ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 110 จับทั้งหมด

ตอนที่110 จับทั้งหมด

เส้นซีตานตะวันออกเป็นถนนสายหลักที่เชื่อมกับซีตานเวส สแควร์ เป็นย่านธุรกิจที่มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลไหลเวียนในแต่ละวัน ถนนเส้นนี้ค่อนข้างมีชีวิตชีวาอย่างมากตลอดทั้งกลางวันกลางคืน

เหอจื่อขับAudi A4ของแม่เธอมา หลังจากจอดรถในชั้นใต้ดินของห้างเสร็จสรรพ เธอก็สะพายกระเป๋าเดินขึ้นไปยังร้านแม็คโดนัลด์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณชั้นหนึ่งทันที

แม้เธอจะรู้ว่า การออกเดทกับผู้ชายครั้งแรกฝ่ายหญิงควรจะมาสายสักหน่อย ประมาณ5นาทีให้พอดูงาม ทว่าเหอจื่อกลับตื่นเต้นเกินกว่าจะรอไหว และมาเจอฉีเล่ยตรงตามเวลานัดเป๊ะ

ฉีเล่ยนั่งรออยู่ริมหน้าต่างอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นเหอจื่อเดินตรงเข้ามาหา เขาก็รีบโบกมือทักทายทันที

“อาจารย์ฉี รอนานไหมค่ะ?”

เหอจื่อส่งยิ้มหวานให้ฉีเล่ย เลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามออกมานั่งทันที

ฉีเล่ยส่ายหัวไปมา

“ผมเพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง”

หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เหอจื่อในวันนี้ตั้งใจแต่งหน้าสวยเป็นพิเศษกว่าทุกๆวัน แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยฝีมือสไตล์การแต่งหน้าของเธอ จึงออกมาดูไม่จัดจ้านจนเกินไปเท่าไหร่นัก ยังคงเน้นความเป็นธรรมชาติ ราวกับสาวน้อยบริสุทธิ์ที่เน้นเสน่ห์ของความสดใสมากกว่า เธอสวมเสื้อสเวตเตอร์สีพื้นที่คอปกค่อนข้างกว้าง ถ้าเธอเผลอก้มตัวลงแม้สักนิดเดียว ร่องอกของเธอคงจะเผยออกมาให้เห็นได้ไม่ยาก

ในท้ายที่สุดนี้ เหอจื่อก็ไม่สามารถต้านทานการรบเร้าของแม่ของเธอได้ จำต้องยอมทำข้อตกลงกับแม่ของเธอคนละครึ่งทาง

“อาจารย์ฉีสั่งอะไรทานรึยังค่ะ?”

“ยังเลย”

“งั้นสั่งกาแฟมาดื่มดีไหมค่ะ?”

“ถ้าดื่มตอนนี้จะนอนไม่หลับเอานะ ผมขอนมอุ่นๆก็แล้วกัน”

“งั้นหนูก็จะดื่มนมเหมือนกันค่ะ”

เหอจื่อยังคงส่งยิ้มหวานให้ พลางจับจ้องใบหน้าของฉีเล่ยอย่างหลงใหล

ฉีเล่ยลุกขึ้นไปที่แผนกต้อนรับเพื่อสั่งอาหาร ครู่ต่อมาเขากลับมาพร้อมถาดอาหารชุดหนึ่ง นอกจากเครื่องดื่มแล้ว เขายังสั่งไอศกรีมและมันฝรั่งทอดมาอีกด้วย

เหอจื่อหยิบแก้วนมขึ้นมาถ้วยหนึ่งพร้อมกับใช้ปากดูดนมผ่านหลอดอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากกินโน่นชิมนี่อย่างละคำสองคำแล้ว เธอก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“อาจารย์ฉี จู่ๆโทรเรียกหนูออกมาแบบนี้ มีอะไรให้รับใช้ค่ะ?”

“อืม ผมมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือหน่อยน่ะ”

“เรื่องอะไรเหรอค่ะ?”

ฉีเล่ยเหลือบตามองซ้ายแลขวาทำลับๆล่อๆ ก่อนจะย้ายไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆเหอจื่อ และเริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟังด้วยน้ำเสียงที่เบามาก

หลังจากฟังจนจบ เหอจื่อถึงกับกัดฟันแน่นด้วยความโกรธจัดและร้องออกมาด้วยความโมโห

“นี่มันเกินไปแล้ว! ยังมีเศษเดนมนุษย์ขนาดนี้อยู่อีกเหรอ? น่าจะจับพวกมันมายิงทิ้งให้หมด!”

ฉีเล่ยยักไหล่อย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไง

“น่าเสียดายที่ผมเองก็ไม่มีหลักฐานมากพอที่จะมัดตัวคนพวกนั้น”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

เหอจื่อพยักหน้าตอบทันที เธอเข้าใจแล้วว่า เพราะเหตุใดฉีเล่ยถึงได้นัดตนเองออกมาพบ

เธอหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋าและกดเบอร์ออกโทรหาใครบางคน

“ไห่หยาง ช่วยฉันหาข้อมูลของบริษัทเครื่องมือแพทย์สักแห่งได้ไหม?”

เหอจื่อคุยโทรศัพท์กับปลายสายอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากวางสายไปแล้ว เธอก็หันไปบอกกับฉีเล่ยว่า

“เรียบร้อยแล้วค่ะอาจารย์ ถ้าข้อมูลที่อาจารย์ได้มาเป็นความจริง พวกเขาน่าจะสามารถกำจัดโรงงานนั่นทิ้งได้ไม่ยาก ระหว่างนี้เองทางกรมก็จะทำการตรวจสอบความสัมพันธ์ของสองคนนั้นไปด้วย”

ฉีเล่ยเอ่ยถามว่า

“แล้วถ้าหานหมิงต้าปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาล่ะ?”

เหอจื่อหัวเราะอย่างหมดห่วง

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ถ้าเหยื่อชิ้นนี้ตกไปอยู่ในกำมือของไห่หยางแล้ว แค่กระดิกนิ้วสองสามที จะฟ้องให้กลายเป็นบุคคลล้มละลายไปเลยก็ยังได้ ไม่มีปัญหาอะไร”

ฉีเล่ยหยักหน้าตอบด้วยความพึงพอใจอย่างมาก เหตุผลที่เขาไม่กล้าเปิดเผยความจริงออกไปตั้งแต่แรก เป็นเพราะเขามีอำนาจอิทธิพลในมือไม่มากพอ

หลังจากที่ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว เหอจื่อก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าคางพร้อมสบตากับฉีเล่ย พร้อมกับส่งยิ้มหวานฉ่ำให้อีกครั้ง จนดวงตาคู่สวยนั้นหรี่เล็กจนกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

“อาจารย์ฉี เริ่มกันเถอะค่ะ ไปเดทกันได้แล้ว”

“เอ่อ…”

หลังจากขอความช่วยเหลือไปแล้ว โดยมารยาทฉีเล่ยจึงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธข้อเรียกร้องของฝ่ายตรงข้ามได้เลย ดังนั้นเขาจึงต้องเดินเคียงคู่กับไปกับเหอจื่อ เป็นเพื่อนดูหนังและช็อปปิ้งให้เธออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เมื่อกลับมาถึงบ้าน จึงพบว่าหลี่ถงซีก็ได้กลับมาถึงก่อนเขาแล้ว เธอกำลังนอนอ่านนิตยสารเล่นอยู่บนโซฟา แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยเปิดประตูบ้านเดินข้ามาที่ห้องนั่งเล่น เธอก็รีบเอ่ยขอโทษขึ้นทันที

“โทษทีนะ พอดีฉันติดประชุมกะทันหันในช่วงบ่าย ก็เลยกลับมากินอาหารเที่ยงพร้อมทุกคนไม่ได้”

เธอยังคงรู้สึกผิดที่ไม่สามารถกลับมาทานอาหารมื้อเที่ยงพร้อมกับฉีเล่ยได้

ทว่าฉีเล่ยกลับพบว่านี่เป็นบทสนทนาที่ตลกดี

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ถ้าวันหลังคุณยุ่งก็แค่โทรบอกผมก่อน ผมจะได้กลับเอง”

หลี่ถงซีส่ายหน้าไปมา

“ไม่ รับรองว่าครั้งหน้าฉันจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน”

ฉีเล่ยเอ่ยถามต่อว่า

“แล้วอาวุโสหลี่อยู่ไหน?”

“ปู่ออกไปข้างนอก”

หลี่ถงซีวางนิตยสารในมือลง

“ปู่ฝากให้ฉันมาขอบคุณนายด้วย”

ฉีเล่ยโบกมือไปมาพลางบ่นขึ้นว่า

“อะไรกัน ผมอุตส่าห์บอกแล้วนะว่าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แล้วทำไมปู่ของคุณยังปากสว่างแบบนี้?”

หลี่ถงซีกล่าวตอบ

“ยังไงก็ขอบคุณ”

กว่าหลี่ฮั่วเฉินจะกลับมาถึงบ้านก็ค่อนข้างดึกแล้ว แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าของเขากลับแดงก่ำยิ้มไม่มีหุบ ชนิดที่ไม่สามารถเก็บซ่อนความสุขบนใบหน้าลงได้เลย

ฉีเล่ยที่เห็นแบบนั้นก็พอคาดเดาได้ทันที เขายิ้มพร้อมกับร้องถามออกไปทันที

“ดูมีความสุขจังนะครับอาวุโสหลี่ มีเรื่องอะไรเหรอ?”

หลี่ฮั่วเฉินระเบิดหัวเราะลั่นและกล่าวว่า

“ฉีเล่ย เธอพูดถูก กรรมกำลังทำงานของมันเอง เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น คนพวกนั้นทำกันเป็นขบวนการ มีเครือข่ายที่กว้างขวางมาก! การจับได้ครั้งนี้นับเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์อย่างใหญ่หลวงทีเดียว!”

“จับได้หมดแล้วเหรอครับ?”

“ยังจะต้องรออะไรอีกล่ะ? ไม่เหมือนบางประเทศนะที่ปล่อยให้ผู้ร้ายหนีข้ามแดนไปก่อนถึงค่อยตามจับ!”

หลี่ฮั่วเฉินยิ้มและกล่าวต่อว่า

“ทันทีที่ตำรวจได้รับเรื่อง ก็เร่งดำเนินการบุกทลายโรงงานนรกนั่นอย่างเร่งด่วน ช่วงเย็นวันนี้พวกตำรวจสามารถเข้าควบคุมโรงงานของหานหมิงต้าได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ แถมยังมีนักข่าวจากแทบทุกสำนักแห่ตามเข้าไปด้วย ต่อมาตำรวจยังพบข้อมูลบางอย่างในคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายในห้องทำงานของหานหมิงต้าด้วย มันเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการติดสินบนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของแต่ละโรงพยาบาล ที่หานหมิงต้าแอบติดต่อด้วยอย่างลับๆ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สภาแพทย์โกรธเกรี้ยวอย่างมาก จนต้องสั่งตรวจสอบทุกโรงพยาบาลในเมืองหลวงอย่างละเอียด ทั้งหมดก็เพื่อกวาดล้างการทุจริตและคอรัปชั่นในโรงพยาบาลทั่วเมืองหลวง! สุดยอด! สุดยอดไปเลย! สุดยอดจริงๆ!”

ฉีเล่ยพยักหน้าและถามต่อว่า

“แล้วโห่วเซิงกัวล่ะครับ?”

“คิดว่าหมอนี่จะหนีรอดจากการจับกุมได้รึไง?”

หลี่ฮั่วเฉินรีบอธิบายต่ออย่างตื่นเต้นว่า

“จากรายชื่อของผู้ที่ติดสินบนทั้งหมด หมอนี่ล่ะที่มีประวัติดำมืดที่สุดแล้ว ไม่เพียงแค่รับเงินใต้โต๊ะจากหานหมิงต้ามากที่สุด แต่มันยังแอบเป็นผู้ถือหุ้นในโรงงานของอีกฝ่ายถึง20% ทันทีที่เรื่องนี้แดงขึ้นมา มันก็รีบเก็บข้าวเก็บของเตรียมบินหนีออกนอกประเทศทันที แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น เพิ่งโดนตำรวจจับกุมตัวเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนนี่เอง”

มาถึงตอนนี้ ชายชราดีใจจนแทบไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ถึงกับเต้นไปเต้นมาไม่หยุด

“นอกจากนี้แล้ว ทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลยังเรียกฉันเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวด้วย ทั้งยังบอกอีกว่า สภาพร่างกายของฉันยังแข็งแรงดี และต้องการให้ฉันกลับไปดำรงตำแหน่งประธานบริหารต่ออีกหนึ่งวาระ!”

เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ล้วนแล้วแต่อยู่ในการคาดคะเนของฉีเล่ยก่อนแล้ว ถ้าโห่วเซินกัวถูกจับในคดีที่ดำมืดขนาดนี้ ทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลย่อมต้องสั่งปลดฟ้าผ่า ส่งผลให้ทางโรงพยาบาลพันธิมตรปักกิ่งไร้ซึ่งผู้คุมบังเหียนอย่างกะทันหัน แน่นอนว่าหลี่ฮั่วเฉินจะต้องได้กลับมาขึ้นมาครองตำแหน่งดังเดิม

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอแสดงความยินดีกับอาวุโสหลี่ด้วยนะครับ”

ฉีเล่ยยิ้มกล่าว

หลี่ถงซีจ้องมองปู่ของเธอทีฉีเล่ยทีสลับไปมาอยู่อย่างนั้น ในที่สุดริมฝีปากของหญิงสาวก็ค่อยๆโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่งดงาม

หลังจากการฝังเข็มเสร็จสิ้น

บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลับปราศจากความอึดอัดอีกต่อไป ก่อนหน้านี้เธออาจมีอาการเกร็งๆอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว หลี่ถงซีสามารถจ้องมองอีกฝ่ายบรรจงฝังเข็มลงบนร่างโดยไม่รู้สึกอะไร

ขณะที่ฉีเล่ยกำลังถอนเข็มเก็บนั้น เขาก็กล่าวขึ้นว่า

“นี่เป็นการฝังเข็มครั้งสุดท้ายแล้วนะครับ”

“ครั้งสุดท้ายเหรอ?”

“ใช่ ครั้งสุดท้ายแล้ว”

หลี่ถงซีคอตกเล็กน้อย สีหน้าการแสดงออกบนใบหน้าเห็นได้ชัดว่ากำลังหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตัวเธอกลับรู้สึกหลงใหลกับมันไปเสียแล้ว

หลังจากมื้ออาหารค่ำเสร็จสิ้นลง หลี่ถงซีมักจะตั้งหน้าตั้งตารอช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นระหว่างตัวเธอเองกับฉีเล่ยอยู่ทุกวัน

แม้ว่าโดยส่วนใหญ่ ทั้งคู่จะไม่ค่อยพูดคุยกันเท่าไหร่นัก แต่ภายในใจลึกๆของหญิงสาว เธอกลับรู้สึกราวกับถูกเติมเต็มอย่างไม่สามารถอธิบายได้

ลึกลงไปในจิตใจ หลี่ถงซีเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องความรักเลย ทั้งยังคิดอีกว่าทั้งชีวิตนี้ตัวเธอคงไม่มีความรักอีกแล้วอย่างแน่นอน

ทว่าตั้งแต่เธอได้พบเจอกับฉีเล่ย ทุกอย่างก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนไป…

ฉีเล่ยบรรจงเรียงเข็มทองหางหงส์ลงในกล่องอย่างใจเย็นพร้อมกับอธิบายไปด้วย

“ผลการฝังเข็มสำเร็จไปได้ด้วยดี เส้นลมปราณที่เชื่อมต่อกับตับตอนนี้ถูกคลายจนกลับมาทำงานได้ปกติแล้ว อันที่จริงมันควรเสร็จตั้งแต่คราวก่อนล่ะ แต่ที่มาฝังเข็มย้ำเพิ่มในวันนี้อีกก็เพื่อกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้นเท่านั้น และต่อจากนี้ ต่อให้จะฝังเข็มอีกบ่อยแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรแล้ว”

“ก็จริง คุณเป็นหมอ แล้วหน้าที่รักษาฉันก็จบลงแล้ว”

หลี่ถงซีพยักหน้าตอบเจือน้ำเสียงเศร้าสร้อย

“คุณ…อยากดื่มชาสักแก้วก่อนไปไหม?”

“ก็ดีนะ”

วันนี้ฉีเล่ยไม่ได้ปฏิเสธ เพราะวันนี้เขาสามารถช่วยเหลือหลี่ฮั่วเฉินให้กลับมาสดใสได้อีกครั้ง ดังนั้นจึงค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset