ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 139 ไอ้หมาป่าเจ้าเล่ห์

ตอนที่139 ไอ้หมาป่าเจ้าเล่ห์

หัวหน้าคณะอาจารย์อีกคนได้ยินแบบนั้นจึงได้กล่าวย้ำเพิ่มเติมไปว่า

“คุณพูดมาก็ถูก อาจารย์ฉีเป็นที่นิยมมากในหมู่เด็กนักศึกษา ซึ่งนี่…ก็พิสูจน์แล้วว่าเขามีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นอาจารย์”

รองหัวหน้าคณะอาจารย์กัวที่ได้ยินแบบนั้นก็กล่าวเสริมขึ้นอีกแรง

“ถึงใบวุฒิการศึกษาจะเป็นปัญหาก็จริง แต่ปัญหาข้อนี้ใช่ว่าจะแก้ไม่ได้ซะทีเดียว ดังนั้นในความคิดของผม เราไม่ควรไปกระตุ้นเด็กนักศึกษาให้เกลียดมหาวิทยาลัยโดยไม่จำเป็น”

เมื่อเห็นว่ามีผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยถึงสามคนที่เห็นด้วยกับการเชิญฉีเล่ยกลับมาสอน ตาแก่ซงที่เข้าร่วมฟังการหารือด้วยก็ถึงกับกังวลใจขึ้นมาทันที

แต่ถ้ากลับลำไปเชิญไอ้เด็กไร้สัมมาคาราวะนั่นกลับมาสอนจริงๆ นี่ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเองหรอกเหรอ? อีกอย่าง ในวันที่ฉีเล่ยสอนวันสุดท้ายนั้น เขาเองก็ได้พูดกระแนะกระแหนแดกดันชายหนุ่มไปตั้งมากมาย

อีกทั้งในการสอนวันสุดท้ายของฉีเล่ย เขาเองก็ได้พูดกับทุกคนอย่างไม่แยแสและเย่อหยิ่งที่ต้องถูกไล่ออก

ตาแก่ซงต้องการรักษาหน้าตาและศักดิ์ศรีของตนเองไว้ ภายในใจลึกๆจึงไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากประการแรกตรงหน้าเขาเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่โตของมหาวิทยาลัยทั้งนั้น เขาเองเป็นเพียงแค่อาจารย์แก่ๆคนหนึ่ง จะมีสิทธิ์มีเสียงอะไร และประการที่สอง สาเหตุที่กลุ่มนักศึกษาแสดงท่าทีต่อต้านรุนแรงขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาด้วย ถ้าตอนนั้นเขาไม่ไล่เด็กนักศึกษาออกจากคลาสแบบนั้น เรื่องราวก็คงจะไม่บานปลายขนาดนี้แน่ สุดท้ายแล้วเขาจึงทำได้เพียงแค่นั่งหุบปากฟังนิ่งๆเท่านั้น

ซีลู่เฉิงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงพูดต่อว่า

“งั้นผมขอเลื่อนการหารือเรื่องนี้ออกไปก่อนก็แล้วกัน จะให้ตัดสินใจดำเนินการทันทีโดยไม่ไตร่ตรองก็คงจะไม่ได้ ยังไงผมก็ขอกลับไปคิดทบทวนดูก่อน”

หลังจากที่ทุกคนเดินออกไปแล้ว ซีลู่เฉิงก็จัดการปิดประตูห้องทำงานของตนเอง ก่อนจะเดินไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมากดโทรหาเลขหมายที่คุ้นเคย

หลังจากที่อีกฝ่ายกดรับสายแล้ว ซีลู่เฉิงก็ได้กล่าวขึ้นด้วยความละอายใจว่า

“รัฐมนตรีหม่าครับ ตอนนี้เกิดปัญหาในที่ค่อนข้างจัดการได้ยากขึ้นแล้วครับ…”

“มีคนเข้ามาขอร้องแทนอีกแทนงั้นเหรอ? ซีลู่เฉิง แรงกดดันแค่นี้คุณต้องทนให้ไหว เป็นถึงหัวหน้าคณะอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีน ต้องรู้จักหัดรับผิดชอบต่ออนาคตของนักศึกษามากกว่านี้”

“รัฐมนตรีหม่า มีคนจากหน่วยงานรัฐแทบทุกฝ่ายที่แห่กันเข้ามาออกหน้าแทนเขา ถ้าเรื่องนี้แดงขึ้นมา การจะปิดปากของคนพวกนั้นให้หมดมันแทบเป็นไปไม่ได้ แล้วที่สำคัญ นักศึกษาพวกนั้นก็ไม่เต็มใจที่จะเรียนต่อเช่นในมหาวิทยาลัยเช่นกันกันถ้าไม่มีฉีเล่ย?”

“ไม่เต็มใจเรียนงั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ นี่ผมเองก็ได้พยายามรับสมัครอาจารย์ใหม่เข้ามาสอนวิชานี้หลายคนแล้ว แต่พวกเขาเหล่านั้นล้วนถูกนักศึกษากลุ่มนี้ขับไล่ไปจนไม่มีเหลือ ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ก็เคยเกิดขึ้นก่อนที่ฉีเล่ยจะเข้ามาสอนอีกนะครับ! แล้วตอนนี้…ฉีเล่ยถูกไล่ออกไปแล้ว พวกนักศึกษาก็ยิ่งพยศกันไปใหญ่”

ซีลู่เฉิงได้แต่ทำสีหน้าหนักอกหนักใจ หากไม่ใช่เพราะหัวเรือใหญ่ระดับรัฐมนตรีหม่าออกคำสั่งการเอง มีหรือที่เขาจะทนให้เด็กนักศึกษากลุ่มนี้ถอนหงอกอยู่ได้

“ไอ้เด็กเหลือขอพวกนี้มันยังไง! จงใจสร้างปัญหาให้กับทางมหาวิทยาลัยชัดๆ กล้าดียังไงถึงกับมาเที่ยวไล่ครูบาอาจารย์แบนี้ ส่วนคุณเองก็จะนิ่งเฉยอยู่แบบนี้ ไม่คิดที่จะทำอะไรเลยงั้นเหรอ?

ซีลู่เฉิงได้แต่ตอบกลับด้วยสีหน้าขมขื่นใจ

“ผมเคยทำแล้วครับ ผมเคยขู่เด็กๆพวกนั้นไปแล้วรอบหนึ่ง แต่…แต่ก็ไม่ได้ผลเลยครับ”

ปรากฏว่าเช้านี้ อาจารย์วิชา’การวินิจฉัย’คนใหม่ที่เขาเพิ่งจะรับเข้ามา ก็โดนกลุ่มนักศึกษาขับไล่ออกไปอีกแล้ว เพื่อที่จะพยายามซื้อใจเด็กนักศึกษาเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด ซีลู่เฉิงถึงกับลงทุนไปเชิญอดีตหัวหน้าภาคสาขาแพทย์แผนจีนจากมหาวิทยาลัยในเครือให้มาสอนด้วยตนเอง คนผู้นี้นับได้ว่าเป็นปรมาจารย์แห่งวงการนี้อีกคนเช่นกัน

แต่ถึงอย่างนั้น…นักศึกษากลุ่มนี้กลับไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

เมื่อพบว่าอาจารย์คนใหม่ถูกไล่ตะเพิดออกไปอีกครั้ง ซีลู่เฉิงถึงกับตกใจจนแทบหัวใจวาย เขาโกรธจัดจนคิดอะไรไม่ออก วิ่งบุกเข้าไปถึงห้องเรียนพร้อมกับร้องตะโกนขู่ลั่นว่า ใครก็ตามที่กล้าสร้างปัญหาอีกจะต้องโดนไล่ออก และให้พ้นสภาพจากการเป็นนักศึกษาในทันที

แต่ใครจะไปคิดว่า กลับมีเด็กสาวร่างสูงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเขา พร้อมกับร้องตะโกนท้าทายกลับอย่างไม่เกรงกลัว

“หนูเป็นหัวโจกที่ไล่อาจารย์ใหม่ออกไปเองค่ะ ถ้าข้องใจอะไรก็เชิญไล่หนูออกได้เลย”

คงจะพอทำเนาหากมีเพียงเด็กสาวคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่กล้ายืนขึ้นท้าทายเขา แต่ที่ไหนได้หลังจากที่เด็กสาวคนนี้พูดจบ นักศึกษาทั้งหมดในห้องต่างก็พากันลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนต่างก็เสนอตัวให้ทางมหาวิทยาลัยขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด นับรวมแล้วก็เป็นร้อยชีวิตได้

หลังจากที่ซีลู่เฉิงได้รายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังแล้ว ปลายสายก็พลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

กระทั่งผ่านไปหลายอึดใจ อีกฝ่ายจึงได้พูดขึ้นมาว่า

“เรื่องแบบนี้ คุณน่าจะคิดหาหนทางแก้ปัญหาเองได้”

ซีลู่เฉิงรีบเอ่ยปากขอโทษ น้ำสียงอ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้

“ผมต้องขอโทษจริงๆครับรัฐมนตรีหม่า”

แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย เขาจึงต้องกดวางสายทิ้งไป

……………

ฉีเล่ยเพิ่งกลับมาถึงบ้านสกุลหลี่พอดี และทันทีที่เขาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น หลังจากจ้องมองหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยบนหน้าจอด้วยความสงสัยเล็กน้อย ฉีเล่ยก็กดรับสาย

ปลายสายมีเสียงหญิงสาวดังขึ้นว่า

“สวัสดีค่ะ อาจารย์ฉี ดิฉันเองค่ะ เสมียนในห้องพักอาจารย์ เสี่ยวเกอ จำได้รึเปล่าค่ะ?”

“โอ้? เสี่ยวเกอเองเหรอ? ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะครับ”

ความประทับใจแรกเห็นของเขาที่มีต่อเสี่ยวเกอนั้นค่อนข้างดีไม่น้อย ขณะที่อาจารย์แพทย์แผนจีนในห้องพักอาจารย์ต่างจับกลุ่มกันนินทาผู้คน กลับมีเพียงเสมียนสาวตัวน้อยเท่านั้นที่ไม่เข้าร่วมวงสนทนาด้วย ตรงกันข้าม เธอมักจะส่งรอยยิ้มสดใสให้กับทุกคนเสมอ และไม่เคยพูดนินทาใครเลยแม้แต่น้อย

เสี่ยวเกอเอ่ยปากพูดต่อทันที

“อาจานย์ฉีค่ะ คือว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีขอให้ดิฉันโทรหาคุณเพื่อแจ้งเรื่องสำคัญน่ะค่ะ”

มีหรือที่ฉีเล่ยจะไม่รู้เท่าทันว่ามันคือเรื่องอะไร เขาแสยะยิ้มบางแล้วแสร้งทำเป็นเอ่ยถามราวกับคนใสซื่อ

“เรื่องอะไรงั้นเหรอครับ?”

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซีบอกกับดิฉันว่า เขาต้องการให้อาจารย์ฉีกลับไปสอนที่มหาวิทยาลัยตามเดิมค่ะ ส่วนรายละเอียดนอกเหนือจากนั้นดิฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ อาจารย์ฉีคะ ไม่ทราบว่าบ่ายสามวันนี้ว่างไหมคะ? ถ้าไม่ติดขัดอะไร รบกวนอาจารย์ฉีมาพบหัวหน้าคณะอาจารย์ซีที่มหาวิทยาลัยหน่อยจะได้มั๊ยคะ?

“ผมไม่สะดวกใจที่จะไปครับ เหตุผลข้อแรก ผมคิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก เพราะผมถูกไล่ออกจากการเป็นอาจารย์ของทางมหาวิทยาลัยแล้ว จะให้กลับเข้าไปพบหัวหน้าคณะอาจารย์แบบนั้นคงจะไม่สนิทใจเท่าไหร่ เหตุผลข้อที่สอง ผมไม่ใช่อาจารย์ และผมก็ไม่มีแม้แต่ใบวุฒิการศึกษา โดยหลักแล้ว ภายใต้กฎระเบียบของทางมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะกับมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งที่มีชื่อเสียงแบบนี้ จะให้ผมฝ่าฝืนกฏระเบียบไปสอนนักศึกษาได้ยังไงล่ะครับ?”

“อาจารย์ฉี…นี่หมายความว่ายังไงคะ?”

ฉีเล่ยหยุดนิ่งเม้มริมฝีปากครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มกว้างตอบกลับไปว่า

“อย่างที่บอกเลยครับ ผมไม่กล้าแบกหน้าไปที่มหาวิทยาลัยหรอกครับ ถ้าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีอยากจะคุยกับผมจริงๆ ก็ให้เขามาหาผมที่บ้านก็แล้วกัน”

“โอ้? ได้เลยค่ะอาจารย์ฉี เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งให้หัวหน้าคณะอาจารย์ซีทราบค่ะ”

ตู๊ด….

ซีลู่เฉิงถึงกับสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินคำรายงานของเสี่ยวเกอ เขาแทบจะโยนกระติกน้ำร้อนตรงหน้าที่เพิ่งซื้อมาทิ้งลงกันพื้น เขาทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดใจในเวลาเดียวกัน หลังจากนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ในห้องทำงานคนเดียวจนถึงบ่ายสอง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ รีบลุกขึ้นคว้ากุญแจรถบนโต๊ะแล้วเดินลงอาคารไปอย่างรวดเร็ว

รถแล่นเข้ามาหยุดอยู่หน้าบ้านสกุลหลี่ แต่ถึงอย่างนั้นซีลู่เฉิงก็ยังไม่กล้าเข้าไปอยู่ดี

อีกอย่าง ก่อนจะเข้าไปเขาก็ต้องแจ้งกับคนรับใช้ในบ้านถึงจุดประสงค์ที่มาก่อนอยู่ดี แล้วจะให้เขาบอกว่าอะไร? ‘อ่อ…ผมมาขอโทษลูกน้องที่เคยทำตัวไม่ดีไว้ครับ’ อย่างนี้น่ะเหรอ?

ยิ่งไปกว่านั้น คิดเหรอว่าคนอย่างฉีเล่ยจะยอมให้หน้าเขา? ทันทีที่พบหน้า ฉีเล่ยคงจะพูดจาถากถางเขาไม่หยุดแน่! ถึงตอนนั้น เขาคงไม่เหลือหน้าให้แบกกลับออกมาได้อีกกระมัง?

ก่อนหน้านี้ฉีเล่ยเคยพูดว่าอะไรนะ?

หมอนั่นบอกว่า ชีวิตตัวเองไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินทอง แล้วเงินเดือนจากการเป็นอาจารย์ก็แค่เศษเงินเท่านั้น

ในเมื่อรวยขนาดนั้น แล้วจะมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือทำไม?

สู้ไปทำตัวเป็นเซเลปใช้ชีวิตหรูหรา หรือไม่ก็ไปเป็นดาราเดินเฉิดฉายในงานสังคมเล่นดีกว่าไหม?

แล้วถ้าอยากจะเป็นอาจารย์ทั้งทีก็ช่วยทำตัวให้ไม่มีปัญหาจะได้ไหม? ไม่ใช่พอเข้ามาได้ไม่กี่วันก็เที่ยวสร้างความขุ่นเคืองให้กับคนอื่นไปทั่วแบบนี้ จริงไหม?

“เอาล่ะ! ฉันมาที่นี่เพื่อขอโทษอาจารย์สุดที่รักของนักศึกษาทุกคน!”

ซีลู่เฉิงบอกกับตัวเอง เขาพยายามฝืนยิ้มอย่างสุดสุดกำลังขณะเดินลงจากรถ ก่อนจะตรงเข้าไปกดกริ่งหน้าบ้านทันที

“สวัสดีค่ะ? ไม่ทราบมาหาใครคะ?”

สาวใช้วัยกลางคน ซึ่งเป็นแม่บ้านประจำของหลี่ฮั่วเฉินเป็นคนเดินออกมาต้อนรับพร้อมกับเอ่ยถาม

ซีลู่เฉิงยิ้มตอบทันทีว่า

“สวัสดีครับ อาจารย์ฉีอยู่ที่นี่รึเปล่าครับ?”

“โอ้? ใช่คนที่มีนัดกับคุณฉีวันนี้รึเปล่าค่ะ?”

“ใช่ครับ ผมเป็นหัวหน้าคณะอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง ซีลู่เฉิงครับ”

เมื่อได้โอกาสซีลู่เฉิงจึงรีบชิงแนะนำตัวขึ้นทันที ภายในใจลึกๆเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ต้องมีแม่บ้านมายืนตั้งคำถามตนเองแบบนี้

แม่บ้านกล่าวตอบเพียงแค่ว่า

“รอสักครู่นะคะ คุณฉีกำลังพักผ่อนอยู่ชั้นบน เดี๋ยวดิฉันต้องขึ้นไปถามก่อนค่ะ”

ซีลู่เฉิงแทบอยากจะเดินกลับขึ้นรถแล้วขับออกไปจากที่นี่ทันที

ฉีเล่ยมันจะหยิ่งจองหองมากเกินไปแล้ว! นี่มันคิดว่าตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีรึไง? ถึงได้ต้องมีพิธีรีตองขนาดนี้?

หลังจากยืนรออยู่หน้าประตูบ้านได้ราวห้านาที แม่บ้านคนนั้นก็วิ่งลงไปเปิดประตูออโต้หน้าบ้านให้ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ขอประทานโทษที่ให้รอนานนะคะ คุณฉีเชิญให้คุณเข้าพบที่ห้องรับแขกได้เลยค่ะ”

ซีลู่เฉิงพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง พร้อมกับเดินตามแม่บ้านที่เดินนำไปล่วงหน้า พอเข้าไปถึงภายในบ้านก็พบว่าฉีเล่ยกำลังเล่นเกมมือถืออยู่อย่างสนุกสนาน ซึ่งเกมนี้เป็นเกมที่เหอจื่อแนะนำให้เขาเล่น เธอยังบอกอีกว่า นี่เป็นเกมที่นักศึกษาทุกคนในคลาสกำลังนิยมกันอย่างมาก ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากได้ฟังเหอจื่อพูดเขาก็รีบกดดาวน์โหลดทันที หลังจากสมัครเขาก็เริ่มแอดกลุ่มนักศึกษาเป็นเพื่อนในเกม และพบว่าแต่ละคนมีแรงค์ประจำตัวระดับแพลตตินั่มทั้งนั้น บางคนก็ถึงกับอยู่ในแรงค์ไดมอนทีเดียว

ส่วนเขาน่ะเหรอ? ไม่มีแรงค์! ซึ่งเขายอมไม่ได้!

แต่หลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไป ประกอบกับความตั้งใจจริงจัง ในที่สุดเขาก็สามารถไต่ขึ้นมาอยู่ในระดับแพลตตินั่มได้อย่างไม่ทันตั้งตัว ซึ่งนั่นทำให้ฉีเล่ยมีความสุขอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีได้มายืนรออยู่หน้าประตูห้องรับแขกแล้ว เขาก็เอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทันที

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซีไม่เห็นจะต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้นี่ครับ มีธุระอะไรก็โทรหาผมได้ ไม่เห็นจะต้องเดินทางมาด้วยตัวเองแบบนี้เลย?”

ซีหลู่เฉิงฝืนยิ้ด้วยใบหน้าแข็งทื่อพร้อมตอบกลับไปว่า

“แหะ แหะ มาเองมันดูจริงใจกว่าน่ะ…”

ภายในใจของเขาถึงขั้นสาปแช่งก่นด่าฉีเล่ยอยู่เงียบๆ

‘ไอ้เวร! แล้วใครกันที่บอกให้ฉันมา? พูดยังกับว่าฉันเต็มใจอยากจะมาตายล่ะ? ถ้าแกไม่ขอให้ฉันมาหาแบบนี้ มีเหรอฉันจะเสียเวลาถ่อมาถึงที่นี่!?’

ไอ้หมาป่าเจ้าเล่ห์!

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset