ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 135 โรคประสาท

ตอนที่135 โรคประสาท

ฉีเล่ยเหลือบสายตามองหญิงสาวเล็กน้อยพร้อมตอบกลับไปว่า

“คุณต้องการอะไรกันแน่? หรือว่าเจ็บป่วยเป็นอะไรมา?”

หญิงสาวคนนั้นตอบกลับทันที

“ว่ากันว่าหลักการวินิจฉัยของแพทย์แผนจีนคือ ฟังเสียง สอบถาม จับชีพจร ถ้าคุณเป็นแพทย์เลื่องชื่อจริง EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq คุณลองวินิจฉัยเอาเองจะดีกว่า ถ้ามัวแต่อธิบายโน่นนี่ยืดยาวแต่สุดท้ายกลับวินิจฉัยโรคของฉันไม่ได้ คุณก็แค่พวกต้มตุ๋นจริงไหม?”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

“ถูกต้อง”

หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองและกล่าวต่ออีกว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็วินิจฉัยเลยสิ”

ฉีเล่ยก้าวเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวคนนั้น เขาโน้มตัวเข้าไปสบสายตาอีกฝ่ายโดยไม่มีท่าทีประหม่าปรากกฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ใบหน้าของทั้งสองคนแทบจะแนบชิดติดกัน ห่างกันเพียงนิ้วเดียวเท่านนั้น เคลื่อนขยับอีกเล็กน้อย ปลายจมูกคงก็คงจะแตะสัมผัสกันแล้ว ทว่าหญิงสาวคนนั้นก็ปราศจากท่าทีหวาดกลัวเช่นกัน กระทั่งใบหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนเป็นสีแดง จังหวะหัวใจก็ยังคงเต้นเป็นปกติคงที่ มิหนำซ้ำเธอยังสบตาฉีเล่ยกลับอีกด้วย

หลังจากสบสายตากันอยู่สักพักหนึ่ง ฉีเล่ยก็เป็นฝ่ายผละออกมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ผิวพรรณสีกุหลาบ เปล่งปลั่งเงางาม สุภาพแข็งแรง จังหวะหัวใจเต้นปกติ นัยน์ตาสุกใส เบื้องต้นสุภาพร่างกายของคุณแข็งแรงดี”

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็เอื้อมมือออกไปจับข้อมือของหญิงสาวคนนั้นต่อทันที

“ต่อไปก็เป็นการจับชีพจร”

ชูซินซูยังไม่ได้ทันตัวตัวหรือตอบสนองใดๆ เมื่อรู้สึกตัวอีกทีข้อมือของเธอก็ถูกฉีเล่ยคว้าไปแล้ว

เขาเปลี่ยนไป…

ชั่วพริบตาเดียว ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาภายในหัวของชูซินซู

เมื่อครั้งที่พบกันคราแรกบนเครื่องบิน เขายังเป็นแค่ชายหนุ้มขี้อายอยู่เลย แค่ได้นั่งข้างๆกับสาวสวยอย่างเธอ เขายังประหม่าจนทำตัวไม่ถูกด้วยซ้ำไป หรือจะเป็นไปได้ไหมว่า ที่ผ่านมาบนเครื่องบินนั้นเป็นการแสดงทั้งหมด

ครั้งที่สอง เธอได้โทรชวนเขามาที่บ้านเพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น แต่กลับมีประชุมด่วนเรื่องการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ก็เลยทำให้ทั้งคู่ไม่ได้เจอกัน

แต่มาตอนนี้ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ไม่มีท่าทีของคนที่เก็บซ่อนความภาคภูมิใจไว้ภายใน และถ่อมเนื้อถ่อมตัวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงสีอย่างปักกิ่งได้เปลี่ยนเขาไปแล้วงั้นเหรอ?

หลังจากที่เขามาถึงที่นี่ เขาถูกบางสิ่งบางอย่างรอบตัวกระตุ้นงั้นเหรอ?

และไม่ว่าจะดูยังไง ตอนนี้เขาก็ดูเป็นคนอันตราย…

มุมปากของชูซินซูกระตุกขึ้นโค้งกลายมาเป็นรอยยิ้มเย้ายวนเล็กน้อย และยังคงปล่อยให้ฉีเล่ยจับชีพจรอยู่แบบนั้นโดยไม่มีท่าทีขัดขืน

ฉีเล่ยใช้สามนิ้วทาบจับชีพจรของเธอ ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็เริ่มวอกแวกดูขี้เล่นมากขึ้น ราวกับว่ากำลังชื่นชมความงามของเรียวมือสวยประดุจหยกขาวของหญิงสาวอยู่

ชูซินซูจึงอดที่จะเอ่ยถามขึ้นไม่ได้

“แพทย์ทุกคนที่จับชีพจรให้คนไข้ผู้หญิง หัวสมองจะฟุ้งซ่านแบบคุณงั้นเหรอ?”

ฉีเล่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า

“คุณเห็นด้วยเหรอว่าสมองของผมฟุ้งซ่าน?”

“ไม่ได้เห็นจากสีหน้า แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก”

“คุณรู้เรื่องจิตวิทยาไหม?”

“อย่าลืมสิว่าฉันเป็นนักธุรกิจนะ เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเองมากที่สุด ทักษะที่ฉันจำเป็นต้องฝึกฝนให้มากก็คือ การอ่านใจมนุษย์ โดยเฉพาะพวกผู้ชาย EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq กิริยาทั้งหมดล้วนมีความหมายทั้งนั้น มันสะท้อนให้เห็นถึงจิตใต้สำนึกของคนๆนั้น”

“งั้นช่วยบอกผมทีสิว่า จิตใต้สำนึกของผมกำลังคิดอะไรอยู่?”

ชูซินซูแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปทันที

“คุณกำลังไม่พอใจ แต่ฉันไม่รู้สาเหตุว่าทำไมคุณถึงไม่พอใจ อาจเป็นเพราะฉันบอกให้คุณปู่ทดสอบอะไรโง่ๆกับคุณก็เป็นได้?”

ปลายนิ้วทั้งสามของฉีเล่ยค่อยๆคลายออกจากข้อมือของหญิงสาว เขาตอบกลับไปยิ้มๆ

“สิ่งที่ผมไม่พอใจก็คือ การที่ผมรักษาผู้ป่วย แต่กลับเป็นผมเองที่เกือบพาชีวิตตัวเองตกลงสู่อันตราย แล้วรู้อะไรไหม คนที่ยังกล้าเฉยเมยต่ออันตรายตรงหน้าโดยไม่ทำอะไร นั่นเท่ากับเลือกที่จะตายไปแล้วครึ่งตัว ซึ่งถ้าเป็นผม ผมจะรีบผลักไสสิ่งนั้นออกไปจากชีวิตโดยเร็วที่สุด”

จากนั้นฉีเล่ยก็เอื้อมมือไปหยิบทิชชู่เปียกประมาณสองสามแผ่นมาเช็ดมือตัวเอง ก่อนจะโยนทิ้งลงถังขยะข้างโซฟา แล้วจึงพูดต่อทันที

“ชีพจรของคุณคงที่ปกติดี ไม่ต่ำหรือสูงเกินควร พูดตามตรงนะคุณชู คุณเป็นคนที่มีสุภาพแข็งแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ดูเหมือนว่าโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจของคุณนั้น จวนใกล้จะหายดีแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน…”

ฉีเล่ยหมุนตัวกลับไปเอื้อมจับลูกบิดประตูเตรียมจะก้าวออกไปโดยเร็ว แต่เสี้ยวจังหวะนั้นเอง ชูซินชูกลับร้องตะโกนหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน

“แล้วอย่างอื่นล่ะ?”

ฉีเล่ยเอี้ยวศรีษะปรายหางตามองกลับมาเล็กน้อย พลางเห็นชูซินซูที่จู่ๆก็ลุกขึ้นพรวดจากโซฟา

เรือนร่างเพรียวบาง ผิวพรรณเปล่งประกาย ใครเห็นก็ต้องรู้ได้ทันทีว่าเธอได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมมากเพียงใด

นี่ใช่ฉีเล่ยชายหนุ่มที่เธอเคยรู้จักงั้นเหรอ? ชายหนุ่มที่ขี้อาย? ประหม่าจนทำอะไรไม่ค่อยถูก? หรือทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การแสดงจริงๆ?

ชูซินซูรวบผมยาวไปไว้ข้างหนึ่ง ก่อนจะเดินตามติดเข้าใกล้ฉีเล่ยพร้อมกับตอบไปว่า

“ฉันไม่ยอมรับการวินิจฉัยของนาย!”

“หมายความว่ายังไง?”

“แก่นแท้ของแพทย์แผนจีนคือการปรับสมดุลจากภายในสู่ภายนอก(กระบวนการรักษาดังกล่าวจะต้องมีการสัมผัสส่วนลับของผู้หญิง) แต่นายยังไม่ได้ปรับสมดุลหรือทำอะไรให้กับฉันเลย”

“ก็คุณไม่ได้ป่วย แล้วจะให้ผมปรับอะไร?”

“ก็เพราะแบบนั้นยังไงล่ะ ฉันก็เลยอยากให้นายลองปรับดูไง เผื่อจะเห็นอะไรมากกว่านี้!”

ฉีเล่ยหรี่ตาลงทันที เขาจ้องตาของเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไปว่า

“นี่คุณต้องการอะไรกันแน่?”

“ฉันก็แค่อยากรู้ว่าฉันเป็นอะไร! ฉันรู้สึกว่าตัวเองต้องป่วยเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ!”

หลังจากที่ได้ฟังคำตอบของหญิงสาว ฉีเล่ยก็ได้แต่พยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“อืม ดูเหมือนคุณจะป่วยจริงๆนั่นแหละ อาการค่อนข้างหนักด้วย”

“ช่วยวินิจฉัยเพิ่มเติมให้ละเอียดกว่านี้หน่อยจะได้ไหม? สรุปฉันเป็นโรคอะไรงั้นเหรอ?”

“โรคประสาท!”

แม้จะได้ยินแบบนั้นแต่ชูซินชูกลับไม่รู้สึกโกรธแต่อย่างใด ในทางกลับกันเธอเอ่ยถามเสียงเย็นขึ้นว่า

“นี่คือคำวินิจฉัยของแพทย์ผู้มากไปด้วยฝีมืองั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าก็คุณมันก็แค่แพทย์จอมปลอมคนหนึ่ง”

ฉีเล่ยค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอ เขาจ้องใบหน้างดงามไร้ที่ติเขม็งและกล่าวว่า

“คุณชู ผมไม่ได้สนิทกับคุณเป็นการส่วนตัว แล้วผมก็วินิจฉัยตามอาการ ถ้าดีก็คือดี ถ้าแย่ก็ช่วยหาทางรักษา ผมขอพูดตามตรงเลยนะครับ ผมรู้สึกเสียใจอย่างมากที่เลือกช่วยคุณบนเครื่องบินวันนั้น เพราะนั่นเกือบทำให้ผมต้องฆ่าคนที่บ้านของคุณในเวลาต่อมา ถ้าผมรู้ตั้งแต่แรกว่า สิ่งที่ตระกูลชูตอบแทนให้แก่ผมคือการคุกคามชีวิตกันแบบนี้แล้วล่ะก็ ผมสาบานเลยว่า ผมจะไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหรือแม้แต่ครอบครัวของคุณอย่างเด็ดขาด จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจนะว่า ทำไมคุณถึงได้อยากจะพบเจอผมขนาดนี้ หรือว่านี่จะเป็นเกมของคนรวยที่ชอบเล่นกัน? รวยจนไม่รู้จะทำอะไรเลยรู้สึกเบื่อรึเปล่า? แต่ขอโทษนะครับ ผมไม่สนใจที่จะเล่นเกมนี้กับคุณ”

ฉีเล่ยยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เขาพูดต่อทันที

“ผมเป็นแพทย์ หน้าที่หลักของผมคือการรักษาผู้ป่วยและช่วยชีวิตผู้คน ความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ คุณเคยเป็นคนไข้ของผม แต่ในเมื่อตอนนี้คุณหายดีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราถือว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ฟังให้ดีนะ ผมจะพยามยามตอบแทนบุญคุณที่ครั้งหนึ่งคุณเคยช่วยผมไว้ แต่นั่นยังไม่ใช่ตอนนี้”

เขายื่นมือไปเปิดประตูออก ก่อนจากกันฉีเล่ยยังกล่าวทิ้งท้ายโดยไม่เหลียวมองอีกว่า

“หวังว่าจะไม่ได้พบกันอีกนะครับ นั่นหมายความว่า คุณจะต้องรักษาสุภาพให้ดี อย่าให้ผมต้องไปรักษาจนต้องเป็นกังวลถึงชีวิติของตัวผมเองอีก”

ปัง!

ปิดประตูเสร็จสรรพ ฉีเล่ยก็เดินผ่านหน้าเฉินเจียซินออกไป ระหว่างสวนกันเขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายเล็กน้อย

เฉินเจียซินจับจ้องแผ่นหลังของฉีเล่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง

เฉินเจียซินเฝ้าสังเกตสีหน้าท่าทางหม่องหม่นของชูซินซูเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า

“ประธานชู ไม่เป็นอะไรใช่ไหมค่ะ?”

“อืม”

เฉินเจียซินเอ่ยถามอีกครั้งว่า

“ไม่ทราบว่าประธานชูพึงพอใจกับการประชุมครั้งนี้ไหมค่ะ?”

ชูซินชูหัวเราะเสียงดัง

“พอใจงั้นเหรอ? เขาบอกว่าฉันเป็นโรคประสาท”

สีหน้าของเฉินเจียซินเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที เธอรีบหยิบมือถือออกมาเพื่อโทรเรียกพวกบอดี้การ์ดด้านนอกให้จับตัวฉีเล่ยไว้ก่อน

ในชีวิตนี้ดูเหมือนจะไม่เคยมีใครกล้าพูดจาดูหมิ่นประธานชูมาก่อน แต่ถ้ามี ใครคนนั้นก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วย

ชูซินซูโบกมือปฏิเสธ

“ช่างมันเถอะ เพราะฉันเองก็เห็นด้วยกับการวินิจฉัยของเขาเหมือนกัน”

“ประธานชู?”

“อย่างน้อย มันก็ทำให้ฉันรู้ว่า ตัวเองควรเปลี่ยนแปลงนิสัยอะไรบางอย่างบ้างแล้ว ฮ่าฮ่า…เขาบอกกับว่าฉันแค่เป็นโรคประสาท ไม่ใช่คนบ้าสักหน่อย แสดงว่ายังมีทางพอจะมีทางรักษาจริงไหม?”

“ประธานชู…”

“ถ้าฉันเป็นหนักจนถึงขั้นเสียสติแล้วบ้าขึ้นมา นับแต่นี้ในอนาคตฉันคงไม่มีสิทธิ์เจอเขาแล้ว แต่มันก็น่าหงุดหงิดใจนะ เขาเป็นผู้ชายที่เลือกจะทอดทิ้งฉัน ไม่ว่าฉันจะพยายามให้โอกาสเขาสักกี่ครั้ง เขาก็ยังเลือกที่จะทิ้งฉันเหมือนเดิม”

เฉินเจียซินรีบเข้ามาปลอบใจประธานสาวของเธอทันที

“ประธานชู EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ทีมข่าวกรองทั้งสามหน่วยของเราต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้ชายคนนี้ไม่คู่ควรกับคุณเลยสักนิด ถึงเขาจะเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง แต่กลับไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ”

เฉินเจียซินรู้จักอุปนิสัยประธานสาวของเธอดี กระทั่งเมฆฝนหรือพายุยังไม่สามารถพัดให้ประธานชูโซซัดโซเซได้ แต่ตอนนี้ประธานชูไม่เพียงแค่โดนผู้ชายปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเธอ แต่ยังถูกรังเกียจและพยายามหนีหน้าอีกด้วย แม้กระทั่งตอนนี้ยังถึงกับโดนผู้ชายคนนั้นด่าว่าเป็นโรคประสาทอีก

ขนาดเฉินเจียซินเองยังไม่คิดไม่ฝันเลยว่า จู่ๆอีกฝ่ายจะทำกับประธานสาวของเธอถึงขนาดนี้

ชูซินซูคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบเลขาสาวไปว่า

“สมบูรณ์แบบงั้นเหรอ? ฉันไม่ได้ต้องการคนสมบูรณ์แบบ ฉันแค่ต้องการใครสักคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น แม้ว่าจะต้องลมพายุที่หนาวเหน็บสักแค่ไหนต่างหาก เอาล่ะ กลับบริษัทกับเถอะ”

“ค่ะประธานชู”

เฉินเจียซินพยักหน้าตอบ จากนั้นก็สั่งเหล่าบอดี้การ์ดทั้งหมดให้ลงจากบันไป และหลังจากขึ้นรถแล้ว รถก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปทันที

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset