล้วนะครับ? แล้วเลิกตอแยผมสักที!”

“70/30! นายเจ็ดฉันสาม!”

หลินชูวโม่กัดฟันกรอดเสนอขึ้นอีกครั้ง

ฉีเล่ยแสยะยิ้มบาง

“ตกลง”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset