ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 132 เฒ่าซี

ตอนที่132 เฒ่าซี

เฉินเจียซินเฝ้ามองภาพกิริยาที่แสนจะพบเห็นได้ยากของประธานสาวคนสวย และได้แต่แอบสงสัยว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องหัวเราะหนักขนาดนี้

“แล้วเธอคิดว่าคนอย่างฉีเล่ยจะกำลังรู้สึกยังไงล่ะ? เธอคิดว่าเขาจะทุกข์ทรมานใจอยู่รึเปล่า?”

ชูซินซูหยุดหัวเราะเหลือบมองไปที่เลขาสาว พร้อมกับเอ่ยถามอย่างมีเลศนัย

“ดิฉันไม่ทราบค่ะ”

เฉินเจียซินกล่าวตอบไปตามความจริง

แต่พอคิดดูแล้ว มันจะน่าหดหู่แค่ไหนกันนะ? ถ้าหากชายคนหนึ่งที่เพิ่งปฏิเสธสาวสวยระดับมหาเศรษฐีไป โดยคิดว่าอยากจะใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ แต่ทว่าตอนนี้กลับโดนไล่ออกจากการเป็นอาจารย์อีก?

“ประธานชู จะให้ดิฉันโทรติดต่อไปหากระทรวงการศึกษาไหมค่ะ?”

ชูซินซูโบกมือปฏิเสธ

“ไม่จำเป็น ถ้าคิดว่าเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาแค่นี้ได้ ก็หมายความว่าทีมข่าวกรองของเธอประสบความล้มเหลวถึง98%นะ เขาแข็งแกร่งกว่าที่เธอคิดเยอะ”

“รับทราบค่ะ”

เฉินเจียซินพยักหน้าตอบ

“แต่…ครั้งล่าสุดเขายังต้องพึ่งพาประธานชูอยู่เลยนี่คะ? ฉันคิดว่าครั้งนี้เอง…เขาก็น่าจะต้องการความช่วยเหลือจากประธานชูเหมือนกัน?”

ชูซินซูส่ายหัว

“สถานการณ์ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้ว ตอนนั้นเขาเลือกที่จะพึ่งพาหลี่ฮั่วเฉิน ไม่ใช่ฉัน แต่ถ้าครั้งนี้เขาตั้งใจโทรหาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือจริงๆ ฉันเองก็ยินดีที่จะช่วย แต่หลังจากนั้น…กลับจะเป็นตัวเขาเองนั้นแหละที่จะเป็นฝ่ายสูญเสียมากยิ่งขึ้น”

หลังจากที่เฉินเจียซินที่ได้ฟังคำพูดของประธานสาว เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่า ประธานสาวคนนี้กำลังหมายถึงอะไรอยู่ และความสูญเสียที่ว่านั้นมันหมายถึงอะไร โดยเธอหวังเพียงแค่ว่า ฉีเล่ยจะใช้ความสามารถที่มีก้าวข้ามผ่านปัญหานี้ไปได้ด้วยตัวเอง

ชูซินซูลุกขึ้นจากเก้าอี้ผู้บริหารตัวใหญ่ และยืนจ้องมองทัศนียภาพของเมืองหลวงในยามรัตติกาลที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟผ่านหน้าต่าง

มุมปากของเธอค่อยๆยกสูงขึ้น

“อยู่ๆก็อยากจิบไวน์แหะ”

ฉีเล่ย

นายเป็นคนแบบไหนกันแน่?

ทั้งๆที่โอกาสจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตปรากฏรออยู่ตรงหน้าแล้ว แต่กลับเลือกที่จะหันหลังให้?

มีหญิงสาวผู้แสนมั่งคั่งร่ำรวย เธอเพียบพร้อมไปซะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความสวยและอำนาจบารมี มาประเคนถึงที่ แต่นายกลับปฏิเสธพวกเธอเหล่านั้นไปจนหมด?

นายต้องการแค่ของธรรมดาๆอย่างงั้นเหรอ?

เส้นทางที่นายเลือกมีผู้คนมากมายเข้าขัดขวาง แต่นายก็ยังตัดสินใจที่จะเดินต่อไปจริงๆน่ะเหรอ?

นายช่างเป็นผู้ชายที่ลึกลับมากเหลือเกินนะ

…….

การที่ตาแก่ซงได้ขับไล่นักศึกษาออกจากห้องยกแผงจนไม่มีใครมาเรียน เรื่องนี้ทำให้หัวหน้าคณะอาจารย์ซีรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก

ตัวเขาเองย่อมทราบขีดจำกัดของตัวเองที่พอจะรับไหวได้ดี ถ้าไม่รับสมัครอาจารย์ใหม่เข้ามาแทน ก็จำเป็นต้องหาหนทางเพื่อเชิญฉีเล่ยกลับมา ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาจะไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ให้ทางมหาวิทยาลัยฟังได้

เขาเพิ่งจะไล่ฉีเล่ยออกจนทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาจารย์ผู้สอน หลินหมิงจางอาจจะใช้ข้ออ้างนี้เพื่อปลดเขาออกจากตำแหน่งก็ได้

แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ทราบมาว่า ตลอดสองวันมานี้หลินหมิงจางก็ได้พยายามวิ่งเต้นเพื่อช่วยฉีเล่ยอย่างมาก ได้ยินมาว่า เขาถึงขั้นเดินทางไปหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาหม่าด้วยตัวเอง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เห็นแก่หน้าหลินหมิงจางเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะเชื้อเชิญเขาเข้าบ้านด้วยซ้ำ ส่วนเหตุผลที่เขาทำแบบนั้นก็ไม่มีอะไรมาก เพราะฉีเล่ยไปทำร้ายหลานชายของเขานั่นเอง

การจะสรรหาอาจารย์วิชา‘การวินิจฉัย’ที่มีคุณภาพมาสอนเด็กพวกนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยกับงบประมาณที่ทางมหาวิทยาลัยให้มา แต่หากจะเชิญฉีเล่ยให้กลับมาสอนก็ไม่ต่างอะไรกับการถล่มน้ำลายขึ้นฟ้า ดังนั้นแล้ว หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจึงจำเป็นต้องออกโรงสอนด้วยตัวเอง ส่วนตัวเขานั้นก็ไม่ได้สอนเด็กนักศึกษามาเป็นเวลานานมากแล้ว เรียกได้ว่าฝีมือและลีลาการสอนของเขานั้น ได้ถูกทิ้งร้างจนฝุ่นจับหมดแล้วก็ว่าได้

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีนั่งตัดสินใจอยู่นาน จนท้ายที่สุดก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า เขาจะออกไปสอนด้วยตัวเอง และจะใช้โอกาสนี้กำราบความหยิ่งผยองของเด็กนักศึกษากลุ่มนี้ด้วย

ถึงจะมีความมั่นใจอยู่พอตัว แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ บนบ่าทั้งสองข้างยังถือได้ว่า ต้องแบกรับความกดดันอันหนักอึ้งไว้อย่างมาก

เมื่อหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเดินเข้าไปในชั้นเรียน เขาก็ถึงกับตกตะลึงอย่างมาก เพราะภายในห้องมีนักศึกษาเป็นร้อยนั่งอยู่เต็มไปหมด เรียกได้ว่าเกือบจะทั้งหมดของจำนวนนักศึกษาแพทย์แผนจีนรุ่นที่6ของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว ในหนึ่งคลาสนักศึกษาจะถูกแบ่งเฉลี่ยเป็นเซคละ40คน แต่เด็กภายในห้องเวลานี้ ราวกับว่ารวบรวมเอานักศึกษาจากทุกเซคไว้ จำนวนนักศึกษาในตอนนี้ดูเหมือนจะมีจำนวนมากกว่ารายชื่อในมือเขาเสียอีก

เดิมที วันนี้ที่หัวหน้าคณะอาจารย์ซีมาก็เพื่อเช็คบิลกับพวกนักศึกษาที่ไม่ยอมเข้าเรียน เพราะครั้งก่อนตาแก่ซงเพิ่งขับไล่นักศึกษาพวกนี้ออกไป จึงคิดว่าคาบเรียนในวันนี้ไม่น่าจะมีใครมา เขาจะได้เช็คขาดและลงโทษให้หายซ่ากัน แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างที่เขาจินตนาการไว้เลยสักนิด แผนการนี้จึงถูกพับเก็บไป

เนื่องจากจำนวนนักศึกษาในห้องเยอะมากถึงขั้นแน่นขนัด หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจึงไม่พูดพล่ามทำเพลงใดๆอีก เขาเดินขึ้นไปบนเวทีสอน กวาดสายตามองทุกคนและพูดเสียงดังว่า

“ยินดีที่ได้รู้จักนะนักศึกษาทุกคน ฉันชื่อซีลู่เฉิง”

หลังจากพูดจบ เขาก็แอบสังเกตสีหน้าท่าทางของนักศึกษาที่อยู่ภายในห้อง แต่ก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้

ไม่เห็นเป็นเหมือนที่ตาแก่ซงบ่นกับเขาเลยสักนิด ตาแก่นั่นบอกว่า เด็กๆพวกนี้ทั้งหัวสูงทั้งเย่อหยิ่ง แถมยังดื้อรั้นเกินจะควบคุม แล้วนี่มันอะไร? ทุกคนต่างก็นั่งสงบเรียบร้อยกันดีนี่?

เหอจื่อที่นั่งอยู่แถวหน้าจัดการถอดหูฟังตัวเก่งออก ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“เป็นถึงหัวหน้าอาจารย์ไม่ใช่เหรอค่ะ? นี่ถึงกับลงมาสอนด้วยตัวเองเลยเหรอ?”

เหตุผลที่ทุกคนยังคงมานั่งเรียนกันอย่างพร้อมหน้าในวันนี้ ก็เพราะว่าพวกเขากำลังรอให้ฉีเล่ยกลับมา เดิมทีเธอวางแผนไว้ว่าจะชักชวนทุกคนให้โดดเรียน แต่กลับถูกฉีเล่ยห้ามไว้เสียก่อน ก็เลยต้องชะลอแผนการดังกล่าวไป แต่ไม่คิดเลยว่า วันถัดไประดับหัวหน้าอาจารย์จะลงมาทำการสอนพวกเธอด้วยตัวเอง

ดูเหมือนกว่าศึกนี้จะเริ่มรับมือยากขึ้นเรื่อยๆแล้วสินะ

แต่เพื่อฉีเล่ย ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนเธอก็ยังยืนหยัดสู้ต่อไป ไม่ต้องพูดถึงระดับหัวหน้าอาจารย์หรอก ต่อให้เป็นอธิการบดีเธอก็ไม่กลัว

ซีลู่เฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“หนูจ๊ะเธอเข้าใจผิดแล้ว ตั้งแต่ที่ฉันก้าวเท้าเข้ามาในคลาสเรียนนี้ ก็ไม่ใช่หัวหน้าอาจารย์อะไรทั้งนั้น แต่เป็นอาจารย์คนหนึ่งของนักศึกษาทุกๆคน หน้าที่ของฉันคือการสอนให้พวกเธอได้ดิบได้ดี ส่วนคำว่าหัวหน้าอาจารย์ก็แค่ชื่อตำแหน่ง อย่าไปสนใจมันเลย ต่อไปนี้เรียกฉันว่าอาจารย์ซีเถอะนะ หรือถ้าไม่สะดวกใจก็เรียกว่า ตาเฒ่าซีก็ได้ไม่ว่ากัน ฮ่าฮ่า…”

ซีลู่เฉิงยังคงเดินเกมได้ดีมากที่เน้นสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่มาถึงก็อวดภูมิความรู้ของตัวเองก่อน แต่เน้นการกระชับความสัมพันธ์กับลูกศิษย์ให้แน่นแฟ้นขึ้น

นอกจากนี้ เขายังใช้กลยุทธ์ในการพูดติดตลกเข้ามาสอดแทรกเพื่อลดช่องว่างระหว่างเขากับเด็กนักศึกษาพวกนี้ การเสนอให้นักศึกษาเรียกเขาว่า‘เฒ่าซี’ ก็เพื่อที่จะพยามยามแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องสถานะความอาวุโสสักเท่าไหร่

นี่หาเป็นนักศึกษากลุ่มอื่น ซีลู่เฉิงคงจะสามารถเอาชนะใจไปได้นานแล้ว แต่น่าเสียดายเพราะนักศึกษากลุ่มที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้น นับเป็นกลุ่มเด็กทรชนคนทรามแห่งรุ่นที่ 6เลยทีเดียว

เหอจื่อยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปทันที

“โอเคเลย เฒ่าซี คุณนี่พูดโน้มน้าวจูงใจเก่งเหมือนกันนะ แต่ช่วยไปพาอาจารย์ฉีกลับมาทีเถอะ พวกเราจะยอมเรียนกับเขาคนเดียวเท่านั้น”

เวลานี้ ใบหน้ายิ้มแย้มของชีลู่เฉิงถึงกับแข็งค้างอยู่แบบนั้น

ที่เขาพูดติดตลกบอกให้เด็กนักศึกเรียกเขาว่า ‘เฒ่าซี’ นั้น ทั้งหมดเป็นเพียงวิธีปรับบรรยายกาศก่อนจะเข้าเรียนเท่านั้นเอง ใครจะบ้าจี้อยากให้เด็กพวกนั้นเสียมารยาทกับตัวเองแบบนั้น? นอกจากเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันจริงๆ หรือไม่ก็คนที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่กว่า ยังมีใครหน้าไหนกล้าเรียกเขาว่า เฒ่าซี ต่อหน้าต่อคนอื่นแบบนี้อีก?

เหตุการณ์นี้ทำเอาซีลู่เฉิงโมโหจนแทบกระอักเลือด นั่นเพราะคนที่อนุญาตให้เรียกเขาว่า เฒ่าซี ก็คือตัวเขาเอง แต่เขาก็คิดไม่ถึงจริงๆว่า เด็กเวรพวกนี้จะกล้าเรียกออกมาจริงๆ!

เฉพาะเวลานี้ ซีลู่เฉิงเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของตาแก่ซงที่วิ่งเข้ามาบ่นกับตัวเองในห้องทำงานเมื่อวาน

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความโกรธภายในใจ ก่อนจะฝืนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“อืม…ฉันคิดว่าพวกเธอยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดีนะ อาจารย์ฉีถูกเบื้องบนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะเขาไม่มีวุฒิการศึกษา แม้แต่ใบประกอบแพทย์ยังไม่มี ขนาดตัวฉันเองยังถูกเรียกไปตักเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน น่าเศร้านะ…ฉันเองก็ยอมรับจากใจว่า น้องฉีเป็นอาจารย์ที่เก่งมากคนหนึ่ง ตลอดที่ผ่านมาฉันก็ชื่นชมเขาอยู่ไม่น้อย จู่ๆเขามาถูกไล่ออกเพราะเรื่องแบบนี้ ฉันเองก็อดเสียดายไม่ได้เหมือนกัน ฉันเข้าใจความรู้สึกของพวกเธอทุกคนนะ”

“แต่…”

ซีลู่เฉิงกวาดสายตาสำรวจดูปฏิกิริยาของทุกคนแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มว่า

“อาจารย์ฉียังเด็กและยังมีโอกาสพัฒนาศักยภาพทางด้านการแพทย์ของตัวเอง หลังจากที่เขาออกไปแล้ว ฉันก็ได้มีโอกาสคุยกับเขาอยู่บ้างเหมือนกัน และได้แนะนำมหาวิทยาลัยชื่อดังให้เขาไปเรียนต่อ หลังจากได้รับวุฒิการศึกษาและใบปริญญามาแล้ว ถึงตอนนั้นทางมหาวิทยาลัยเองย่อมต้องยินดีต้อนรับเขากลับมาอย่างแน่นอน”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มของซีลู่เฉิงก็ค่อยๆจางหายไป น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังขึ้นมาถนัดตา

“ดังนั้น ระหว่างนี้ขอให้นักศึกษาทุกคนช่วยให้ความร่วมมือ ขอแค่พวกเธอตั้งใจเรียนต่อไป เพียงแค่นี้ก็ทำให้อาจารย์ฉีชื่นใจได้แล้ว”

หลังจากร่ายออกมายาวเหยียด ซีลู่เฉิงก็คิดว่า แผนการนี้น่าจะได้ผลไม่น้อยทีเดียว

แต่ทว่า…

“เฒ่าซีครับ! แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ ความสามารถของอาจารย์ฉีในตอนนี้ก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับสูงมากแล้ว บอกให้เขาไปเรียนแบบนี้ แสดงว่าต้องหาสถาบันระดับสูงที่มีองค์ความรู้สูงกว่าเขาอีกสินะครับ? แล้วคนที่จะมาสอนอาจารย์ฉีได้นี่จะต้องเก่งขนาดไหนกัน?”

“นั้นสิครับ บอกว่าให้ไปเรียนต่อ แต่ถ้าอาจารย์ฉีเก่งกว่าคนที่สอนเขา มันไม่น่าอายแย่เหรอครับ?”

“เฒ่าซี ผมคิดว่าคุณควรพาอาจารย์ฉีกลับมานะ ถ้าคุณยอมตกลง ผมจะเอาค่าขนมครึ่งปีมาเลี้ยงไวน์หรูให้เลยครับ”

“ฮ่าฮ่า…จินเซิง ค่าขนมครึ่งปีของแกมันสักเท่าไหร่เชียว? เฒ่าซีเป็นถึงหัวหน้าอาจารย์เลยนะ แค่อาหารมื้อเดียวก็เท่ากับค่าขนมแกทั้งปีแล้วมั๊ง!”

“แล้วทำไม? ก็ฉันเลี้ยงด้วยใจ! เฒ่าซีก็อย่าไปภัตตาคารหรูขนาดนั้น แค่ห้องคาราโอเกะเล็กๆ สาวแจ่มๆสักคนมาหนุนตักก็พอแล้วจริงไหมครับ?”

“….”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset