ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 126 ความสัมพันธ์แบบสามคนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ตอนที่126 ความสัมพันธ์แบบสามคนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ถงเซียวเซียวจองเที่ยวบินไว้ราวห้าโมงเย็น หลินชูวโม่กล่าวต่อว่า

“จากที่นี่ไปสนามบินก็อีกไม่ไกลเท่าไหร่ เดี๋ยวฉันไปส่งเธอเอง”

“อืม ขอบคุณนะ รบกวนเธอแล้ว”

ขณะที่เอ่ยตอบหลินชูวโม่ ถงเซียวเซียวก็หันไปมองฉีเล่ย ลึกลงไปในแววตาคู่สวยของเธอนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความขอบคุณ

“อิอิ สุดหล่อของเราได้ช่วยชีวิตสาวสวยไว้ กลายมาเป็นฮีโร่อีกครั้งในวันนี้ นี่มันสองรอบแล้วนะที่เขาช่วยเธอให้รอดพ้นจากวิกฤตน่ะเซียวเซียว สงสัยเธอคงต้องพลีกายให้เขาแล้วจริงๆแล้วล่ะ”

“ใช่แล้ว! ถ้าเป็นน้องชายสุดหล่อคนนี้ ฉันสนับสนุนเต็มที่เลยนะ เขาเป็นผู้ชายที่ดีมากคนนึงเลย หายากนะผู้ชายสมัยนี้ที่จะสามารถพึ่งพาได้ในยามเดือดร้อน สองครั้งที่ผ่านมาก็พิสูจน์ได้แล้วว่า เขายอมเสียสละเพื่อปกป้องคนของตัวเองจริงๆ ถ้าครั้งหน้าเกิดอะไรขึ้นมาอีก ใครจะเป็นคนช่วยเธอ?”

“สุดหล่อ มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ ไม่มีอะไรต้องกลัวเหรอก ขอแค่กล้าพูดความในใจออกมา เซียวเซียวไม่กล้าปฏิเสธนายอยู่แล้ว เพิ่งเจอกันไม่นาน แต่นายกลับช่วยเธอในยามวิกฤติได้ถึงสองครั้งติดกันแบบนี้ ถ้าเซียวเซียวกล้าตอบแทนแค่คำขอบคุณล่ะก็ ฉันนี่แหละจะด่าให้เอง!”

ฉีเล่ยยืนนิ่งพูดไม่ออก

“…”

อันที่จริงแล้ว หญิงสาวที่มีรูปร่างดีและมีเรียวขาที่สวยขนาดนี้ นับเป็นสาวสวยมากเสน่ห์น่าดึงดูดอย่างแท้จริง ใครก็ตามที่โชคดีได้แต่งงานกับเธอในอนาคต ไม่ต้องกินข้าวเป็นอาหารยังได้ แค่ได้รับชมความงามตรงหน้าก็อิ่มทิพย์ได้ด้วยตัวเอง

ถงเซียวเซียวไม่รู้ว่าฉีเล่ยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่โดนทุกคนยั่วยุกดดันขนาดนี้ จู่ๆใบหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจนกระทั่งลามไปถึงใบหู ในท้ายที่สุด เธอก็ค่อยๆถกกระโปงขึ้นจนเผยให้เห็นขาอ่อนอย่างช้าๆ

“ถ้า…ถ้าคุณฉีอยากเห็น…ก็..ก็ได้นะคะ…”

“…”

ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจเสียงยาว แต่ก็ไม่ยังอาจเก็บซ่อนความเก้อเขินไว้ได้เช่นกัน

บรรดาสาวๆรอบข้างเริ่มระเบิดหัวเราะออกมา พร้อมกับส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันไม่หยุด หลินชูวโม่เพียงแค่เหลือบตามองไปทางถงซียวเซียวเล็กน้อย ก่อนจะหันไปจ้องมองฉีเล่ย พร้อมกับทำสีหน้าประหลาดใจ

ถงเซียวเซียว เธอเป็นนางแบบมากประสบการณ์ในวงการบันเทิง เดบิวต์งานมาเป็นเวลานานสักพักใหญ่แล้ว สถานการณ์แบบนี้เธอเองก็น่าจะพบเจอมาบ่อยแล้วไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมยังทำตัวราวกับนกน้อยใสซื่อบริสุทธิ์และไร้เดียงสาแบบนี้ล่ะ?

หรือเป็นไปได้ไหมว่า เธอกำลังเขินอายฉีเล่ยจริงๆ?

สายตาคมกริบประดุจจิ้งจอกของหลินชูวโม่เบนเข้ามาจ้องฉีเล่ย เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามทำตัวให้สำรวมอยู่ แต่ก็พอจะมองออกว่าเขาก็กำลังรู้สึกพึงพอใจอยู่เช่นกัน

หลิวชูวโม่พลางคิดกับตัวเองในใจว่า เซียวเซียว ยัยเด็กโง่ ถ้าเธอรู้ว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของปีศาจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเก้อเขินของผู้ชายคนนี้คืออะไร ถึงตอนนั้น…คงสายเกินไปแล้วที่จะมาเสียใจภายหลัง

ฉีเล่ยย่อมไม่ทราบ แม้ว่าตัวเขาเพิ่งจะมาอยู่ปักกิ่งได้ไม่นาน แต่กลับมีใครบางคนล่วงรู้ถึงเนื้อแท้แล้วว่าเขาเป็นคนยังไง ซึ่งคนผู้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นหลินชูวโม่นั่นเอง

เปลือกนอกเธอดูเป็นผู้หญิงนักเที่ยว เปลี่ยนผู้ชายควงไม่ซ้ำหน้า ทว่าในความเป็นจริง ผู้หญิงคนนี้กลับมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา และเป็นเรื่องยากที่จะหาใครทัดเทียมเธอได้

เพียงแค่มองตา เธอก็สามารถมองทะลุไปถึงเบื้องลึกภายในใจและแก้นแท้ของคนผู้นั้นได้ทันที

ไม่ว่าฉีเล่ยจะดูสุภาพ สุขุมหรือดูเป็นสุภาพบุรุษมากเพียงใด หลินชูวโม่ก็สามารถบอกได้ว่า มีสัตว์ประหลาดกำลังหลบซ่อนตัวอยู่เบื้องลึกในจิตใจของผู้ชายคนนี้

แต่ถึงอย่างนั้น…ก็เพราะสาเหตุนี้เช่นกัน ที่ทำให้เธอ‘อยากได้’เขามากยิ่งกว่าใคร

หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดได้จบสิ้นลง บรรดาก๊วนสาวๆก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงแค่ฉีเล่ยกับหลินชูวโม่ที่ไปส่งถงเซียวเซียวที่สนามบิน

ทั้งสามนั่งคุยกันอยู่สักพักหนึ่งในโซนผู้โดยสารขาออก ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเสียงประกาศตามสาย เรียกเที่ยวบินของถงเซียวเซียวให้เช็คอินเข้าเกตไป

ก่อนจากกัน สายตาของถงเซียวเซียวยังคงจับจ้องอยู่ที่ฉีเล่ยไม่ละวาง คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ จนในที่สุดเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนจากกัน เธอจึงได้ตัดสินใจพูดมันออกมา

“คุณฉีค่ะ ฉันมีอะไรอยากจะคุยกับคุณหน่อย…”

หลินชูวโม่ยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“เอาล่ะ มีอะไรจะพูดก็รีบๆพูด ฉันจะไปยืนรอตรงนั้นนะ”

หลังจากพูดจบ เธอก็หันหลังเดินออกไปทันที ปล่อยให้ทั้งคู่ได้อยู่กันลำพังสองต่อสอง

รอจนกระทั่งหลินชูวโม่เดินห่างออกไปไกล ถงเซียวเซียวจึงค่อยหยิบซองจดหมายปึกหนาออกจากกระเป๋าของเธอ และมอบมันให้กับฉีเล่ยพร้อมกับบอกเขาว่า

“คุณฉีคะ ฉันไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงจริงๆ คุณช่วยชีวิตฉันถึงสองครั้ง แต่เพราะไม่รู้ว่าจะตอบแทนยังไงดี ฉันก็เลย…”

“คุณได้ตอบแทนผมไปแล้วครับ”

ฉีเล่ยหัวเราะ

“ตอนไหนกันค่ะ?”

“คุณเอ่ยปากขอบคุณผมตั้งหลายครั้ง แถมยังเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ผมอีก แค่นี้ก็มากเพียงพอแล้วครับ”

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็ผลักซองจดหมายปึกหนาคืนกลับไป

ถงเซียวเซียวเบิกตาโตที่แฝงไว้ด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นที่มอบให้กับฉีเล่ย เธอพยักหน้าและบอกกับเขาว่า

“ค่ะ ดิฉันจะไม่บังคับคุณหรอกนะคะ ถ้ามีโอกาส…คุณต้องมาหาฉันบ้างนะ บ้านเกิดฉันอยู่ที่เจียนหนาน”

“แน่นอนครับ…”

ฉีเล่ยทราบดีว่าเธอแค่พูดเป็นพิธี จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพียงแค่พยักหน้าตอบกลับไป

“คุณนี่น่ารักจังนะคะ…”

ทันใดนั้นเอง ถงเซียวเซียวก็โน้มใบหน้าลงมาจู่โจมใส่ฉีเล่ยโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตั้งตัว ริมฝีปากของทั้งสองคนประกบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

สำหรับผู้หญิงตัวสูง การจะขโมยจูบใครสักคนหนึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องยากเลย

ยิ่งไปกว่านั้น‘เหยื่อ’ยังโดนจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ย่อมไม่มีโอกาสที่จะหลบเลี่ยงได้ทันแน่

ก่อนที่ฉีเล่ยจะมีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ริมฝีปากของเขาก็กลายเป็นสีแดงระเรื่อไปเสียแล้ว เนื่องจากลิปสติกบนริมฝีปากของอีกฝ่าย

แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของถงเซียวเซียวกลับแดงกว่ามาก เธอรีบลากกระเป๋าเดินทางเข้าเกตไปในทันที ก่อนลาจากครั้งสุดท้าย เธอหันหลังกลับมาโบกมือให้กับฉีเล่ย พร้อมกับร้องตะโกนขึ้นว่า

“อย่าลืมนะคะ ถ้าว่างก็มาหาฉันบ้าง ถ้าฉันว่างก็จะบินมาหาคุณที่ปักกิ่งเหมือนกัน”

ร่างสูงยาวของหญิงสาวประดับคู่กับรอยยิ้มหวานดั่งดอกไม้ ค่อยๆเดินลับสายตาไป

ให้ตายเถอะ! เขาอยากจะตายตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด!

หลังจากยืนนิ่งอึ้งอยู่สักพัก ฉีเล่ยจึงได้ละสายตาออกมา และฟื้นคืนสติกลับมาได้ในที่สุด ทว่าภายในใจกลับอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกสับสนมากมาย

คุณภรรยาที่รัก…เมื่อไหร่จะมาปักกิ่ง?

ถ้ายังไม่รีบมาตอนนี้ มีหวังสามีคนดีคนนี้ต้องตายก่อนวัยอันควรแน่นอน!

ระหว่างทางกลับ ฉีเล่ยเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรเลย เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ หลินชูวโม่เองก็ชวนเขาคุยเป็นครั้งคราว ทว่าปฏิกิริยาของเขาช่างดูเฉยเมยและเย็นชาเป็นอย่างมาก ราวกับว่ากำลังต่อต้านความเจ้าชู้ของหลินชูวโม่ที่พยายามยั่วยวนไม่หยุด

ไม่มีผู้ชายคนไหนสามารถต้านทานเสน่ห์ของผู้หญิงคนนี้ได้ แม้แต่คนขับแท็กซี่ เพียงแค่ได้ยินเสียงกระเส่าของหลิวชูวโม่ไปเพียงครั้งเดียว ก็ถึงกับจับพวงมาลัยไม่มั่น เปลี่ยนจากคนขับรถมือเก๋ากลายมาเป็นคนขับมือใหม่เกือบเฉี่ยวชนได้ในทันใด

เมื่อเห็นท่าทางอันเฉื่อยชาเฉยเมยของฉีเล่ย หลินชูวโม่ก็จัดการเผด็จศึกด้วยการยกมือขึ้นลูบไล้บริเวณต้นขาของอีกฝ่ายอย่างดุเดือด พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทำไม? พอเซียวเซียวไม่อยู่ถึงกับเซ็งขนาดนี้เชียวเหรอ? ทำไมเราไม่กลับไปสนามบินแล้วซื้อตั๋วบินตามเธอไปซะล่ะ? ถ้ารีบตัดสินใจตอนนี้ก็น่าจะยังทันอยู่”

“หื้ม? อะไรของคุณ?”

ฉีเล่ยปัดมือของอีกฝ่ายออกจากต้นขาตัวเอง

หลิวชูวโม่เริ่มหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เธอพูดขึ้นด้วยอารมร์ฉุนเฉียวว่า

“ฉันก็เคยบอกไปแล้วไง? จะแกล้งทำตัวใสซื่อไปอีกนานแค่ไหน?”

“อะไร? ผมเคยบอกตอนไหนว่าใสซื่อ? กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ต่างหาก”

“ก็ดูนายสิ! ทำเป็นดูไม่ทันโลก”

หลินชูวโม่ส่งสายตาค้อนให้ฉีเล่ยก่อนจะพูดต่อว่า

“เซียวเซียวไม่อยู่แล้วยังไง? ถ้านายต้องการผู้หญิงดีๆสักคนก็ลองมองมาที่ฉันบ้างสิ ฉันก็ดูดีไม่แพ้เธอหรอกนะ!”

“…”

ฉีเล่ยค่อยๆเบนหน้าหันไปจ้องหลินชูวโม่ตาเขม็ง ชนิดที่ว่าไม่แม้แต่จะกระพริบตา

หลินชูวโม่ที่ถูกกดดันด้วยสายตาแบบนี้ ก็ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปเช่นกัน

ที่ผ่านมา เธอมีแต่เคยเห็นท่าทางการแสดงออกที่ดูเขินอายทำอะไรไม่ถูกของฉีเล่ย แต่พอตอนนี้กลับถูกอีกฝ่ายจ้องไม่หยุดแบบนี้ กลับเป็นเธอเสียเองที่เสียท่าให้ แล้วจู่ๆใบหน้างดงามนั้นก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย

ขณะที่หลินชูวโม่กำลังตั้งตัวไม่ถูกกับสายตาอันนิ่งสงบของฉีเล่ย จู่ๆเขาก็ปริปากถามขึ้นคำหนึ่งว่า

“คุณรู้ตัวไหมว่ากำลังเล่นกับไฟ?”

หลินชูวโม่พยักหน้าพร้อมใบหน้าที่แดงระเรื่อ

“ก็ถ้ารู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับไฟ แล้วทำไมยังจะเล่นอยู่อีกล่ะ?”

“ก็…ก็ฉันชอบ”

หลินชูวโม่เม้มริมฝีปาก เอ่ยตอบออกไป

ฉีเล่ยยกมือขึ้นปัดปอยผมของตัวเอง ไร้ซึ่งท่าทีเก้อเขินหรือประหม่าอย่างทุกๆครั้งโดยสิ้นเชิง

“เสียใจด้วย ผมมีภรรยาแล้ว ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะเตือนคุณ ภรรยาของผมเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก ขนาดตอนที่เธอถูกคนลักพาตัวไป เธอยังยอมใช้ชีวิตตัวเองเป็นข้อต่อรอง เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมแพ้อะไรกับเรื่องง่ายๆ คุณหลิน ระหว่างผมกับคุณเป็นเพื่อนกันน่าจะเหมาะสมกว่า ถ้าจะหยอกล้อกันเล่นบ้างผมก็ไม่ถือสาอะไร แต่ถ้าคุณเล่นเกินขอบเขตแบบนี้ มัน…”

หลินชูวโม่ไม่ปริปากตอบโต้

แต่ฉีเล่ยก็รู้ดีว่า ที่หญิงสาวนิ่งเงียบไม่ตอบโต้นั้น ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเธอกลัวเขา แต่กลับตรงกันข้าม เวลานี้เธอหันมาสบตากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว

ฉีเล่ยเห็นชัดว่า ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้เริ่มแดงก่ำราวกับสีกุหลาบ นัยน์ตานุ่มลึกทั้งใสทั้งบริสุทธิ์เสมือนหยดน้ำค้างจากฟ้า แต่กลับดูร้อนแรงดั่งทะเลเพลิงแผดเผา

ฉีเล่ยรู้สึกประหลาดไม่น้อย ที่ผ่านมาเธอชอบแทะโลมหยอกเย้าเขาเป็นประจำไม่ใช่เหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอเปลี่ยนเป็นคนจริงจังได้ขนาดนี้?

หรือว่าคำพูดของเขาเมื่อครู่จะรุนแรงเกินไป? แต่มันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ? ฉีเล่ยต้องการแสดงจุดยืนเพื่อชี้แจงให้ชัดเจนกันไปเลย ในเส้นทางความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งคู่นั้นไม่มีทางเป็นไปได้

“นายรู้ไหมว่าตอนนี้นายดูเป็นลูกผู้ชายมาก”

หลินชูวโม่ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อว่า

“ตอนที่นายจริงจัง นายเองก็มีเสน่ห์มาก”

“….”

“ภรรยาของนายเข้มแข็งมากใช่ไหม? ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันไม่ได้ต่อสู้เพื่อตำแหน่งเมียหลวง แล้วช่วยโยนคำว่า‘เพื่อน’ ทิ้งไปซะ ที่ฉันเข้าหานายไม่ใช่เพราะอยากได้นายมาเป็นเพื่อน ถ้ามีโอกาสได้พบกับภรรยาของนาย ฉันจะลองปรึกษากับเธอดูว่า ความสัมพันธ์แบบสามคนก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ตกลงไหม?”

“….”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset