ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 120 อุทิศร่างกาย

ตอนที่120 อุทิศร่างกาย

หลังจากที่มู่เซียวหยานได้ยินเรื่องทั้งหมดก็ถึงกับโกรธจัด เธอร้องตะโกนเสียงดังลั่นจากปลายสายขึ้นว่า

“ไอ้พวกสารเลว! มันล้ำเส้นกันเกินไปแล้ว! ล้ำเส้นเกินไปมาก! ในชีวิตของฉันมีแต่รังแกคนอื่นเป็นของเล่น แต่นี่กลับกลายว่ากำลังเป็นฝ่ายถูกรังแกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! ครอบครัวของ‘หัวหน้าคณะอาจารย์’กับ’ไอ้อดีตอธิการบดี’มันอยู่ที่ไหน? ฉันจะให้ทหารไปลากพวกมันมาขอขมาต่อหน้าลูกเขยของฉัน!”

เหอจื่อรู้สึกขบขันเล็กน้อยเมื่อได้ยิน

“จะเล่นแบบนี้จริงสิ?”

“อยู่แล้ว! แต่ฉันไม่เปลืองมือลงไปเองหรอกนะ ฉันจะจ้างผู้หญิงสักร้อยคนไปยืนรุมด่าพวกมันให้หัวเปียกกันหมดไปเลย!”

“มู่เซียวหยาน วิธีนี้ดูจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ ทำไมถึงไม่ลองโทรหาเพื่อนดูล่ะ? ตอนนั้นเธอก็เคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่า เพื่อนๆของเธอค่อนข้างจะมีอำนาจอย่างมากในเมืองหลวง แสดงว่าต้องมีเส้นสายอยู่ไม่น้อย คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ที่จะแก้ปัญหาพวกนี้จริงไหม?”

“เหอะ มันก็ไม่ได้ว่าง่ายขนาดนั้นหรอกนะ บางคนย้ายไปอยู่หวางฟูจิง บ้างก็ไปอยู่ถงโจว เหลือแค่ฉันกับแกนี่แหละที่อยู่ปักกิ่ง…”

เหอจื่อได้ยินแบบนั้นก็เอ่ยเสียงแผ่วขึ้นว่า

“ไม่เป็นไร ถ้ามันคับขันจริงๆก็ลองโทรไปดู”

“ได้เลยค่ะคุณลูกสาว เดี๋ยวจะลองโทรหาให้!”

“รีบไปจัดการเถอะ ถ้าอาจารย์ฉีโดนไล่ออกไปจริงๆ ฉันจะไปที่ดาดฟ้าตึกเรียนแล้วกระโดดลงมา”

“โอ้? เป็นแผนที่ไม่เลวนะ แกลองไปตึกที่สูงที่สุดของมหาวิทยาลัยดู ยืนตรงปลายกำแพงก่อนกระโดดอย่าลืมตะโกนขู่ด้วยล่ะ หลังจากแกกระโดดลงมา คงมีนักข่าวไม่น้อยที่จะพากันแห่มาถ่ายรูป ถึงตอนนั้นเรื่องทุกอย่างก็จบ ก็ดีนะ เดี๋ยวฉันดูแลลูกเขยต่อจากแกเอง”

“มู่เซียวหยาน! นี่เธอเป็นแม่ของฉันจริงๆใช่ไหมห๊ะ!? นี่จะให้ฉันกระโดดลงมาจากตึกจริงๆเหรอ? มีแม่ที่ไหนบนโลกที่คิดแบบนี้กัน?”

“แกเป็นคนฉลาดนะ เรื่องแค่นี้คงคิดได้”

……

ฉีเล่ยเดินออกจากประตูมหาวิทยาลัยไป ยืนรอสักครู่หนึ่งก็เห็นแท็กซี่ขับผ่านทางมาพอดี เขาจึงรีบยกมือขึ้นโบกเรียกโดยเร็ว

แต่เมื่อรถจอดเทียบข้าง คนขับก็เปิดกระจกโผล่หัวออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นฉีเล่ยก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นทันใด

“อ้าว? คุณเองเหรอ?”

“รู้จักผมด้วยเหรอครับ…”

ฉีเล่ยไม่เข้าใจแม้แต่น้อย พี่คนขับคนนี้รู้จักเขา?

พี่คนขับคนนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับกวักมือเรียกให้อีกฝ่ายขึ้นรถ

“มาน้อง ขึ้นมาก่อน”

ฉีเล่ยเปิดประตูเดินขึ้นรถไป ทันทีที่นั่งก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“คุณรู้จักผมด้วยเหรอครับ?”

พี่คนขับตอบกลับไปว่า

“ใช่ ครั้งล่าสุดที่น้องมากับแฟนสาวไง เล่นเอาเกือบเฉี่ยวรถคันอื่น น้องลืมไปแล้วเหรอ?”

“ผมจำไม่ได้ครับ…”

“จำพี่ได้ก็แปลก พี่มันคนขับรถธรรมดาทั่วไป แต่พี่จำน้องได้แม่น ทั้งสูงทั้งหล่อ อย่างกับเทพบุตรในชุดสูทน้ำเงิน แถมยังมี…แฟนสาวสุดเซ็กซี่คนนั้นอีก ฮ่าฮ่า…”

ฉีเล่ยที่ได้ฟังแบบนั้นก็จำได้ทันที

ชายคนนี้เคยขับไปส่งเขากับหลินชูวโม่ที่คลินิกชูวโม่เมื่อไม่นานมานี้เอง แล้วก็เป็นเพราะหลินชูวโม่เช่นกันที่เย้ายวนเขาไม่หยุดหย่อน จนเกือบทำให้พี่คนขับเกือบเฉี่ยวชนรถคนอื่นเข้า

ฉีเล่ยยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า

“เธอไม่ใช่แฟนผมครับ”

“เอาน่า มันไม่มีอะไรน่าอายหรอก ตอนที่ฉันยังหนุ่มยังแน่นก็เหมือนกับน้องนั่นแหละ บอกเพื่อนคนอื่นไปว่าแค่เพื่อนไม่ใช่แฟน แต่ยังไงก็เถอะ ก่อนจะแต่งงานน้องต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นเตรียมเป็นทาสเมียไปชั่วชีวิต!”

ดูท่าพี่คนขับคนนี้จะเป็นพวกช่างพูด ตลอดทางบนท้องถนนเขาพูดกับฉีเล่ยไม่หยุดปาก จวบจนกระทั่งตอนจ่ายเงินและเดินลงจากรถ

เมื่อเดินลงมา ฉีเล่ยก็ตรงเข้าไปในคลินิคชูวโม่ทันที พลังงานสาวคนหนึ่งในเครื่องแบบรีบเข้าทักทาย และกล่าวกับฉีเล่ยอย่างสุภาพว่า

“คุณฉีคะ บอสหลินกำลังรออยู่ที่ชั้นสองค่ะ”

“ชั้นสองงั้นเหรอ?”

ฉีเล่ยรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น ชั้นสองเป็นสถานที่นัดรวมตัวของกลุ่มนางฟ้าสาว ครั้งล่าสุดก็ได้ขึ้นไปเขายังจำได้ฝังใจ พวกเธอแต่ละคนต่างพูดจาหว่านล้อมต่างๆนานา ราวกับอยากจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งเป็น สิ่งนี้ยังเป็นความทรงจำอันแสนระทึกใจไม่จางหายสำหรับเขา

“เอ่อ…บอกเธอไปคุยชั้นสามได้ไหมครับ?”

“บอสหลินบอกว่า เธอกำลังรอคุณอยู่ที่ชั้นสองค่ะ ดูเหมือนว่าเธอต้องการคุยกับคุณเกี่ยวกับอาการของคุณเซียวเซียว”

“เข้าใจแล้วครับ”

ฉีเล่ยพยักหน้า

คล้อยหลังจบบทสนทนากับพนักงานต้อนรับ ฉีเล่ยก็ได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจ เขาให้ยาผงคางคกเย็นรักษาบาดแผลบริเวณต้นขากับเซียวเซียวไปแล้วไม่ใช่เหรอ? และมันน่าจะใช้ได้ผล แล้วยังต้องคุยอะไรกันอีก?

ทำไมจู่ๆก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกเลยแหะ?

ฉีเล่ยเดินขึ้นไปที่บริเวณชั้นสองพลางครุ่นคิดกับตัวเองอย่างเงียบๆ แต่ทันทีที่มาถึงก็ได้ยินเสียงหัวเราะลั่นของเหล่าสาวๆดังออกมาจากด้านใน

พนักงานต้อนรับที่คอยเฝ้าอยู่หน้าบันได ทันทีที่เห็นฉีเล่ยเดินขึ้นมา ก็รีบตรงเข้าไปหาและผายมือเชื้อเชิญทันที

“คุณฉี เชิญทางนี้ค่ะ”

เจ้าของเสียงหัวเราะเหล่านั้นหันไปเห็นฉีเล่ยพอดี เธอเอ่ยปากแซวขึ้นอย่างรวดเร็วว่า

“โอ้โห? พ่อหนุ่มน้อยของพี่หลินมาแล้วพวกเรา!”

“สุดหล่อเข้ามาเร็วเข้า! กลัวจะถูกพวกเรารุมกินรึไง?”

“ใช่แล้ว พวกเราไม่ใช่เสือนะ แต่เป็นแมวน้อยต่างหาก มานี่สิ…มานั่งข้างพี่สาวคนนี้หน่อย”

“….”

ฉีเล่ยยืนตัวแข็งทื่ออย่างกับเสาหิน ก่อนจะเอ่ยทักทายทุกคนเสียงเนิบ

“สวัสดีครับ”

ผู้หญิงทุกคนต่างก็สวยมากขนาดนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ต้องรู้ประหม่ากันทั้งนั้นล่ะ ยิ่งเห็นว่าฉีเล่ยมาพวกเธอก็ยิ่งกรี๊ดกร๊าด พร้อมกับเอ่ยปากแซวไม่หยุดไม่หย่อน

“หื้ม? เพิ่งสังเกตเห็นนะเนี่ย ไม่ได้เจอหน้าสุดหล่อแค่ไม่กี่วัน แต่ทำไมถึงได้หล่อขึ้นมากขนาดนี้นะ?”

“นั่นสิ ว่าไงล่ะสุดหล่อ…อยากลองกอดพวกเราบนเตียงหน่อยไหม? พวกพี่สาวตัวอุ่นนะจะบอกให้!”

หลินชูวโม่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ลุกขึ้นพรวดขึ้นมาจากโซฟามุมหนึ่ง เธอแสยะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นทันที

“พวกเธอนี่มันจริงๆเชียว! ถ้าขืนยังพูดจาแบบนี้อีก ฉันจะพาเขาขึ้นไปคุยชั้นสามแล้วนะ!”

“โถ่ว! พี่หลินบอกเราเองว่าให้ร้ายกับเขา แต่สุดท้ายพี่กลับจะเก็บเขาไว้กินเองใช่ไหมล่ะ? หยุดเลยนะ อย่าเอาสุดหล่อของพวกเราไปไหนเด็ดขาด!”

ฉีเล่ยมาที่นี่เพื่อต้องการที่จะรีบคุยแล้วก็รีบกลับ เขาไม่อยากเข้ามาเหยียบที่นี่แม้แต่วินาทีเดียวด้วยซ้ำ

หลินชูวโม่เดินเข้าไปหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ตรงเข้ามากุมมือของฉีเล่ยและพูดขึ้นว่า

“มานี่ นั่งลงก่อนสิ เซียวเซียวคนสวยของเราอยากจะขอบคุณนายมากที่ช่วย แล้วนี่…นายอยากจะได้อะไรเป็นของขวัญตอบแทนล่ะ? ร่างกายของเธอดีไหม?”

“อืม ใครก็ได้มาเถอะ”

ในเมื่อมาไม้นี้ เขาเองก็ต้องตามน้ำไปเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะตอบอะไรไป เขาก็ต้องโดนแซวอยู่ดี

พวกสาวๆถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

“เซียวเซียว สงสัยเธอคงต้องอุทิศตัวให้เขาแล้วล่ะ สุดหล่อเขาตอบตกลงแล้ว”

“ใช่ ใช่! เขาท้าทายซะขนาดนี้ ฮิฮิ…น่ารักจัง พี่หลินถ้าวันไหนเบื่อแล้วให้หนูยืมกลับไปเล่นบ้างนะ”

เซียวเซียวรีบยืนขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ พร้อมกับโค้งคำนับให้ฉีเล่ยด้วยความซาบซึ้งใจ วันนี้เธอสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินคอกว้าง เมื่อโค้งคำนับลงตรงหน้าฉีเล่ย จึงทำให้เขาเห็นสิ่งทัศนียภาพที่สะดุดตาอย่างยิ่ง

หลังจากที่เซียวเซียวเงยหน้าขึ้น เธอก็รีบร้องบอกฉีเล่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจว่า

“คุณฉีคะ ฉันอยากจะขอบคุณจริงๆค่ะ! ทักษะทางการแพทย์ของคุณน่าทึ่งมากจริงๆ รอยแผลบริเวณขาอ่อนของฉันหายเป็นปลิดทิ้งเลย! ไม่มีแม้แต่ร่องรอยด่างดำใดๆ!”

เธอไม่เคยเห็นยาผงวิเศษแบบนี้มาก่อน พอได้ใช้จริงในหัวของเธอมีแต่คำว่าเหลือเชื่อและเหลื่อเชื่อ

ฉีเล่ยไม่เพียงแต่ช่วยลบรอยแผลบริเวณขาอ่อนของเธอเท่านั้น แต่ยังช่วยขจัดภัยร้ายอันดำมืดที่หลบซ่อนอยู่ในเส้นทางอาชีพของเซียวเซียวอีกด้วย เพราะรอยแผลนี้ ทำให้เธอต้องจำใจวางแผนไว้ว่าจะวางมือจากวงการนี้ไปแล้วจริงๆ

ฉีเล่ยโบกมือปฏิเสธและกล่าวตอบไปว่า

“คุณมีความสุขผมก็ดีใจด้วยครับ”

ฉีเล่ยเหลือบมองบริเวณต้นของอีกฝ่ายเล็กน้อย และได้พบว่ารอยแผลก่อนหน้านี้กลับหายดีแล้วจริงๆ ผิวพรรณของเธอกลับมาเรียบเนียมเปล่งปลั่งอีกครั้งราวกับได้รับการต่อชีวิตในเส้นทางสายนี้ เซียวเซียวยิ้มตอบอย่างมีความสุข

“ใช่ค่ะ ทุกอย่างหายสนิท ฉันไม่รู้ว่าจะขอบคุณคุณฉียังไงดี…”

“ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยก็ดีแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ วันนี้ค่อนข้างยุ่งมาก”

ทันทีที่พูดจบ ฉีเล่ยก็หมุนตัวเตรียมเดินออกไปทันที แต่เซียวเซียวรีบวิ่งตามเขาไปพร้อมกับร้องตะโกนไล่หลังด้วยสีหน้าร้อนใจว่า

“คุณฉีคะ! อย่าเพิ่งไปสิคะ! ฉันยังไม่ได้โชว์เรือนร่าง…ไม่ค่ะ..ไม่…ฉันหมายถึง…ยังไม่ได้ชวนคุณไปดินเนอร์ด้วยกันเลย”

เนื่องจากเซียวเซียวตื่นตระหนกอย่างมากที่จู่ๆฉีเล่ยก็เดินดุ่มๆออกไปแบบนั้น เธอก็เลยพูดไม่ทันและเผลอหลุดปากพูดเรื่องน่าอายอะไรแบบนั้นออกไป ทำให้ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม

พวกสาวๆที่เหลือต่างก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset