ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 138 เดิมพัน

ตอนที่138 เดิมพัน

หลี่ถงซีเป็นโรคกลัวผู้ชาย แม้ตอนนี้เธอจะหายจากอาการดังกล่าวแล้ว แต่ตลอดที่ผ่านมาเป็นเวลาหลายปี พฤติกรรมของเธอที่มักจะพยายามหลีกเลี่ยงการพบปะกับเพศต่างข้ามอยู่เสมอ ก็ได้ทำให้เธอติดเป็นนิสัยแล้ว ยังไม่รวมถึงอุปนิสัยเย็นชาเป็นทุนเดิมของเธออีก

เวลานี้เมื่อจู่ๆ ก็มีชายแปลกหน้ามาคุกเข่ามอบช่อกุหลาบให้ต่อหน้าสาธารณะชนแบบนี้ เธอจะไม่รู้สึกรังเกียจได้อย่างไรกัน?

หากเป็นผู้หญิงปกติทั่วไป จู่ๆก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอย่างเป่ยจ้าวหยวนหอบกุหลาบช่อใหญ่มาคุกเข่าตรงหน้า มิหนำซ้ำยังมีรถสปอร์ตคันหรูจอดอยู่ด้านหลังประกอบฉากด้วย เพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามได้แล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น ในสายตาของหลี่ถงซีผู้ซึ่งนับเป็นผู้ป่วยทางจิตมานานตลอดหลายปี และเคยชินกับพฤติกรรมกีดกันหลีกห่างเพศตรงข้าม การมาทำเรื่องแบบนี้อย่างโจ่งแจ้ง จึงนับเป็นการกระทำที่ต่ำทรามและน่าอายสำหรับเธออย่างไม่ต้องสงสัย

น่ารังเกียจที่สุด!

นี่คือทัศนคติของหลี่ถงซีที่มีต่อผู้ชายทุกคน

ไม่เว้นแม้แต่ฉีเล่ยเช่นกัน หากเขาเลือกที่จะทำแบบเดียวกับเป่ยจ้าวหยวน

จึงแทบไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างเป่ยจ้าวหยวนที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าเธอ มีหรือที่หลี่ถงซีจะยอมไว้หน้า?

ผู้หญิงแต่ละคนไม่เหมือนกัน พวกเธอเป็นสิ่งมีชีวิตเจ้าอารมณ์ ถ้ารู้สึกเกลียดขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่าหวังว่าจะได้คบหากันเลย แม้แต่เพื่อนร่วมโลกยังไม่มีโอกาสจะเป็นได้

และดูเหมือนว่าหลี่ถงซีเองก็จะเป็นผู้หญิงประเภทดังกล่าวนี้

เป่ยจ้าวหยวนอุตส่าห์ใช้เวลาตลอดสองวันเพื่อเลือกหากุหลาบช่อนี้มาให้ ถึงจะไม่เปิดใจในทันทีทันใด แต่อย่างน้อยก็น่าจะรับไว้บ้าง ซึ่งแสดงว่าเขายังพอมีโอกาส?

เป่ยจ้าวหยวนรู้สึกหลงใหลหลี่ถงซีตั้งแต่แรกพบอย่างจริงจัง เขาพยายามอธิบายให้เธอฟังว่า

“ถงซี นี่คุณจำผมไม่ได้เหรอครับ? ผมไปหาคุณปู่คุณที่บ้านเมื่อวันก่อนยังไงล่ะ อันที่จริงก่อนหน้านี้ผมก็เคยส่งช่อดอกไม้มาให้คุณแล้วครั้งหนึ่ง พร้อมการ์ดเชิญไปดินเนอร์ยังไงครับ แต่สุดท้ายคุณก็ไม่มา…”

หลี่ถงซีตอบกลับด้วยใบหน้าเฉยเมย

“อ่อเหรอ พอดีคุณไม่ใช่คนสำคัญน่ะ ฉันก็เลยจำไม่ได้”

ทันทีที่พูดจบเธอก็เดินตรงไปที่รถของตัวเอง เตรียมเปิดประตูขึ้นไปนั่งโดยไม่มีแม้แต่จะเหลียวมองชายหนุ่มอีกเลย

เป่ยจ้าวหยวนรีบเดินตามเธอไปทันที เขาพยายามสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็เร่งฝีเท้าตรงเข้าไปขวางหน้าไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ผมเข้าใจครับว่ามันอาจจะกะทันหันไปหน่อย แต่ผมชอบคุณตั้งแต่แรกเห็นจริงๆนะครับ”

เป่ยจ้าวหยวนยังคงบรรยายความรู้สึกของตัวเองต่อ

“บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหารักแท้ และกว่าจะเข้าใจว่า ความรักที่สวยงามที่สุดของตัวเองนั้นกลับอยู่ใกล้ตัวเพียงชำเลืองมอง ก็สายเกินไปเสียแล้ว ผมอาจจะทำเกินควรจนดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่ความรักที่ผมมีให้คุณมันคือความรู้สึกจริงๆจากใจนะครับ คุณถงซีครับ ได้โปรด…ให้โอกาสผมสักครั้งได้ไหมครับ?”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เป่ยจ้าวหยวนก็ปรายตามองฉีเล่ยด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว ก่อนจะพูดกับหลี่ถงซีต่อว่า

“ผมไม่ได้หวังให้คุณยอมรับผมในทันทีที่พบเจอกัน ผมยินดีที่จะรอเสมอครับ แต่ผมไม่ต้องการให้คุณถูกผู้ชายคนอื่นหลอก!”

ขนตางอนยาวของหลี่ถงซีถึงกับสั่นกระเพื่อมเล็กน้อย เธอเอ่ยถามขึ้นทันที

“คุณหมายความว่ายังไง?”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาเล็กๆน้อยๆของเธอที่เริ่มแสดงออกมา ฉีเล่ยก็ตระหนักได้ทันทีว่า หญิงสาวใกล้จะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว ใจหนึ่งก็รู้สึกอยากเข้าไปห้ามเป่ยจ้าวหยวนก่อนที่ระเบิดลูกใหญ่จะหล่มตูมลงใส่เหมือนกัน แต่อีกใจก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะเข้าไปยุ่ง

ในทางกลับกัน เป่ยจ้าวหยวนที่สังเกตเห็นว่า หลี่ถงซีเริ่มมีปฏิกิริยาสนอกสนใจที่จะพูดตอบโต้กับตนนั้น ก็พลันคิดไปว่านี่เป็นโอกาสของเขาแล้ว!

ดังนั้นเป่ยจ้าวหยวนจึงยกมือขึ้นชี้ไปทางฉีเล่ย พร้อมกับตวาดเสียงดังลั่น

“ไอ้หมอนั่นยังไงล่ะครับ! มันแกล้งปลอมเป็นแพทย์แผนจีนแล้วแอบเข้ามาสอนในมหาวิทยาลัย แล้วรู้อะไรไหมครับ…ปัจจุบันเขาถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว! ถงซีคุณควรรู้เรื่องนี้เอาไว้ด้วย! อย่าปล่อยให้คนแบบนี้เข้ามาหลอกอะไรคุณได้อีกนะครับ ที่ผมต้องพูดตรงๆแบบนี้ เพราะผมเป็นห่วงคุณจริงๆครับ!!”

หลี่ถงซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าเดิม

“นี่คุณพูดจบรึยัง?”

เป่ยจ้าวหยวนพยักหน้าตอบ

“จบแล้วครับ”

“งั้นก็หุบปากได้แล้ว น่ารำคาญที่สุด”

เป่ยจ้าวหยวนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขากำลังยืนขวางทางไม่ให้หลี่ถงซีก้าวขึ้นรถได้ การกระทำเช่นนี้ของเขาอาจจะดูเกินงามไปหน่อย เขาจึงรีบถอยหนีออกมาทันที

หลี่ถงซีเปิดประตูก้าวขึ้นรถโดยไม่แยแสเป่ยจ้าวหยวนเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงได้กดเปิดกระจกหน้าต่างฝั่งข้างคนขับ พร้อมกับเอ่ยปากเรียกฉีเล่ยให้ขึ้นรถ

“มัวยืนนิ่งอะไรอยู่? จะกลับบ้านไหม?”

แม้ภายในน้ำเสียงของหลี่ถงซีจะเจือผสมความเย็นชาอยู่เล็กน้อย แต่ถ้าตาไม่บอดก็คงจะต้องสังเกตเห็นถึงสัมพันธ์ภาพบางอย่างระหว่างเธอกับฉีเล่ยได้

ฉีเล่ยไม่ได้เดินขึ้นรถทันที แต่ชะโงกหน้าไปหาเป่ยจ้าวหยวนพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ขอบอกตามตรงเลยนะครับ ผมเริ่มรู้สึกชอบคุณขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าจะพูดจาใส่ร้ายคนอื่นในระยะเผาขนขนาดนี้ ก็นับว่าคุณเลวไม่น้อยเลย”

เป่ยจ้าวหยวนยกมือขึ้นชี้ไปทางกลุ่มนักศึกษาที่กำลังยืนมุงกันอยู่ตรงทางเข้าอาคารเรียน และจงใจร้องตะโกนเสียงดังลั่นว่า

“แย่จังนะ! ฉันก็แค่พูดความจริงออกไปเท่านั้นเอง แล้วที่ฉันพูดมันผิดตรงไหนกัน? นายถูกไล่ออกจากการเป็นอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีน ไม่ว่านายจะปฏิเสธยังไง ความจริงก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ! นักศึกษาทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็เป็นพยานได้!”

ฉีเล่ยพยักหน้ายิ้มเยาะก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ผมถูกไล่ออกก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ทักษะทางการแพทย์ของผมจะอ่อนด้อยอย่างที่คุณกล่าวหานี่”

เป่ยจ้าวหยวนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องตลกที่สุดในชีวิต ก่อนจะตอบโต้สวนกลับไปทันที

“นี่นายปัญญาอ่อนไปแล้วรึไง? ตรรกะบ้าบออะไรของนาย! ในเมื่อแม้แต่วุฒิการศึกษายังไม่มี แล้วจะมีปัญญาสอนใครได้?”

ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆก็เอ่ยถ่ามขึ้นคำหนึ่งว่า

“ถ้าจำไม่ผิด คุณปู่ของคุณคือเป่ยเซินเทียนใช่ไหมครับ?”

“นายถามทำไม?”

“ช่วยเขียนที่อยู่ของคุณมาให้ผมที”

เป่ยจ้าวหยวนหรี่ตาลงจับจ้องฉีเล่ยอย่างระมัดระวังตัวพร้อมกับถามขึ้นว่า

“นี่นายคิดจะทำอะไร?”

ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปทันที

“ก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าวันไหนผมอารมณ์ดี กะว่าจะไปเยี่ยมเยียนคุณปูของคุณสักหน่อย จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันบ้าง”

เป่ยจ้าวหยวนได้แต่รู้สึกตลกขบขันอย่างยิ่งกับคำพูดของฉีเล่ย เขาหัวเราะเยาะพร้อมกับสบประมาทในทันที

“ฮ่าฮ่าๆๆ…นี่นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถึงบังอาจจะไปพบคุณปู่ของฉัน?”

แต่เป็นเพราะเวลานี้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เพื่อเป็นการรักษาหน้าตัวเอง เป่ยจ้าวหยวนจึงต้องหยิบนามบัตรของตนเองออกมายื่นให้กับฉีเล่ย พร้อมบอกกับเขาว่า

“ความจริงฉันเองก็ขอชื่นชมในความกล้าหาญของนายนะ แล้วฉันก็อยากจะให้โอกาสนายได้แสดงฝีมือเหมือนกัน ชักอยากจะเห็นแล้วสิว่า ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศจนแม้แต่เฒ่าหลินกับอาวุโสหลี่ถึงกับเอ่ยปากชมนั้น มันจะน่าทึ่งและอัศจรรย์ใจขนาดไหนกันเชียว? หวังว่านายจะรีบมาแสดงให้ดูนะ”

“แน่นอน รับรองว่าผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่!”

ฉีเล่ยรับนามบัตรเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อทันที

เป่ยจ้าวหยวนกล่าวต่อว่า

“หวังว่านายจะมาจริงๆนะ ที่นี่เป็นเมืองหลวงนะไม่ใช่หมู่บ้านเล็กๆในชนบทห่างไกล ที่นายจะได้เที่ยวหลอกใครเขาไปทั่วได้ ทุกคนค่อนข้างฉลาดมีหัวคิด ไม่ใช่ชาวบ้านตาดำๆแบบที่นายคุ้นชิน ดังนั้นถ้าทำให้พวกเราผิดหวังขึ้นมาจริงๆ นายคงไม่มีหน้าอยู่เมืองหลวงได้อีกต่อไปแน่ แล้วก็หวังว่าถ้ากลับบ้านนอกแล้วจะไม่กลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ”

ฉีเล่ยจึงได้แต่ถามสวนกลับไปทันที

“แล้วถ้าผมทำได้อย่างที่พูดล่ะ คุณมีอะไรมาเดิมพัน?”

เป่ยจ้าวหยวนจึงรีบเสนอขึ้นด้วยความมั่นอกมั่นใจทันที

“เอาเป็นว่าถ้าฉันแพ้ ฉันจะเลิกเป็นแพทย์แผนจีน แล้วก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับวงการนี้อีกต่อไป”

ฉีเล่ยหรี่ตาลงตอบเสียงขรึมว่า

“ถ้างั้นก็จดจำคำพูดของตัวเองพูดในวันนี้ไว้ให้ดีล่ะ”

ภายใต้สายตาหม่องหม่นของเป่ยจ้าวหยวนที่กำลังจับจ้องมา ฉีเล่ยเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ BMW ของหลี่ถงซีทันที จากนั้นหลี่ถงซีก็เหยียบคันเร่ง ทิ้งให้เป่ยจ้าวหยวนและบรรดานักศึกษาที่แห่กันเข้ามายืนดู ได้แต่จ้องมองท้ายรถที่ขับห่างออกไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างที่ขับรถไป หลี่ถงซีก็ได้หันไปพูดกับฉีเล่ยว่า

“เขาเป็นแพทย์แผนจีนที่เก่งมากคนหนึ่งในเมืองหลวงเลยนะ”

แม้เธอจะขึ้นรถมาก่อน แต่ก็ยังแง้มกระจกแอบฟังบทสนทนาระหว่างฉีเล่ยกับเป่ยจ้าวหยวนอย่างเงียบๆ เธอจึงได้ยินที่พวกเขาสองคนเดิมพันกัน

ฉีเล่ยนั่งเอนหลังพักพิงเบาะนุ่ม ยกมือทั้งสองขึ้นผสานท้ายทอยอย่างสบายอารมณ์

ฉายาของเจ้าหมอนั่นคืออะไรนะ? เป่ยน้อยเทวะหรืออะไรสักอย่างสินะ?

ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นหลินหมิงจางหรือหลี่ฮั่วเฉิน กระทั่งเป่ยน้อยเทวะอะไรนั่น ระดับของฉันก็อยู่เหนือกว่าจนคนพวกนั้นอย่าหวังว่าจะสัมผัสได้ถึง

เข็มเทวะ? ชื่อเท่ดีหนิ? หลังจากโค่นแกด้วยเข็มในมือของฉันแล้ว ฉันก็จะขอใช้ฉายานี้ต่อเลยก็แล้วกัน!

หลังจากครุ่นคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง ฉีเล่ยก็ได้แต่ตอบกลับไปอย่างคร้านที่จะใส่ใจว่า

“เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม ถ้าให้เดาปู่ของเขาน่าจะมีฝีมือดีกว่าหลานชายอยู่บ้าง”

หลี่ถงซีเหลือบมองฉีเล่ยแววตาของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างมาก แต่เมื่อหันไปอีกทีก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ทั้งคู่จึงสบสายตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ

เหตุการณ์ไม่ทันตั้งตัวเกิดขึ้นฉับพลันแบบนี้ ทำเอาหัวใจของหลี่ถงซีถึงกับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าแกงก่ำขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

…..

ในห้องทำงานหัวหน้าคณะอาจารย์เต็มไปด้วยควันโขมงของบุหรี่ ซีลู่เฉิงโบกมือปัดควันสีขาวไปมาเพราะเริ่มรู้สึกฉุนจมูกจนแสบ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน

“เลิกสูบได้แล้ว ตอนนี้มาช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาก่อนเถอะ ถ้ากลุ่มนักศึกษารุ่น6โดดเรียนยกชุดแบบนี้ แล้วพวกเราจะสอนต่อกันได้ยังไง?”

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดกันเลยสักคน

หากใครพูดหรือเสนอความคิดเห็นออกมาตอนนี้คงดูงี่เง่าน่าดู รองหัวหน้าคณะอาจารย์เกาฉินเหรินเอ่ยปากเสนอขึ้นท่ามกลางบรรยายกาศอันเงียบงันว่า

“ในความเห็นของผมนะ ก็แค่เชิญฉีเล่ยกลับมา มีหรือไม่มีวุฒิการศึกษาแล้วมันต่างกันยังไง? เราควรมาช่วยกันคิดดีกว่า ควรจะไปเชิญเขากลับมายังไง?”

เนื่องจากรองหัวหน้าคณะอาจารย์เกาฉินเหรินไม่ได้มีข้อขัดแย้งใดๆกับฉีเล่ย อีกทั้งยังไม่ทราบถึงข้อพิพาทระหว่างฉีเล่ย, ซีลู่เฉิงและหม่ารุ่ยด้วย เขาจึงเน้นความสนใจทั้งหมดไปที่วิธีแก้ปัญหาเป็นหลัก ซึ่งหนทางก็ง่ายมาก ในเมื่อไล่เขาออกไปแล้วมีปัญหา ก็แค่เชิญกลับมาสอนใหม่เท่านั้นเอง

เงินเดือนก็จ่ายเท่าเดิม สวัสดิการก็เหมือนเดิม ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย?

และในเมื่อเด็กนักศึกษาทุกคนต่างก็รักและเคารพในตัวฉีเล่ยมากขนาดนี้ ก็แค่ให้เขากลับมาสอนก็สิ้นเรื่อง

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset