ตอนที่138 เดิมพัน
หลี่ถงซีเป็นโรคกลัวผู้ชาย แม้ตอนนี้เธอจะหายจากอาการดังกล่าวแล้ว แต่ตลอดที่ผ่านมาเป็นเวลาหลายปี พฤติกรรมของเธอที่มักจะพยายามหลีกเลี่ยงการพบปะกับเพศต่างข้ามอยู่เสมอ ก็ได้ทำให้เธอติดเป็นนิสัยแล้ว ยังไม่รวมถึงอุปนิสัยเย็นชาเป็นทุนเดิมของเธออีก
เวลานี้เมื่อจู่ๆ ก็มีชายแปลกหน้ามาคุกเข่ามอบช่อกุหลาบให้ต่อหน้าสาธารณะชนแบบนี้ เธอจะไม่รู้สึกรังเกียจได้อย่างไรกัน?
หากเป็นผู้หญิงปกติทั่วไป จู่ๆก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอย่างเป่ยจ้าวหยวนหอบกุหลาบช่อใหญ่มาคุกเข่าตรงหน้า มิหนำซ้ำยังมีรถสปอร์ตคันหรูจอดอยู่ด้านหลังประกอบฉากด้วย เพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามได้แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ในสายตาของหลี่ถงซีผู้ซึ่งนับเป็นผู้ป่วยทางจิตมานานตลอดหลายปี และเคยชินกับพฤติกรรมกีดกันหลีกห่างเพศตรงข้าม การมาทำเรื่องแบบนี้อย่างโจ่งแจ้ง จึงนับเป็นการกระทำที่ต่ำทรามและน่าอายสำหรับเธออย่างไม่ต้องสงสัย
น่ารังเกียจที่สุด!
นี่คือทัศนคติของหลี่ถงซีที่มีต่อผู้ชายทุกคน
ไม่เว้นแม้แต่ฉีเล่ยเช่นกัน หากเขาเลือกที่จะทำแบบเดียวกับเป่ยจ้าวหยวน
จึงแทบไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างเป่ยจ้าวหยวนที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าเธอ มีหรือที่หลี่ถงซีจะยอมไว้หน้า?
ผู้หญิงแต่ละคนไม่เหมือนกัน พวกเธอเป็นสิ่งมีชีวิตเจ้าอารมณ์ ถ้ารู้สึกเกลียดขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่าหวังว่าจะได้คบหากันเลย แม้แต่เพื่อนร่วมโลกยังไม่มีโอกาสจะเป็นได้
และดูเหมือนว่าหลี่ถงซีเองก็จะเป็นผู้หญิงประเภทดังกล่าวนี้
เป่ยจ้าวหยวนอุตส่าห์ใช้เวลาตลอดสองวันเพื่อเลือกหากุหลาบช่อนี้มาให้ ถึงจะไม่เปิดใจในทันทีทันใด แต่อย่างน้อยก็น่าจะรับไว้บ้าง ซึ่งแสดงว่าเขายังพอมีโอกาส?
เป่ยจ้าวหยวนรู้สึกหลงใหลหลี่ถงซีตั้งแต่แรกพบอย่างจริงจัง เขาพยายามอธิบายให้เธอฟังว่า
“ถงซี นี่คุณจำผมไม่ได้เหรอครับ? ผมไปหาคุณปู่คุณที่บ้านเมื่อวันก่อนยังไงล่ะ อันที่จริงก่อนหน้านี้ผมก็เคยส่งช่อดอกไม้มาให้คุณแล้วครั้งหนึ่ง พร้อมการ์ดเชิญไปดินเนอร์ยังไงครับ แต่สุดท้ายคุณก็ไม่มา…”
หลี่ถงซีตอบกลับด้วยใบหน้าเฉยเมย
“อ่อเหรอ พอดีคุณไม่ใช่คนสำคัญน่ะ ฉันก็เลยจำไม่ได้”
ทันทีที่พูดจบเธอก็เดินตรงไปที่รถของตัวเอง เตรียมเปิดประตูขึ้นไปนั่งโดยไม่มีแม้แต่จะเหลียวมองชายหนุ่มอีกเลย
เป่ยจ้าวหยวนรีบเดินตามเธอไปทันที เขาพยายามสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็เร่งฝีเท้าตรงเข้าไปขวางหน้าไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ผมเข้าใจครับว่ามันอาจจะกะทันหันไปหน่อย แต่ผมชอบคุณตั้งแต่แรกเห็นจริงๆนะครับ”
เป่ยจ้าวหยวนยังคงบรรยายความรู้สึกของตัวเองต่อ
“บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหารักแท้ และกว่าจะเข้าใจว่า ความรักที่สวยงามที่สุดของตัวเองนั้นกลับอยู่ใกล้ตัวเพียงชำเลืองมอง ก็สายเกินไปเสียแล้ว ผมอาจจะทำเกินควรจนดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่ความรักที่ผมมีให้คุณมันคือความรู้สึกจริงๆจากใจนะครับ คุณถงซีครับ ได้โปรด…ให้โอกาสผมสักครั้งได้ไหมครับ?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เป่ยจ้าวหยวนก็ปรายตามองฉีเล่ยด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว ก่อนจะพูดกับหลี่ถงซีต่อว่า
“ผมไม่ได้หวังให้คุณยอมรับผมในทันทีที่พบเจอกัน ผมยินดีที่จะรอเสมอครับ แต่ผมไม่ต้องการให้คุณถูกผู้ชายคนอื่นหลอก!”
ขนตางอนยาวของหลี่ถงซีถึงกับสั่นกระเพื่อมเล็กน้อย เธอเอ่ยถามขึ้นทันที
“คุณหมายความว่ายังไง?”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาเล็กๆน้อยๆของเธอที่เริ่มแสดงออกมา ฉีเล่ยก็ตระหนักได้ทันทีว่า หญิงสาวใกล้จะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว ใจหนึ่งก็รู้สึกอยากเข้าไปห้ามเป่ยจ้าวหยวนก่อนที่ระเบิดลูกใหญ่จะหล่มตูมลงใส่เหมือนกัน แต่อีกใจก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะเข้าไปยุ่ง
ในทางกลับกัน เป่ยจ้าวหยวนที่สังเกตเห็นว่า หลี่ถงซีเริ่มมีปฏิกิริยาสนอกสนใจที่จะพูดตอบโต้กับตนนั้น ก็พลันคิดไปว่านี่เป็นโอกาสของเขาแล้ว!
ดังนั้นเป่ยจ้าวหยวนจึงยกมือขึ้นชี้ไปทางฉีเล่ย พร้อมกับตวาดเสียงดังลั่น
“ไอ้หมอนั่นยังไงล่ะครับ! มันแกล้งปลอมเป็นแพทย์แผนจีนแล้วแอบเข้ามาสอนในมหาวิทยาลัย แล้วรู้อะไรไหมครับ…ปัจจุบันเขาถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว! ถงซีคุณควรรู้เรื่องนี้เอาไว้ด้วย! อย่าปล่อยให้คนแบบนี้เข้ามาหลอกอะไรคุณได้อีกนะครับ ที่ผมต้องพูดตรงๆแบบนี้ เพราะผมเป็นห่วงคุณจริงๆครับ!!”
หลี่ถงซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าเดิม
“นี่คุณพูดจบรึยัง?”
เป่ยจ้าวหยวนพยักหน้าตอบ
“จบแล้วครับ”
“งั้นก็หุบปากได้แล้ว น่ารำคาญที่สุด”
เป่ยจ้าวหยวนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขากำลังยืนขวางทางไม่ให้หลี่ถงซีก้าวขึ้นรถได้ การกระทำเช่นนี้ของเขาอาจจะดูเกินงามไปหน่อย เขาจึงรีบถอยหนีออกมาทันที
หลี่ถงซีเปิดประตูก้าวขึ้นรถโดยไม่แยแสเป่ยจ้าวหยวนเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงได้กดเปิดกระจกหน้าต่างฝั่งข้างคนขับ พร้อมกับเอ่ยปากเรียกฉีเล่ยให้ขึ้นรถ
“มัวยืนนิ่งอะไรอยู่? จะกลับบ้านไหม?”
แม้ภายในน้ำเสียงของหลี่ถงซีจะเจือผสมความเย็นชาอยู่เล็กน้อย แต่ถ้าตาไม่บอดก็คงจะต้องสังเกตเห็นถึงสัมพันธ์ภาพบางอย่างระหว่างเธอกับฉีเล่ยได้
ฉีเล่ยไม่ได้เดินขึ้นรถทันที แต่ชะโงกหน้าไปหาเป่ยจ้าวหยวนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ขอบอกตามตรงเลยนะครับ ผมเริ่มรู้สึกชอบคุณขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าจะพูดจาใส่ร้ายคนอื่นในระยะเผาขนขนาดนี้ ก็นับว่าคุณเลวไม่น้อยเลย”
เป่ยจ้าวหยวนยกมือขึ้นชี้ไปทางกลุ่มนักศึกษาที่กำลังยืนมุงกันอยู่ตรงทางเข้าอาคารเรียน และจงใจร้องตะโกนเสียงดังลั่นว่า
“แย่จังนะ! ฉันก็แค่พูดความจริงออกไปเท่านั้นเอง แล้วที่ฉันพูดมันผิดตรงไหนกัน? นายถูกไล่ออกจากการเป็นอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีน ไม่ว่านายจะปฏิเสธยังไง ความจริงก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ! นักศึกษาทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็เป็นพยานได้!”
ฉีเล่ยพยักหน้ายิ้มเยาะก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ผมถูกไล่ออกก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ทักษะทางการแพทย์ของผมจะอ่อนด้อยอย่างที่คุณกล่าวหานี่”
เป่ยจ้าวหยวนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องตลกที่สุดในชีวิต ก่อนจะตอบโต้สวนกลับไปทันที
“นี่นายปัญญาอ่อนไปแล้วรึไง? ตรรกะบ้าบออะไรของนาย! ในเมื่อแม้แต่วุฒิการศึกษายังไม่มี แล้วจะมีปัญญาสอนใครได้?”
ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆก็เอ่ยถ่ามขึ้นคำหนึ่งว่า
“ถ้าจำไม่ผิด คุณปู่ของคุณคือเป่ยเซินเทียนใช่ไหมครับ?”
“นายถามทำไม?”
“ช่วยเขียนที่อยู่ของคุณมาให้ผมที”
เป่ยจ้าวหยวนหรี่ตาลงจับจ้องฉีเล่ยอย่างระมัดระวังตัวพร้อมกับถามขึ้นว่า
“นี่นายคิดจะทำอะไร?”
ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปทันที
“ก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าวันไหนผมอารมณ์ดี กะว่าจะไปเยี่ยมเยียนคุณปูของคุณสักหน่อย จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันบ้าง”
เป่ยจ้าวหยวนได้แต่รู้สึกตลกขบขันอย่างยิ่งกับคำพูดของฉีเล่ย เขาหัวเราะเยาะพร้อมกับสบประมาทในทันที
“ฮ่าฮ่าๆๆ…นี่นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถึงบังอาจจะไปพบคุณปู่ของฉัน?”
แต่เป็นเพราะเวลานี้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เพื่อเป็นการรักษาหน้าตัวเอง เป่ยจ้าวหยวนจึงต้องหยิบนามบัตรของตนเองออกมายื่นให้กับฉีเล่ย พร้อมบอกกับเขาว่า
“ความจริงฉันเองก็ขอชื่นชมในความกล้าหาญของนายนะ แล้วฉันก็อยากจะให้โอกาสนายได้แสดงฝีมือเหมือนกัน ชักอยากจะเห็นแล้วสิว่า ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศจนแม้แต่เฒ่าหลินกับอาวุโสหลี่ถึงกับเอ่ยปากชมนั้น มันจะน่าทึ่งและอัศจรรย์ใจขนาดไหนกันเชียว? หวังว่านายจะรีบมาแสดงให้ดูนะ”
“แน่นอน รับรองว่าผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่!”
ฉีเล่ยรับนามบัตรเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อทันที
เป่ยจ้าวหยวนกล่าวต่อว่า
“หวังว่านายจะมาจริงๆนะ ที่นี่เป็นเมืองหลวงนะไม่ใช่หมู่บ้านเล็กๆในชนบทห่างไกล ที่นายจะได้เที่ยวหลอกใครเขาไปทั่วได้ ทุกคนค่อนข้างฉลาดมีหัวคิด ไม่ใช่ชาวบ้านตาดำๆแบบที่นายคุ้นชิน ดังนั้นถ้าทำให้พวกเราผิดหวังขึ้นมาจริงๆ นายคงไม่มีหน้าอยู่เมืองหลวงได้อีกต่อไปแน่ แล้วก็หวังว่าถ้ากลับบ้านนอกแล้วจะไม่กลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ”
ฉีเล่ยจึงได้แต่ถามสวนกลับไปทันที
“แล้วถ้าผมทำได้อย่างที่พูดล่ะ คุณมีอะไรมาเดิมพัน?”
เป่ยจ้าวหยวนจึงรีบเสนอขึ้นด้วยความมั่นอกมั่นใจทันที
“เอาเป็นว่าถ้าฉันแพ้ ฉันจะเลิกเป็นแพทย์แผนจีน แล้วก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับวงการนี้อีกต่อไป”
ฉีเล่ยหรี่ตาลงตอบเสียงขรึมว่า
“ถ้างั้นก็จดจำคำพูดของตัวเองพูดในวันนี้ไว้ให้ดีล่ะ”
ภายใต้สายตาหม่องหม่นของเป่ยจ้าวหยวนที่กำลังจับจ้องมา ฉีเล่ยเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ BMW ของหลี่ถงซีทันที จากนั้นหลี่ถงซีก็เหยียบคันเร่ง ทิ้งให้เป่ยจ้าวหยวนและบรรดานักศึกษาที่แห่กันเข้ามายืนดู ได้แต่จ้องมองท้ายรถที่ขับห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่ขับรถไป หลี่ถงซีก็ได้หันไปพูดกับฉีเล่ยว่า
“เขาเป็นแพทย์แผนจีนที่เก่งมากคนหนึ่งในเมืองหลวงเลยนะ”
แม้เธอจะขึ้นรถมาก่อน แต่ก็ยังแง้มกระจกแอบฟังบทสนทนาระหว่างฉีเล่ยกับเป่ยจ้าวหยวนอย่างเงียบๆ เธอจึงได้ยินที่พวกเขาสองคนเดิมพันกัน
ฉีเล่ยนั่งเอนหลังพักพิงเบาะนุ่ม ยกมือทั้งสองขึ้นผสานท้ายทอยอย่างสบายอารมณ์
ฉายาของเจ้าหมอนั่นคืออะไรนะ? เป่ยน้อยเทวะหรืออะไรสักอย่างสินะ?
ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นหลินหมิงจางหรือหลี่ฮั่วเฉิน กระทั่งเป่ยน้อยเทวะอะไรนั่น ระดับของฉันก็อยู่เหนือกว่าจนคนพวกนั้นอย่าหวังว่าจะสัมผัสได้ถึง
เข็มเทวะ? ชื่อเท่ดีหนิ? หลังจากโค่นแกด้วยเข็มในมือของฉันแล้ว ฉันก็จะขอใช้ฉายานี้ต่อเลยก็แล้วกัน!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง ฉีเล่ยก็ได้แต่ตอบกลับไปอย่างคร้านที่จะใส่ใจว่า
“เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม ถ้าให้เดาปู่ของเขาน่าจะมีฝีมือดีกว่าหลานชายอยู่บ้าง”
หลี่ถงซีเหลือบมองฉีเล่ยแววตาของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างมาก แต่เมื่อหันไปอีกทีก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ทั้งคู่จึงสบสายตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เหตุการณ์ไม่ทันตั้งตัวเกิดขึ้นฉับพลันแบบนี้ ทำเอาหัวใจของหลี่ถงซีถึงกับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าแกงก่ำขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
…..
ในห้องทำงานหัวหน้าคณะอาจารย์เต็มไปด้วยควันโขมงของบุหรี่ ซีลู่เฉิงโบกมือปัดควันสีขาวไปมาเพราะเริ่มรู้สึกฉุนจมูกจนแสบ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เลิกสูบได้แล้ว ตอนนี้มาช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาก่อนเถอะ ถ้ากลุ่มนักศึกษารุ่น6โดดเรียนยกชุดแบบนี้ แล้วพวกเราจะสอนต่อกันได้ยังไง?”
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดกันเลยสักคน
หากใครพูดหรือเสนอความคิดเห็นออกมาตอนนี้คงดูงี่เง่าน่าดู รองหัวหน้าคณะอาจารย์เกาฉินเหรินเอ่ยปากเสนอขึ้นท่ามกลางบรรยายกาศอันเงียบงันว่า
“ในความเห็นของผมนะ ก็แค่เชิญฉีเล่ยกลับมา มีหรือไม่มีวุฒิการศึกษาแล้วมันต่างกันยังไง? เราควรมาช่วยกันคิดดีกว่า ควรจะไปเชิญเขากลับมายังไง?”
เนื่องจากรองหัวหน้าคณะอาจารย์เกาฉินเหรินไม่ได้มีข้อขัดแย้งใดๆกับฉีเล่ย อีกทั้งยังไม่ทราบถึงข้อพิพาทระหว่างฉีเล่ย, ซีลู่เฉิงและหม่ารุ่ยด้วย เขาจึงเน้นความสนใจทั้งหมดไปที่วิธีแก้ปัญหาเป็นหลัก ซึ่งหนทางก็ง่ายมาก ในเมื่อไล่เขาออกไปแล้วมีปัญหา ก็แค่เชิญกลับมาสอนใหม่เท่านั้นเอง
เงินเดือนก็จ่ายเท่าเดิม สวัสดิการก็เหมือนเดิม ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย?
และในเมื่อเด็กนักศึกษาทุกคนต่างก็รักและเคารพในตัวฉีเล่ยมากขนาดนี้ ก็แค่ให้เขากลับมาสอนก็สิ้นเรื่อง