ตอนที่118 บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรขาวสะอาดบริสุทธิ์
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเดินวกไปวนมาอยู่ในห้องทำงานด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง จนในที่สุดทนไม่ไหวจึงตรงไปที่โต๊ะทำงานยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา และโทรออกหาใครบางคน
“สวัสดีครับ รัฐมนตรีหม่า ผมเสี่ยวซีเองครับ”
คนที่เขาโทรไปหาก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหม่า นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาผู้นี้น่าจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซี
“ว่าไงเสี่ยวซี มีอะไรรึเปล่า?”
สุ้มเสียงที่อยู่ปลายสายฟังดูแก่ชรา แต่ทว่ากลับฟังดูมีพลังอำนาจอย่างมาก
“ผมเรียกฉีเล่ยเข้ามาคุยแล้วครับ โดยแจ้งไปว่าเขาไม่มีคุณสมบัติในการเป็นอาจารย์ มิหนำซ้ำหมอนั่นยังหลุดปากพูดออกมาเองด้วยว่า แม้แต่มหาวิทยาลัยเขายังไม่เคยเข้าเรียนด้วยซ้ำ ตามกฎแล้วผมจึงมีสิทธิ์ขับไล่เขาออกจากมหาวิทยาลัยได้ทันทีใช่ไหมครับ?”
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีรีบเร่งรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด
น้ำเสียงของรัฐมนตรีหม่าแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นความขุ่นเคืองอย่างยิ่ง และพูดสนับสนุนขึ้นทันที
“ถูกต้อง! เธอทำได้ดีมาก หมอนี่ไม่แม้แต่จะเคยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แล้วจะมาเป็นอาจารย์ได้ยังไง? นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว! ใครกันที่กล้าเชิญมาเป็นอาจารย์สอนคณะแพทย์? คนพวกนี้มันเห็นแก่ได้โดยไม่สนเลยรึไงว่า ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยจะเป็นยังไง? นักศึกษาแพทย์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นต้นกล้าที่จะเติบโตเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคต แล้วจะปล่อยให้มิจฉาชีพเข้ามาสวมรอยเป็นอาจารย์แบบนี้ได้ยังไงกัน?”
“ครับ นี่เป็นความผิดของผมเอง ผมผิดเองครับที่ไม่ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างเข้มงวดก่อน”
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีรีบกล่าวโทษบุคคลอื่นต่อทันที
“ทั้งหมดเป็นเพราะหัวหน้าคณะ…ไม่สิ! อธิการบดีหลินพาเข้ามาฝากเป็นการส่วนตัว คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าผมจะปฏิเสธออกไปโดยซึ่งหน้า”
“หลินหมิงจางเป็นคนพาเข้ามาฝากเป็นการส่วนตัวเหรอ? เรื่องนี้หมอนั่นได้ปรึกษากับเธอล่วงหน้าหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ เขาเดินทางมาพบผมในวันเริ่มงานเลย”
“อืม ฉันเข้าใจ”
ชายชรากล่าวตอบ
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเอ่ยถามต่อด้วยความกังวลว่า
“แล้วถ้าอธิการบดีหลินออกหน้าแทนเขา…”
รีฐมนตรีหม่ากล่าวตอบทันที
“อย่าไปสนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น มหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งจะต้องไม่มีอาจารย์ขยะแบบนี้อีก!”
“ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ”
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากวางสายไป หม่ารุยซึ่งตอนนี้ทั่วทั้งใบหน้าถูกพันด้วยผ้าก๊อซจนหนา เดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวสำนักงานรัฐมนตรีและเอ่ยถามขึ้นว่า
“คุณปู่ คุยกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเหรอครับ?”
“อืม ฉีเล่ยถูกไล่ออกแล้ว”
ชายชราผู้มีผมสีขาวโพลนนี้ มีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา แม้จะจะอยู่กับหลานชายเพียงลำพังสองต่อสอง แต่ใบหน้าของเขายังคงเคร่งเครียด ไม่แม้แต่จะคลี่ยิ้มให้
หม่ารุ่ยมีความสุขอย่างยิ่งจนอยากจะระเบิดหัวเราะออกมาดังๆสักชุดใหญ่ แต่ด้วยความเจ็บปวดบริเวณบาดแผลทั่วทั้งใบหน้ากลับทำให้เขาต้องคุมจังหวะการหายใจแทน ไม่อย่างนั้นบาดแผลอาจจะเกิดการฉีดขาดได้
รัฐมนตรีหม่าเหลือบมองไปทางหลายชายของตัวเองและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า
“หวังว่าต่อไปในอนาคตข้างหน้า แกจะไม่สร้างปัญหาให้ฉันอีกแล้วนะ ฉันเบื่อที่จะต้องมาตามล้างตามเช็ดให้แกตลอดแบบนี้”
“คุณปู่ ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำไปมันผิด แต่ครั้งนี้ผมเป็นเหยื่อนะครับ ดูสิ! ผมโดนทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ปู่คงจะไม่ใจร้ายใจดำโทษว่าผมสร้างปัญหาใช่ไหมครับ?”
หม่ารุยชี้ไปที่ใบหน้าที่พังยับเยิบของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถามต่ออย่างสงสัยว่า
“ฉีเล่ยจัดการได้ไม่ยาก แต่ลูกศิษย์สาวของเขาล่ะ? เราจะจัดการเธอยังไง?”
เมื่อนึกถึงสาวน้อยคนนั้น หม่ารุยก็ถึงกับเสียวสันหลังวาบ ผู้คนมักพูดกันว่า บุคคลที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยที่สุดก็คือพวกคนมีสีซึ่งรวมถึงทหารด้วย แม้ว่ากองทัพกับกระทรวงการศึกษาจะแยกเป็นอิสระต่อกัน แต่ใช่ว่าอิทธิพลบางส่วนจะไม่สามารถแทรกซึมเข้าหาซึ่งกันและกันได้ อีกทั้งภูมิหลังครอบครัวของสาวน้อยคนนั้น ก็มีหัวหน้าครอบครัวเป็นถึงหัวเรือใหญ่ในกรมทหาร ยิ่งไปกว่านั้น ดูท่าครอบครัวนี้จะเป็นพวกหัวร้อนกันทั้งครอบครัวด้วย
รัฐมนตรีหม่าโบกมือไปมาและกล่าวว่า
“พวกกองทัพไม่มีสิทธิ์อะไรมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของกระทรวงศึกษาอยู่แล้ว อีกอย่างเราดำเนินการทุกอย่างตามกรอบข้อระเบียบอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา มีหลักฐานทุกอย่างแน่ชัด อาจารย์ที่ชื่อว่าฉีเล่ยนั่น ก็ไม่แม้แต่จะเคยเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยซ้ำ ถ้ายังปล่อยให้หมอนั่นสอนต่อไป นี่มันจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกเกินไปหน่อยเหรอ? แกควรไปพักรักษาตัวซะ ฉันรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”
มุมปากของหม่ารุยกระตุกขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตัวเขายังคงมีความกังวลใจอยู่ แต่เนื่องจากกลัวว่าคำพูดจุกจิกจุ้นจานของตนเอง จะไปสร้างความรำคาญใจให้กับปู่มากจนเกินไป จึงได้แต่ต้องหุบปากเงียบ
………….
หลินหมิงจางเฝ้าสังเกตท่าทางของเหอจื่ออยู่สักพักใหญ่ เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยคนนี้ดูเป็นกังวลอย่างมาก ท่าทางฉีเล่ยจะมีพรสวรรค์ด้านการสอนที่โดดเด่นอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้รับความรัก และความเคารพจากนักศึกษาแพทย์มามายขนาดนี้ภายในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน
แต่เขากลับไม่รู้เลยว่า‘ความรัก’ที่เหอจื่อมีต่อฉีเล่ยนั้น‘มาก’เกินกว่าคำว่าอาจารย์ไปแล้ว
“สาวน้อย เธอไม่ต้องห่วงไป เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราต้องดำเนินการอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด…ฉันรู้แล้วว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ อีกฝ่ายคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้อีกฐานะหนึ่งของเขายังเป็นอดีตอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ช่วงเย็นวันนี้ ฉันว่าจะแวะไปเยี่ยมอดีตอธิการบดีที่บ้านสักหน่อย เผื่อว่าจะสามารถเจรจาอะไรกันได้บ้าง”
หลินหมิงจางดูคล้ายกำลังพูดเพื่อปลอบโยนเหอจื่อมากกว่า แต่ความจริงแล้วเขากำลังปลอบโยนฉีเล่ยทางอ้อมด้วย
“อดีตอธิการบดีที่ว่านี่แซ่อะไรครับ?”
จู่ๆฉีเล่ยก็เอ่ยถามขึ้นทันที
“แซ่หม่า”
หลินหมิงจางกล่าวต่อว่า
“เขาเข้ามารับตำแหน่งก่อนหลี่ฮั่วเฉิน สมัยที่เขายังเป็นอธิการบดีที่นี่ ตาเฒ่าหลี่ก็เป็นรองอธิการบดีนี่แหละ หลังจากนั้นไม่นานอดีตอธิการบดีหม่าก็ถูกเสนอชื่อให้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา จากนั้นเขาจึงได้มอบตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยให้ตาเฒ่าหลี่สานต่อดูแล ซึ่งตั้งแต่อดีตอธิการบดีหม่าได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา เขาก็ได้สร้างประโยชน์มากมายให้แก่ระบบการศึกษาของประเทศ ไล่กำจัดพวกคอร์รัปชั่นอยู่เรื่อยๆ ถ้าฉันมีโอกาสอธิบายให้เขาฟังว่า เธอมีทักษะการแพทย์ที่น่าทึ่งเพียงใด อย่างน้อยเขาก็น่าจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง”
ฉีเล่ยขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า
“รัฐมนตรีหม่ามีหลานชายชื่อหม่ารุยใช่ไหมครับ?”
ในเมื่อรัฐมนตรีหม่าไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องเชื่อมโยงกับบุคคลอื่นอย่างแน่นอน และเป็นเพราะเขาทำให้คนสกุลหม่าต้องขุ่นเคือง จึงไม่น่าแปลกที่รัฐมนตรีหม่าจะออกโรงปกป้องเป็นการส่วนตัวแบบนี้
เรื่องทั้งหมดมีต้นเหตุมาจากหลินชูวโม่ ทำให้เขากับหม่ารุ่ยเคยปะทะกันทั้งหมดสองครั้ง
ซึ่งในครั้งที่สองเกิดขึ้นในKTV แต่เนื่องจากมีเหอจื่อเข้ามาพัวพัน หม่ารุ่ยจึงถูกกระทืบเละจนใบหน้าบวมเป่งเป็นหัวหมู
จากการปะทะทั้งสองครั้งดังกล่าว ทำให้ฉีเล่ยสามารถพูดได้ว่า หม่ารุยคนนี้ต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดา และไม่ยอมเลิกตามระรานสร้างปัญหาให้เขาแค่นี้แน่นอน
ในอีกด้าน หลินหมิงจางถึงกับอุทานขึ้นทันทีที่ได้ยินฉีเล่ยเอ่ยถามไปแบบนั้น
“เธอรู้จักหม่ารุ่ยด้วยเหรอ?”
ฉีเล่ยพยักหน้า
“ไม่เพียงแค่รู้จักครับ แต่ยังเคยมีเรื่องขัดแย้งกันอีกด้วย”
เหอจื่อรู้ได้ทันทีว่าอาจารย์ฉีกำลังหมายถึงใคร เธอจึงรีบพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจทันที
“ต้องหมายถึงไอ้คนที่เข้ามาหาเรื่องในKTVแน่ๆ! ตอนที่ซูจงลากคอมันเข้ากรม ได้ข่าวว่ามันเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ยกมือไหว้วิงวอนร้องขอความเมตตา ไอ้คนขี้ขลาดแบบนั้น เก่งแต่เล่นงานลับหลังจริงๆ!”
หลินหมิงจางรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง จึงเอ่ยถามไปตามตรงว่า
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเธอสามคนไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน?”
ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นให้ฟังทันทีว่า เพราะหม่ารุยเข้าใจผิดในตอนที่เขาพาหลินชูวโม่ไปส่ง จนพาลไปหาเรื่องต่อในKTV และสั่งให้คนบุกเข้าไปดักล้อมถึงหน้าประตูห้องคาราโอเกะ แต่สุดท้ายเรื่องทุกอย่างก็จบลงโดยที่เหอจื่ออาศัยบารมีของครอบครัวช่วย ฉีเล่ยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลินหมิงจางฟังอย่างละเอียด
เมื่อได้ยินฉีเล่ยพูดถึงหลินชูวโม่ เหอจื่อก็ปั้นหน้าบึ้งบูดอย่างหนักราวกับต้องการจะฆ่าใครสักคน เห็นได้ชัดว่า ตัวเธอเองก็รู้จักบุคลิกนิสัยของอาจารย์หลินคนนี้เป็นอย่างดี และไม่พอใจอย่างมากที่อีกฝ่ายเข้ามาสนิทชิดเชื้อกับฉีเล่ย
หลังจากได้ฟังเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด หลินหมิงจางก็ถึงกับนวดขมับและกล่าวว่า
“เฮ้ออ…เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันเองก็เคยได้ยินมาว่า หลานชายของอดีตอธิการบดีหม่าถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเป็นการด่วน เพราะถูกรุมทำร้ายอย่างหนัก แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เรื่องทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับพวกเธอแบบนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงยากเกินกว่าจะแก้ปมปัญหาจริงๆ”
ฉีเล่ยยักไหล่ให้อย่างไม่แยแส
“อธิการบดีหลิน ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ว่าในอนาคตผมจะได้สอนที่นี่ต่อไปหรือไม่ แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วที่อธิการบดีหลินพยายามช่วยถึงขนาดนี้”
ครั้งแรกที่เขาตัดสินใจมาทำงานเมืองหลวงนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะคำพูดของหลี่ฮั่วเฉินทั้งสิ้น ส่งผลให้ฉีเล่ยจินตนาการไปไกลว่า มหาวิทยาลัยนี่แหละคือหอคอยงาช้างอย่างแท้จริง เป็นสถานที่แห่งโอกาส และคงไม่เหมือนกับโรงพยาบาลในหนานเจียง ซึ่งเต็มไปด้วยอำนาจอิทธิพลและแผนการดำเนินงานที่แสนซับซ้อน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิด บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรขาวสะอาดบริสุทธิ์ มีเพียงสีดำที่มากหรือน้อยเท่านั้นเอง
ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เขาเองก็ขอยอมแพ้เช่นกัน อาศัยทักษะการแพทย์ของตัวเองที่มี สู้ไปเปิดคลินิกแพทย์แผนจีนรักษาคนดีไม่ดีกว่าหรือยังไง? จะไปต่อสู้กับคนอื่นเพื่ออะไรกัน?