ตอนที่141 โค่นสำนัก
ท่าทีของแขกผู้นี้ทำให้หญิงสาวในชุดกี่เพ้าค่อนข้างระแวดระวังมากขึ้น เพราะชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าของเธอเวลานี้ เห็นได้ชัดว่ายังเด็กเกินไปมาก ดูผิวเผินน่าจะเป็นคนไข้ แต่จู่ๆอีกฝ่ายกลับเรียกขนานนายน้อยเป่ยด้วยชื่อเต็มห้วนๆแบบนั้น นี่เห็นได้ชัดว่า การมาของอีกฝ่ายดูท่าจะไม่เป็นมิตรอย่างที่คิดไว้แล้ว
ตามที่คาดไว้ไม่มีผิด มุมปากของฉีเล่ยพลันกระตุกขึ้นทันทีพร้อมตอบกลับไปว่า
“ผมมาที่นี่ก็เพื่อโค่นสำนักแห่งนี้”
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวในชุดกี่เพ้าถึงกับตกตะลึง แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าได้ยินผิดไปหรือไม่
“อะไรนะคะ? โค่นสำนัก?”
ฉีเล่ยตอบกลับยิ้มๆ
“คุณคิดว่านายน้อยเป่ยของคุณมีจุดแข็งด้านใดบ้างล่ะ?”
ถ้าเธอตอบไปว่า นายน้อยเป่ยมีจุดแข็งคือเรื่องบนเตียง ฉีเล่ยคงเสียสูญพูดไม่ออกเช่นกัน เพราะนี่ไม่ใช่บทสนทนาที่ควรจะพูดออกไป
เมื่อคิดได้แบบนั้นหญิงสาวในชุดกี่เพ้าจึงได้ตอบฉีเล่ยกลับไปว่า
“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องด้านการแพทย์แผนจีน ตระกูลของนายน้อยเป็นหมอเทวะมาตั้งแต่สมัยโบราณ สืบทอดเคล็ดวิชาการแพทย์จากรุ่นสู่รุ่นจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ และในปัจจุบันนายน้อยเป่ยก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมากในปังกิ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักธุรกิจหรือนักการเมือง คุณก็ไม่มีสิทธิ์บุ่มบ่ามเข้ามาแบบนี้ ถ้าต้องการจะพบนายน้อยเป่ย กรุณาติดต่อนัดหมายมาล่วงหน้าค่ะ”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่ดูสุดแสนจะภาคภูมิใจบนใบหน้าของหญิงสาวในชุดกี่เพ้า ฉีเล่ยก็พลันคิดกับตัวเองขึ้นว่า ตราบใดที่มีความสามารถด้านนี้อย่างแท้จริง เขาก็สามารถจะหาผลกำไรจากทักษะการแพทย์แผนจีนที่มีอยู่ได้อย่างมหาศาล
ดั่งคำกล่าวที่ว่า เป็นนักปราชญ์นั้นอดตาย แต่หมอที่ไหนบ้างซูบผอม?
ฉีเล่ยได้เอ่ยถามหญิงสาวต่อว่า
“แล้วคุณคิดว่า ทักษะทางการแพทย์แผนจีนด้านไหนที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นด้านการฝังเข็ม ท่านพ่อของนายน้อยเป่ยได้รับการขนานนามว่า เทพเข็มเทวะ ส่วนท่านปู่ของนายน้อยยังเคยฝังเข็มให้กับบุคคลสำคัญระดับประเทศมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน”
ฉีเล่ยกล่าวต่ออย่างใจเย็นว่า
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขอท้าประลองการฝังเข็มกับเขาแล้วกัน นี่ถือว่าผมออกมมือให้สุดๆแล้วนะ หวังว่าเขาจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง…”
หญิงสาวในชุดกี่เพ้าจ้องมองฉีเล่ยด้วยสายตาว่างเปล่า และท้ายที่สุดเธอก็ทนรักษามารยาทไว้ไม่ไหวอีกต่อไป จึงได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง
“นี่คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? เหอะ เหอะ นายน้อยเป่ยไม่มาเสียกับคนไร้สาระอย่างคุณแน่ เชิญกลับไปได้แล้ว”
จากนั้นหญิงสาวก็หันขวับเดินกลับเข้าไปต้อนรับแขกคนอื่นต่อทันที และปล่อยฉีเล่ยไว้ที่หน้าประตูแบบนั้น
ฉีเล่ยจึงร้องตะโกนไล่หลังไปว่า
“คุณผู้หญิงลองโทรถามนายน้อยเป่ยของคุณดูสิครับ เขาเป็นฝ่ายเชิญผมให้มาที่นี่เอง ถ้าไม่เชื่อก็ลองโทรถามเขาดูได้เลยครับ”
หญิงสาวในชุดกี่เพ้าปรายหางตามามองฉีเล่ย พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน
“ในเมื่ออีกฝ่ายเชิญมา ก็ควรจะต้องให้เบอร์ไว้กับคุณด้วยจริงไหมคะ? ทำไมคุณถึงไม่โทรหานายน้อยเองล่ะคะ?”
ก็เพราะฉันต้องการให้เธอพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเองยังไงล่ะถึงได้บอกไปแบบนั้น นี่เธอโง่หรือปัญญาอ่อนกันแน่?
ในเมื่อพูดแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ ฉีเล่ยจึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดเบอร์ที่ปรากฏอยู่ในนามบัตรที่เป่ยจ้าวหยวนได้เคยให้ไว้
“ฮัลโหล นั่นใครพูด?”
สุ้มเสียงเคร่งขรึมดังขึ้นจากปลายสาย และอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเป่ยจ้าวหยวน
“ผมเอง ฉีเล่ย”
เมื่อได้ยินว่าเป็นฉีเล่ย เสียงของเขาพลันแปรเปลี่ยนเจือน้ำเสียงดูถูกขึ้นมาทันที
“ฉีเล่ย ที่แท้ก็นายนี่เอง ว่าไง? อยากมาเจอฉันให้ขายหน้าเล่นหรือไง?”
ฉีเล่ยไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดกับน้ำเสียงที่สุดแสนจะดูถูกดูแคลนนั่นเลยสักนิด และตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ตอนนี้ผมอยู่หน้าคฤหาสน์ตระกูลเป่ยแล้ว”
“….”
ทันทีที่พูดจบ ฉีเล่ยก็กดตัดสายทิ้งทันที
ราวหนึ่งนาทีต่อมา ฉีเล่ยก็เห็นเป่ยจ้าวหยวนก้าวเดินออกมา
เวลานี้เขาอยู่ในชุดไทเก๊กสีเหลืองทองสุกสว่าง สวมรองเท้าผ้าใบทรงจีนสีดำ
สไตล์การแต่งตัวของเป่ยจ้าวหยวนดูเหมือนปรมาจารย์ผู้น่ายกย่องอย่างแท้จริง ถ้าเขาสวมชุดนี้ออกไปเดินเล่นข้างนอก คงจะทำให้หลายๆคนต้องรู้สึกยำเกรงบ้างไม่มากก็น้อย
ฉีเล่ยที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกว่า ตัวเขาเองคงต้องปรับปรุงแก้ไขเรื่องการแต่งตัวบ้างแล้ว เพราะน่าแปลกใจเช่นกันที่หลายต่อหลายคนมองว่าเขาไม่เหมือนแพทย์แผนจีนเลยสักนิด นี่อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็เป็นได้
เป่ยจ้าวหยวนไม่ได้ออกมาแค่ลำพัง แต่ยังมีกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวอีกจำนวนนับสิบที่ติดตามมาทางด้านหลัง ผู้ชายล้วนอยู่ในชุดไทเก๊กสีดำ ส่วนผู้หญิงจะเป็นชุดสีขาว และมีอักษรจีนปักอยู่บริเวณหน้าอกว่า สำนักตระกูลเป่ย สิ่งนี้เปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของทุกคนให้เป็นหนึ่ง หรือก็คือสัญญลักษณ์ที่ทุกคนสุดแสนจะภาคภูมิใจนั่นเอง
ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเป่ยจ้าวหยวน แต่การที่พวกเขาเดินตามหลังอีกฝ่ายมาแบบนี้ ถ้าให้เขาคาดเดาก็น่าจะเป็นลูกศิษย์ลูกหา
เป่ยจ้าวหยวนเหลือบมองฉีเล่ยพร้อมกับยิ้มเหยียดหยัน
เขาไม่แม้แต่จะเดินลงบันไดตรงเข้าไปใกล้ฉีเล่ยด้วยซ้ำ แต่กลับยืนเอาสองมือไขว้หลังด้วยสีหน้าท่าทางหยิ่งผยอง พร้อมกับร้องตะโกนบอกไปว่า
“ฉีเล่ย คิดไม่ถึงเลยว่านายจะกล้ามาหาฉันถึงที่นี่ ขอชื่นชมในความกล้าหาญของนาย แต่เอาล่ะ ในเมื่อมาหากันถึงที่นี่ ฉันก็จะเผยธาตุแท้ที่แสนจอมปลอมของนายให้ทุกคนเห็น ถงซีจะได้ตาสว่างซะที!”
ฉีเล่ยไม่ได้เอ่ยปากตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มและหัวเราะเท่านั้น
จากนั้นเขาก็พลันยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่แผ่นป้ายไม้สลักขนาดใหญ่ ที่แขวนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเป่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ป้ายไม้สลักอันนี้ไม่เลวเลยนะ ผมค่อนข้างถูกใจมากทีเดียว”
เป่ยจ้าวหยวนเงยหน้าขึ้นมองตามปลายนิ้วของอีกฝ่าย พบว่าฉีเล่ยกำลังชี้ไปที่ป้ายชื่อซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลเป่ย จึงได้กล่าวเย้ยหยันออกไปว่า
“ทำไม? นี่นายรู้จักที่มาของมรดกตระกูลเป่ยชิ้นนี้หรือเปล่า? แต่ถ้าให้ฉันเล่า นายฟังแล้วอาจจะตกใจตายไปเลยก็ได้นะ”
ฉีล่ยยิ้มและกล่าวว่า
“ขนาดนั้นเชียว? งั้นก็ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ ผมเองชักอยากจะตกใจตายแล้ว”
“…”
เป่ยจ้าวหยวนปิดปากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่แผ่นป้ายไม้สลักดังกล่าว และเริ่มเล่าประวัติของมันให้ฉีเล่ยฟัง
“มรดกชิ้นนี้คือป้ายประจำตระกูลเป่ยของเรา ทำจากไม้จันทร์แดงอายุพันปี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความหายาก ส่วนอักษรจีนทั้งสามตัวที่สลักจารึกบนไม้จันทร์แดงพันปีนั้น ได้รับการสลักจากมือของหวู่เฉินเส้า ช่างฝีมือแห่งวังหลวงในสมัยราชวงศ์ฮั่น ภายใต้คำสั่งของปฐมกษัตริย์ฮั่นเกาจู่ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงเกียรติยศสูงสุดของตระกูลเป่ยเรา”
ฉีเล่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“อืมม ประวัติไม่ธรรมดาเลยสินะ?”
เป่ยจ้าวหยวนเอ่ยตอบด้วยท่าทีหยิ่งยโสราวกับคุณชายผู้สูงศักดิ์
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกไปว่า
“งั้นมาเดิมพันกันหน่อยไหมล่ะ ถ้าคุณแพ้จะต้องยกป้ายประจำตระกูลนี้ให้กับผม”
เป่ยจ้าวหยวนระเบิดเสียงหัวเราะเยาะลั่น พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกลับไปว่า
“แล้วถ้านายแพ้ล่ะ?”
ฉีเล่ยยักไหล่ตอบ
“ถ้าฉันแพ้ก็คือแพ้ แต่ถ้าคุณแพ้ก็ต้องยกป้ายนี้ให้ผม”
เป่ยจ้าวหยวนแทบอาเจียนพุ่งพรวดออกมาเป็นเลือดสด เขายกมือขึ้นชี้หน้าก่นด่าฉีเล่ยทันที
“ไอ้สวะสกุลฉี! นี่แกเห็นคนอื่นโง่นักรึไง!? อย่ามาพูดจาเล่นลิ้นต่อหน้าฉันแบบนี้! ถ้าแกแพ้ก็ไสหัวออกไปจากเมืองนี้ซะ! แล้วห้ามมายุ่งกับถงซีอีกตลอดไป!”
ฉีเล่ยส่ายหัวพร้อมกับโต้แย้งทันที
“เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า? ผมไม่เคยไปยุ่งอะไรกับเธออยู่แล้ว แต่เธอต่างหากที่ชอบมายุ่งกับผม เรื่องแบบนี้จะมาโทษผมไม่ได้นะ”
เป่ยจ้าวหยวนไม่สามารถทนฟังถ้อยคำเหล่านี้ได้อีกต่อไป จึงตะคอกเสียงดังสวนกลับไปทันที
“นี่แก! ฟังฉันนะ! ไม่ว่าแกจะมีความสัมพันธ์แบบไหนกับถงซี แต่ถ้าแกแพ้ฉันขึ้นมา แกต้องอย่ากลับมาให้เธอเห็นหน้าอีก!”
“อะไรกัน? ผมก็แค่อธิบายให้ฟังเฉยๆ ไม่เห็นต้องหงุดหงิดใส่กันเลยนี่นา แต่เอาเถอะ เอาเถอะ คุณต้องการแบบนั้นก็แล้วแต่คุณเลย ”
ดูเหมือนว่าเป่ยจ้าวหยวนจะหลงกลเขาเข้าอย่างจัง ฉีเล่ยไม่สนใจหรอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลี่ถงซีหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งเดียวที่เขาให้ความสนใจอย่างมากกก็คือ ป้ายประจำตระกูลเป่ยต่างหาก นั่นเพราะเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณขุมใหญ่ที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในนั้นได้อย่างชัดเจน และเขาก็ต้องการมันมาไว้ในครอบครองอย่างมาก
เป่ยจ้าวหยวนรู้สึกว่า ต่อให้ก่อสงครามน้ำลายแบบนี้ต่อไปแบบนี้ก็ไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรขึ้นมา จึงได้ก่นตอบเสียงเย็นกลับไปว่า
“ถ้าแกจะมาเล่นลิ้นกับฉันก็เชิญกลับไปซะ แต่ถ้าต้องการจะประชันฝีมือกับฉันจริงๆ ก็ตามฉันเข้ามาในบ้าน!”
บรรดาลูกศิษย์ของเป่ยจ้าวหยวนต่างมองฉีเล่ยด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ก่อนจะหันหลังเดินตามเป่ยจ้าวหยวนกลับเข้าไปด้านใน
ฉีเล่ยได้แต่อมยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับเดินตามคนพวกนั้นเข้าไปในตัวอาคารเล็กๆที่อยู่ด้านใน และภายในนั้นก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรนานาชนิด