ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 107 โรงงานต้องสงสัย

ตอนที่107 โรงงานต้องสงสัย

หลินซูวโม่ที่นั่งตรงข้ามคลี่ยิ้มกว้างใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขใจ

“ตามนั้นครับ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบอย่างไร้ความรู้สึก

เขาไม่รู้หลักการทำธุรกิจก็จริง แต่ใช่ว่าฉีเล่ยจะเป็นคนโง่เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่ทราบได้อย่างแน่ชัดคือ หากยาผงสีดำชนิดนี้สามารถนำไปแปรรูปและจัดจำหน่ายได้ออกเป็นวงกว้าง ผลกำไรจากยาผงตัวนี้จะต้องทะลักเข้ามาอย่างมหาศาล

ขนาดยาทาแก้ปวดเมื่อยทั่วไปยังมีมูลค่าในตลาดกว่าหลายหมื่นล้าน แล้วสำหรับยาผงของฉีเล่ยซึ่งไม่เพียงจะมีสรรพคุณแค่แก้ปวด แก้อักเสบ แต่ยังช่วยทำให้รอยแผลเป็นหายเป็นปกติอีกด้วย หากยาผงชนิดนี้ถูกผลิตออกมาได้ในปริมาณมาก นี่จะต้องเป็นสินค้าขายดีราวกับเทน้ำเทท่าอย่างไม่ต้องสงสัย

สรวงสวรรค์ประทานหัวใจให้มนุษย์ทุกคนรู้จักรักสวยรักงาม แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ ตราบใดที่ผู้คนบนโลกยังมีปัญหาเรื่องรอยแผลเป็นในบริเวณต่างๆของร่างกาย กระแสความนิยมของยาคางคกเย็นก็ย่อมไม่มีวันแผ่ว

แม้ว่าหลินชูวโม่จะได้รับส่วนแบ่งแค่30% แต่ถ้าตีเป็นจำนวนเงินก็ยังคงเป็นมูลค่าที่สูงจนน่าตกใจ แน่นอนว่าเธอเข้าใจในประเด็นนี้อย่างแจ่มแจ้ง ไม่เช่นนั้นเธอคงจะไม่เต็มใจเสนอส่วนแบ่งนี้ให้กับฉีเล่ยแน่

“โอเค โอเค โอเค สุดท้ายพวกเราก็หน้าเงินทั้งคู่นั่นแหละ นี่นายไม่คิดเหรอว่า สิ่งนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรักระหว่างเรา?”

หลินชูวโม่ปั้นสีหน้าขี้เล่นใส่ พร้อมคลี่ยิ้มกว้างอันทรงเสน่ห์

ฉีเล่ยส่ายหัว

“คุณก็ควรทราบนะครับ ที่ผมยอมร่วมมือกับคุณเป็นเพราะสาเหตุใด? มันไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความรักหรอกครับ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่กำลังจะรวย”

“ฉันชอบประโยคนี้แฮะ”

หลินชูวโม่ยกถ้วยชาของเธอขึ้นมา พลางยกอีกแก้วส่งไปทางฉีเล่ย

“หวังว่าการร่วมมือระหว่างเราครั้งนี้จะสำเร็จไปได้ด้วยดี ที่นี่ไม่มีไวน์ ใช้น้ำชาชนแก้วไปแทนก่อนแล้วกัน ครั้งหน้าเดี๋ยวฉันจะพานายไปดินเนอร์แบบเป็นทางการ”

“ขอให้สำเร็จด้วยดีครับ”

ฉีเล่ยยกแก้วชาขึ้นชนกับเธอเบาๆ ทั้งสองดื่มชาร่วมแสดงความยินดีแทนไวน์

หลินชูวโม่กล่าวต่อว่า

“ตั้งแต่ที่ค้นพบว่า แผลที่หัวเข่าฉันหายดีเป็นปลิดทิ้ง ฉันก็วางแผนที่จะหาทางร่วมมือกับนายอยู่แล้ว รู้ไหมว่า อุตสาหกรรมด้านความสวยความงามของประเทศเรามันมีตลาดใหญ่โตแค่ไหน? ถ้าประเมินในภาพรวม จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนสะพัดต่อวันถึง30,000ล้านหยวน”

“นี่เคยศึกษามาก่อนหรือแค่พูดขึ้นมามั่วๆกันครับ?”

“ฉันก็ต้องศึกษาหาข้อมูลมาสิ!”

หลินชูวโม่ส่งสายตาค้อนให้กับฉีเล่ยไปหนึ่งครั้ง

“ตัวเลขนี้มาจากสถิติที่ทางรัฐบาลประเมินมาล่าสุดเลยนะ”

หลินชูวโม่วางแก้วชาลงและอธิบายต่อว่า

“ถ้าครีมบำรุงผิวชูวโม่ของเราสามารถตีตลาดได้ ฉันมั่นใจอย่างมากว่า ภายในหนึ่งปี พวกเราจะสามารถครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมนี้ได้ราว3-5%ในทันที”

“เดี๋ยวก่อน มีอะไรแปลกๆรึเปล่า? ชื่อครีมอะไรนะ?”

“ครีมบำรุงผิวชูวโม่ ชื่อนี้นายคิดว่าไง?”

“ควรเรียกว่า ครีมคางคกเย็นดีกว่านะ”

“โอ้โห! ตั้งชื่อแบบนั้นใครจะกล้ามาซื้อ? เอาชื่อนี้แหละ! คางคกเย็นที่ว่ามาจากไหน?”

“ชื่อสายพันธุ์คางคกที่เติบโตในแถบไซบีเรีย ซึ่งเป็นคางคกเพียงไม่กี่ชนิดที่หายากมาก”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฉีเล่ยก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้และกล่าวต่อว่า

“แล้วนี่ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดอีกด้วย ก็เพราะความหายากของมันนี่แหละ จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมการจะผลิตผงยาชนิดนี้ในปริมาณมากๆจึงเป็นเรื่องยาก”

คิ้วเรียวสวยดั่งคันธนูของหลินชูวโม่พลันย่นเข้ามาแทบแนบชิด เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“ใช้วัตถุดิบอื่นทดแทนได้ไหม?”

ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า

“ได้ แต่ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก”

หลินชูวโม่ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะกล่าวว่า

“เอาเป็นว่า ใช้วัตถุดิบทดแทนนั่นแหละ ถือเป็นการดีด้วย ถ้าประสิทธิภาพลดลง แสดงว่าผู้บริโภคจะต้องซื้อใช้อย่างต่อเนื่อง นี่ถือได้ว่าเป็นโอกาสของเราด้วยซ้ำ คาดการณ์ได้เลยว่า ครีมชนิดนี้น่าจะขายได้กว่าหลายร้อยล้านชิ้นภายในหนึ่งปี”

“….”

ฉีเล่ยเข้าใจดีถึงสิ่งที่เธอกำลังหมายถึง ในฐานะเจ้าของธุรกิจ ตราบใดที่ไม่ได้กระทำสิ่งผิดกฎหมาย อะไรที่ทำแล้วได้เงินมากขึ้น นักธุรกิจพวกนี้ล้วนทำหมดนั่นแหละ จริงไหม?

เจ้าของธุรกิจผู้ซื่อสัตย์ที่ยังสามารถครองตำแหน่งเจ้าตลาดอยู่ได้ล้วนไม่มีอยู่จริง

เมื่อเห็นฉีเล่ยไม่ได้เอ่ยปากค้านอะไรและเพียงริมจิบชาอย่างใจเย็น หลินชูวโม่ก็หัวเราะเสียงเบา ยกขาขึ้นมานั่งท่าไขว้ห้างและเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่ถ้ารวยแล้ว นายอยากจะเอาเงินก้อนนั้นมาทำอะไรมากที่สุด?”

“ลงทุนกับการสอน”

“….”

“นี่นายเข้าใจคำถามของฉันจริงๆใช่ไหม? มีเงินมากมายขนาดนั้นแล้ว นายยังคิดจะสอนหนังสือให้เหนื่อยเปล่าอยู่อีกเหรอ?”

ริมฝีปากสีสวยของหลินชูวโม่เม้มเข้าหากันทันที

“นอกเหนือจากนั้นล่ะ?”

“ก็สอนหนังสือต่อ”

“นายนี่มันดื้อจริงๆนะ”

หลังจากปฏิเสธคำเชิญชวนให้มาร่วมรับประทานอาหารเที่ยงของหลินชูวโม่ ฉีเล่ยก็นั่งแท็กซี่กลับไปยังมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งทันที มีแนวโน้มว่าในช่วงเวลานี้หลี่ถงซีอาจจะกำลังรอเขาอยู่ที่หน้าประตูรั้วมหาวิทยาลัยอยู่

แต่เมื่อแท็กซี่จอดเทียบหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัย ฉีเล่ยกลับไม่พบBMWของหลี่ถงซี ทว่ากลับไปเห็นหานหมิงต้าและซูเสี่ยวหยานกำลังยืนเถียงกันอยู่

ดวงตาคู่สวยของซูเสี่ยวหยานเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา เธอพยายามฉุดรั้งไม่ให้หานหมิงต้าออกไปไหนทั้งสิ้น แต่อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีรังเกียจอย่างชัดเจน เขาสะบัดแขนใส่อย่างแรงจนซูเสี่ยวหยานเกือบล้ม ก่อนจะรีบตรงเข้าไปในMercedes-Benz สีดำคันสวยที่จอดอยู่ข้างๆ และบึ่งรถออกไปจากบริเวณนั้นทันที

ฉีเล่ยที่เห็นแบบนั้น เขาก็เปลี่ยนความตั้งใจในทันที

“พี่แท็กซี่ ไล่ตามเบนซ์สีดำคันนั้นไป”

“โถ่น้องชาย ดูจากรถแล้วน่าจะเป็นคนใหญ่คนโตนะ พี่ไม่อยากมีปัญหา…”

ฉีเล่ยไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่ยัดเงินจำนวน200หยวนใส่มือคนขับทันที

“ฮ่าฮ่า! ไม่ต้องห่วงไอ้น้อง! เดี๋ยวพี่ขับจี้เลย!”

หลังจากคนขับรับเงินไป ทัศนคติท่าทางของเขาพลันเปลี่ยนไปทันทีราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ก่อนจะเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งไล่ตามไปติดๆ

ฉีเล่ยยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับถนนหนทางในเมืองหลวงสักเท่าไหร่ แต่เขามีความจำที่ดีเลิศ ระหว่างทางเขาจำได้หมดว่า ข้ามผ่านกี่แยก สะพานลอยกี่แห่ง แถวนั้นมีสัญญลักษณ์อะไรโดดเด่น เมื่อรถเบนซ์สีดำคันนั้นขับเข้าไปในโรงงานแถวเขตชานเมืองปักกิ่ง เขาก็สั่งให้แท็กซี่จอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป

บริษัท OC24 เมดิแค็ล อินสตรูเมนท์ จำกัด มหาชน

รถเบนซ์สีดำของหานหมิงต้าหยุดอยู่หน้าประตูโรงงานพร้อมบีบแตร่สั่ง ไม่นานประตูโรงงานบานใหญ่ก็ค่อยๆเปิดขึ้น หลังจากรถขับเข้าไปข้างในเรียบร้อย ประตูบานนั้นจึงค่อยๆเลื่อนปิดลงมาอีกครั้ง

ฉีเล่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงโรงงานจะเป็นสถานที่ส่วนบุคคลที่ห้ามคนนอกเข้าก็ตาม แต่จะมาปิดประตูโรงงานตอนกลางวันแสกๆแบบนี้เพื่ออะไร?

โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่แถบชานเมือง และยังอยูในบริเวณที่ลับตาคน ผนวกกับท่าทางลับๆล่อๆแบบนี้อีก ใครเห็นก็อดสงสัยไม่ได้กันทั้งนั้น

เขาหลบอยู่หลังกำแพงเฝ้าดักมองทุกอากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของหานหมิงต้าอยู่สักครู่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากที่ไม่ไกลนัก

“พี่สาม สรุปให้ส่งล็อตนี้ไปที่นั่นใช่ไหม?”

เป็นสุ้มเสียงของชายหนุ่มที่ดังขึ้น

“ใช่ ที่นั่นแหละ”

แต่สุ้มเสียงที่ตอบกลับของอีกคนกลับแหบแห้งอย่างยิ่ง แถมยังมีอาการไอเล็กน้อยปะปน ฉีเล่ยที่ได้ยินเพียงแค่นั้นก็สามารถวินิจฉัยได้ทันทีว่า เขาคนนี้น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับปอด เนื่องจากสูบบุหรี่เยอะ

“เฮ้ออ…ซวยอะไรแบบนี้ บอกผมทีสิว่า ที่ไม่ยอมซื้อวัตถุดิบมาผลิตใหม่เพราะเงินทุนหมดแล้ว? ถึงพยายามยัดเหยียดผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหาล็อตนี้ออกไปให้ได้?”

“หุบปาก! นี่แกอยากตายรึไงกัน? ทำหน้าที่ของแกให้ดีไปเถอะ! ทำไมคุณธรรมมันค้ำยันจิตใจแกขึ้นมารึไงกัน?”

“โถ่พี่สาม ผมแค่ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ก็เลยอยากระบายให้พี่ฟัง ผมไม่ปากโป้งเอาเรื่องแบบนี้ไปบอกใครหรอกน่า”

“เออ งั้นก็เงียบไว้เลย แล้วต่อไประวังปากให้มากกว่านี้ด้วย ไม่อย่างนั้นแกอาจถูกซ้อมจนตาย! ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า พวกระดับหัวหน้าในโรงงานในนี้ล้วนแต่เป็นเครือญาติของประธานทั้งนั้น ถ้าหลุดถึงหูพวกเขาเมื่อไหร่ เราตายกันหมดแน่!”

“เข้าใจแล้วพี่สาม ไปหาอะไรกินกันเถอะ ได้เวลาพักพอดี”

“ขอดูดบุหรี่มวนนี้ให้หมดก่อน”

ผ่านไปหนึ่งถึงสองนาที เสียงฝีเท้าก็ค่อยๆดังห่างไกลออกไป

ฉีเล่ยได้ยินทุกอย่างที่ทั้งสองคนนั้นสนทนากันอย่างชัดเจนระหว่างที่ดักฟัง นี่เป็นคำยืนยันชั้นดีแล้วว่า ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับโรงงานแห่งนี้

ฉีเล่ยสำรวจสายตามองไปโดยรอบโรงงานอันเงียบสงัด สถานที่แห่งนี้อย่างกับสวนหลังบ้าน ที่มีคนอยู่แค่ไม่กี่สิบคน มันเงียบเกินไปหากเปรียบเทียบกับโรงงานอื่นๆ

ฉีเล่ยค่อยๆกระโดด ข้ามประตูรั้วเข้าไป ขณะที่ปลายเท้าทั้งสองแตะลงบนพื้นเขาก็ถ่ายน้ำหนักออกไปให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง

จากนั้นเขาก็เดินย่องติดกำแพงเข้าไปภายในโรงงานทางด้านซ้ายมือ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset