ตอนที่123 แย่งชิง
ฉีเล่ยได้แต่แอบช็อคกับภาพที่เห็น และได้แต่คิดอยู่ในใจเงียบๆว่า นับจากนี้ไปเขาคงจะต้องค่อยๆถอยห่างออกจากสาวๆกลุ่มนี้เสียที เพราะหากวันไหนเขาเกิดทำให้พวกเธอไม่พอใจเข้า เขาคงจะถูกหญิงสาวกลุ่มนี้รุมด่าจนตายแน่ๆ
“นังผู้หญิงบ้า! แต่ละคนปากร้ายยิ่งกว่าแม่ค้าปากตลาดซะอีก!”
หลังจากที่ถูกด่าจนแทบร้องไห้ หวังจื่อเล่ยก็ได้อาศัยจังหวะที่สาวๆคอแห้ง ต่างคนต่างก็หันไปคว้าน้ำชาดื่มกลั้วคอ พ่นคำด่าใส่พวกเธอรัวๆ
หลินชูวโม่ลุกขึ้นยืนยิ้มอย่างมีเสน่ห์พร้อมกับเดินไปหาหวังจื่อเว่ย และร้องถามกลับไปว่า “ว่าแต่.. ยังยินดีที่จะจ่ายแก้วละหนึ่งหมื่นหยวนอยู่ไหมคะ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว คุณอยากจะรับงานแทนงั้นเหรอ?”
หวังจื่อเว่ยคิดไม่ถึงว่าจะมีหญิงสาวคนอื่นเข้ามารับงานนี้แทน และดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว หญิงสาวคนนี้ออกจะสะสวยกว่าถงเซียวเซียวด้วยซ้ำไป เขาจึงตอบตกลงทันที
เหตุผลที่หวังจื่อเว่ยพูดจารุนแรงออกไปเช่นนั้น ก็เพราะโมโหที่ถูกถงเซียวเซียวปฏิเสธ และที่สำคัญเขาจะต้องเสียหน้าต่อหน้าลูกค้าเป็นอย่างมากอีกด้วย
แต่ในเมื่อไม่ได้ถงเซียวเซียวไป อย่างน้อยได้เพื่อนของเธอไปร่วมดื่มแทนด้วยแบบนี้ ก็พอที่จะกู้หน้าตนเองได้บ้าง
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้อยากจะรับงานแทน!” หลินชูวโม่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีเสน่ห์
“นี่แกจงใจกวนอารมณ์ฉันเหรอ?” หวังจื่อเว่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“จะว่าแบบนั้นก็ได้นะ แต่จริงๆแล้วที่ฉันเดินออกมาตรงนี้ก็เพราะว่า อยากจะตบหน้าแกต่างหาก!”
หลินชูวโม่ตอบโต้พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะท้าทายหวังจื่อเว่ยต่อทันที “ฉันมาท้าแกตบกันตัวต่อตัว แต่ระวังตัวให้ดีล่ะ ถ้าเผลอเมื่อไหร่แกจะถูกฉันตบหน้าทันที!”
ฉีเล่ยที่ยืนมองอยู่ถึงกับต้องยกมือปาดเหงื่อที่ไหลออกมาเต็มหน้าผาก และได้แต่คิดในใจว่า ผู้หญิงคนนี้คิดจะมาไม้ไหนกันแน่? อยากจะทำอะไรก็รีบๆทำซะทีเถอะ!
หวังจื่อเว่ยเองก็กำลังโมโหสุดขีดที่ถูกหลินชูวโม่ยั่วโมโหซึ่งหน้าแบบนี้ เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก และไม่รู้ว่าจะตอบโต้อะไรกลับไป
“เอาล่ะ ในเมื่อแกนิ่งเงียบ ฉันก็จะถือว่าแกยอมรับคำท้าของฉันแล้ว”
หลินชูวโม่ร้องบอกพร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมาเมื่อเห็นหวังจื่อเว่ยยังคงยืนนิ่ง จากนั้น เธอก็ตวัดฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าของชายหนุ่มถึงสองฉาดใหญ่ๆ หวังจื่อเว่ยได้แต่ตกตะลึง และรู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างของตนเองร้อนผ่าวขึ้นในทันที
“เอาล่ะ แกแพ้แล้ว เชิญออกไปได้ ฉันจะกินข้าวกับเพื่อนๆต่อ หรืออยากจะโดนอีก?”
ระหว่างที่ถามออกไปนั้น ดวงตากลมโตใสซื่อของหลินชูวโม่ ก็จ้องมองหวังจื่อด้วยสายตาปกติที่ดูไม่เป็นภัยอันตรายเลยแม้แต่น้อย
หวังจื่อเว่ยได้แต่พยักหน้า ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องอย่างว่าง่าย
ปัง!
หลังจากที่หวังจื่อเว่ยเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูเสียงดังปัง กลุ่มสาวๆต่างก็พากันหันไปมองหลินชูวโม่ด้วยสีหน้าตกอกตกใจอย่างมาก
“พี่หลิน นี่พี่ทำได้ยังไง?”
“นั่นสิคะ? นี่พี่ใช้เวทย์มนต์คาถามอะไรรึเปล่า? ทำไมหมอนั่งถูกตบหน้าตั้งสองครั้ง แต่กลับไม่โวยวาย มิหนำซ้ำยังยอมเดินออกไปง่ายๆแบบนั้นด้วย?”
“จริงด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมฉันรู้สึกเหมือนหมอนั่นคล้ายคนไม่มีสติไปเลย?”
หลินชูวโม่เดินเข้าไปนั่งข้างฉีเล่ยด้วยความเขินอาย ก่อนจะกระซิบเสียงเบาว่า “เวทย์มนต์คาถาอะไรกัน? ถ้าฉันมีเวทย์มนต์คาถามจริงๆ ฉันคงเสกให้เขาหลงรักฉันไปแล้วล่ะ แต่นี่อะไร ฉันพยายามตามตื๊อเขาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ใจอ่อนสักที หรือว่าเพราะฉันไม่มีอะไรน่าดึงดูด?”
คำพูดก่อนหน้าดูเหมือนจะตอบสาวๆในกลุ่ม แต่คำพูดประโยคสุดท้ายดูเหมือนจะจงพูดกับฉีเล่ย
“โอ๊ย! คำพูดคำจาเลี่ยนชะมัด อยากจะอ้วก!”
หญิงสาวผมแดงที่ชื่อเสี่ยวเจียวทำสีหน้าท่าทางคล้ายคนอยากจะอาเจียน แต่หลินชูวโม่กลับไม่สนใจ เธอหันไปถามฉีเล่ยต่อว่า “น้องชาย บอกมาทีสิว่าพี่สาวคนนี้ไม่มีอะไรน่าดึงดูดเลยงั้นเหรอ?”
“ก็งั้นๆ” ฉีเล่ยตอบกลับสั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
“งั้นเหรอ? แล้วทำไมเธอต้องทำสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้นด้วยล่ะ?”
หลินชู่วโม่ร้องถามพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน ยิ่งเห็นสีหน้าท่าทางเก้อเขินกระอักกระอ่วนของฉีเล่ย สาวๆในห้องต่างก็พากันหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
หวังจื่อเว่ยซึ่งเวลานี้ยืนอยู่หน้าห้อง หลังจากฟื้นคืนสติเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ดังออกมาจากในห้องส่วนตัว แต่ก็ได้แต่ยืนงุนงงอยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่เจ็บปวดทั้งสองข้างด้วยความคลั่งแค้นใจ
ตั้งแต่เขาเกิดมาจนอายุขนาดนี้ ยังไม่เคยถูกใครหยามหน้าแบบนี้มาก่อนเลย!
ความจริงเขาเองก็อยากจะกลับเข้าไปเล่นงานสาวๆกลุ่มนี้เหมือนกัน แต่เมื่อคิดว่าพวกเธอทุกคนต่างก็ดูใจกล้าไม่เกรงกลัวใครๆแบบนั้น เขาก็เลือกที่จะถอยออกมาชั่วคราวอย่างชาญฉลาด นั่นเพราะผู้หญิงกลุ่มนั้นมีกันอยู่หลายคน ในขณะที่ตัวเขาเองนั้นมีคนน้อยกว่ามาก และจะดีกว่าหากสามารถเรียกคนมาเสริมได้
หวังจื่อเว่ยเดินเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับเปิดน้ำในอ่างล้างหน้า หลังจากที่รอยฝ่ามือสีแดงค่อยๆจางลงแล้ว เขาจึงได้กลับไปที่ห้องของตัวเอง และได้รายงานเรื่องที่ถงเซียวเซียวปฏิเสธคำเชื้อเชิญของกัวหยาง อีกทั้งยังตีไข่ใส่สีให้มากขึ้น ทำให้กัวหยางถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที
แน่นอนว่า หวังจื่อเว่ยปกปิดเรื่องที่ตัวเองถูกหญิงสาวในกลุ่มรุมด่า มิหนำซ้ำยังถูกหนึ่งในนั้นตบหน้ากลับออกมาอีกด้วย เรื่องน่าอายเช่นนี้เขายังจะสามารถเล่าให้ใครฟังได้อีก!
หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว กัวหยางก็ได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถงเซียวเซียว มันจะมากไปแล้ว!”
“บอสกัวครับ ผู้หญิงยิ่งสวยก็ยิ่งเผ็ดแบบนี้ล่ะครับ” ผู้อำนวยการหลิวหันไปพูดกับกัวหยางติดตลก
กัวหยางตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก “ผู้หญิงบางคนก็โง่แล้วยังอวดฉลาด ไม่รู้จักว่าควรวางตัวยังไง!”
“ก็จริง! ผู้หญิงโง่ๆแบบนี้มีอยู่ไม่น้อย ต้องได้รับบทเรียนถึงจะยอมเชื่อฟัง” ผู้อำรวยการหลิวเอ่ยตอบพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
กัวหยางจึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าคนที่นี่มีวิธีทำให้สัตว์ดุร้ายเชื่องได้ยังไงเหรอครับผู้อำนวยการหลิว?”
“ที่ปักกิ่งนี่น่ะเหรอ? เอาล่ะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง!”
“ขอบคุณผู้อำนวยการหลิวมาก ไว้เมื่อไหร่ที่คุณไปไต้หวัน ผมจะจัดการต้อนรับคุณอย่างดีทีเดียว!”
“ไม่ต้องเกรงใจๆ”
หลังจากบอกกับกัวหยางไปแล้ว ผู้อำนวยการหลิวก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรสั่งการทันที
หลังจากที่ไม่มีใครเข้ามารบกวน หญิงสาวทั้งหมดในห้องต่างก็ดื่มกิน และพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข แม้ว่าฉีเล่ยจะดูกระอักกระอ่วนใจอยู่ท่ามกลางสวๆ แต่บรรยากาศก็ยังคงดำเนินไปด้วยความสนุกสนานรื่นเริง
แม้ว่าฉีเล่ยจะมีสีหน้านิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆออกมา แต่ภายในใจกลับรู้สึกว่า ถูกสาวๆกลุ่มนี้แทะโลมอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งดื่มกินกันจนเสร็จสิ้นแล้ว ถงเซียวเซียวจึงขอเป็นเจ้ามืออาหารมื้อนี้เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณฉีเล่ย ทุกคนจึงไม่ขัดศรัทธา และปล่อยให้ญิงสาวเป็นผู้ชำระบิลค่าอาหารในคืนนี้
ทันทีที่กลุ่มสาวสวยเดินออกมาจากห้อง ก็ได้กลายเป็นจุดดึงดูดสายตาของผู้คนที่พบเห็น อาจเป็นเพราะฉีเล่ยเริ่มรู้สึกชินชากับสายตาของผู้คนเช่นนี้แล้ว ทำให้เขาไม่ค่อยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากเท่าไหร่นัก
“ผู้อำนวยการหลิว ผู้หญิงกลุ่มนั้นเดินออกมาแล้วครับ” ใครบางคนที่อยู่บนรถตู้สีดำ ซึ่งจอดอยู่หน้าภัตตาคารรีบโทรรายงานผู้อำนวยการหลิวทันทีที่เห็นกลุ่มสาวสวยเดินออกมา
“งั้นก็ลงมือตามที่ฉันสั่งได้เลย!”
ผู้อำนวยการหลิวซึ่งเวลานี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่างชั้นสองของภัตตาคาร พร้อมกับก้มมองกลุ่มสาวสวยที่อยู่ด้านล่างในขณะสั่งการ
ระหว่างทางที่เดินออกไปนั้น เสี่ยวเจียวก็เข้าไปกอดแขนของเซียวเซียวไว้พร้อมกับถามออกไปว่า “เซียวเซียว แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะได้เจอกันอีกล่ะ?”
“ไม่นานหรอกน่า ทางบริษัทน่าจะมาลงทุนทางเหนืออีกเร็วๆนี้ ถึงตอนนั้นพวกเราคงได้รวมก๊วนกันอีกแน่ๆ” เซียวเซียวตอบกลับยิ้มๆ
“ฮ่าๆๆ น่าอิจฉาพวกผู้ชายเจียงหนานชะมัด ที่จะได้มีโอกาสเห็นขาสวยๆของเซียวเซียวอีกครั้ง!” เสี่ยวเจียวอดที่จะหยอกเย้าเพื่อนสาวไม่ได้
ถงเซียวเซียวเหลือบมองฉีเล่ยที่กำลังเดินตามหลังมา พร้อมกับตอบเสี่ยวเจียวไปว่า “จะบ้าเหรอ? ฉันไปทำงานนะ ไม่ได้ไปโชว์อะไรที่ไม่ควรโชว์”
แต่สายตาของถงเซียวเซียวกลับถูกเพื่อนๆสังเกตเห็น เธอจึงได้ถูกเพื่อนๆแซวไม่หยุด “อะไรกันเซียวเซียว? ฉันเห็นเธอคอยแต่แอบมองไปด้านหลัง มองใครเหรอจ๊ะ? หรือว่าแอบสนใจพ่อหนุ่มน้อยของเรา?”
“นี่พี่หลินคนสวย ให้เซียวเซียวยืมน้องชายสุดหล่อไปควงหน่อยจะได้ไหมคะ?”
“ได้ยังไงๆ ถ้าฉันให้เขาไปกับเซียวเซียว แล้วฉันล่ะ? ฉันจะทำยังไงห๊ะ?” หลินชูวโม่รีบค้านขึ้นทันที
“พี่หลินคนสวยคะ อะไรจะซื่อบื้อขนาดนี้? เห็นว่าเป็นพี่สาวนะ ฉันจะแนะนำอะไรให้ พี่ก็ใช้แตงกวาหรือมะเขือยาวไปก่อนสิ ฮ่าๆๆๆ”
“ยัยบ้า! พูดจาอะไรลามกน่าเกลียดจริงๆ ฉันไม่เข้าใจสักหน่อย ถ้าอยากจะได้น้องชายสุดหล่อนี่ไปก็ต้องช่วงชิงกันหน่อยแล้วล่ะ!” หลินชูวโม่จีบปากจีบคอตอบโต้
“ได้!”
หลังจากนั้น กลุ่มสาวๆต่างก็พากันพุ่งเข้าไปหาหลินชูวโม่พร้อมกับเอากระเป๋าฟาดใส่อย่างสนุกสนาน