ตอนที่148 บุคคลอันตราย
ฉีเล่ยทราบดีว่า แม้หลินชูวโม่จะไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้น แต่เธอก็ยังพอมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่ออีก แต่ตั้งคำถามใหม่ขึ้นแทนว่า
“แล้วเรื่องการตลาดล่ะ จะเอายังไง?”
หลินชูวโม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นกว่าเดิมมาก
“ที่ฉันโทรเรียกนายมาก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ ไม่กี่วันก่อนฉันเพิ่งจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท ชูวโม่เซียงเทียน ไบโอโลจี้ จำกัด ขึ้นมา ซึ่งจะใช้ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของเรา และถ้าหากมีผลิตภัณฑ์อื่นๆเกิดขึ้นมาในอนาคต ทุกอย่างจะถูกจดเบียนทางการค้าภายใต้ชื่อบริษัทนี้ทั้งหมด”
หลินชูวโม่กล่าวต่อว่า
“ฉันจ้างให้ทนายมาจัดการเรื่องสัญญาการโอนหุ้นเรียบร้อยแล้ว ถ้านายสนใจจะมาร่วมมือด้วยจริงๆก็ไม่มีปัญหานะ เดี๋ยวฉันจะให้นายขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทนี้เลย”
ขณะที่หลินชูวโม่กล่าวออกไปแบบนั้น เธอก็หันหลังไปหยิบหนังสือสัญญาฉบับหนึ่งออกมาส่งให้ฉีเล่ย
หญิงสาวคนนี้สวยงามทุกอากัปกิริยาจริงๆ เพียงแค่อาศัยจุดแข็งนี้ของเธอ เวลานี้มันก็ได้สร้างแรงกดดันอย่างมากให้ฉีเล่ยแล้ว
เขาเอ่ยปากขอรับหนังสือสัญญากลับไปศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนอีกที ไม่ใช่เพราะเขาหวาดระแวงกลัวว่าหลินชูวโม่จะแทงข้างหลัง แต่นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองที่อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้ในอนาคต
หลินชูวโม่เองก็ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน เพราะทั้งสองเข้าใจกันดี ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากอธิบายอะไรกันมากมาย
“มีอีกเรื่องที่ฉันต้องการขอคำแนะนำจากนายหน่อย ในเมื่อจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ค่อนข้างโดดเด่น คิดว่าจะตั้งราคาเท่าไหร่ดี?”
“ตั้งราคาเหรอ?”
ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“เรื่องนี้ค่อนข้างตัดสินใจยากนะ ลองคำนวณจากราคาต้นทุนแล้วบวกอัตรากำไรที่ต้องการไปสิ”
หลินชูวโม่กล่าวตอบทันทีว่า
“คำนวณเรียบร้อยแล้ว ต้นทุนต่อขวดเฉลี่ยอยู่ที่ 300หยวน ถ้าสามารถขยายฐานการผลิตได้ในอนาคต เราจะสามารถลดราคาต้นทุนได้มากกว่านี้”
“ถ้าอย่างนั้น…ขายขวดละ600หยวน?”
“600หยวน?”
หลินชูวโม่จ้องฉีเล่ยด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“แพงไปเหรอ?”
ฉีเล่ยเพิ่งรู้สึกว่าตนเสนออะไรไม่เข้าท่าออกไป จึงยกมือขึ้นเกาหัวแก้เขินเล็กน้อย
หลินชูวโม่ส่ายหน้าไปมาอย่างอดไม่ได้พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ดูท่านายจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้หญิงเลยจริงๆสินะ รู้ไหมว่า ผู้หญิงที่เข้ามาใช้บริการฉีดวิตามินผิวใสในคลินิกของฉัน เฉลี่ยต่อรอบแล้วพวกเธอต้องจ่ายกันเท่าไหร่?”
ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาและตอบไปตามความจริง
“ผมไม่รู้”
“เฉลี่ยต่อคน 3,800หยวน!(19,000บาท)”
หลินชูวโม่กล่าว
“….”
ฉีเล่ยถึงขั้นต้องปิดปากเงียบพูดอะไรไม่ออก พลางแอบคิดสงสัยอยู่ในใจว่า ผู้หญิงพวกนี้เสียสติกันหมดแล้วรึไง? ยอมจ่ายเงินจำนวนมากมายขนาดนั้น เพียงเพื่อแลกกับการฉีดวิตามินที่ช่วยทำให้ผิวใสแค่ไม่กี่เดือนนี่นะ?
หลินชูวโม่ตอบกลับด้วยสีหน้าดูแคลนต่อว่า
“นายประเมินอำนาจการใช้จ่ายของผู้หญิงต่ำเกินไปแล้ว อีกอย่างนะ ฉันก่อตั้งคลินิกนี้ขึ้นมาก็เพื่อต้อนรับลูกค้าระดับไฮเอนด์ ถ้าตั้งราคาสินค้าต่ำเกินไป มีหวังลูกค้าหนีไปใช้บริการที่อื่นกันหมดแน่”
“ถ้าอย่างงั้น…คุณคิดว่าควรตั้งราคาเท่าไหร่ดี?”
หลินชูวโม่แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาคู่คมสวยฉายแววเจ้าเล่ห์ประดุจจิ้งจอกสาว เธอหันจ้องหน้าฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า
“ฉันสั่งให้โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์สองขนาด แบบน้ำราคาขวดละ5,888หยวน ส่วนแบบแป้งราคาขวดละ9,888หยวน”
“….”
ฉีเล่ยถึงกับแน่นิ่งไปชั่วขณะ
“แพงเกินไปรึเปล่า…”
“ถ้าราคาถูกแล้วใครมันจะไปซื้อ?”
“หื้ม? ไม่ใช่ว่ายิ่งถูกยิ่งขายดีเหรอ? นี่มันตรรกะแบบไหนกัน?”
หลินชูวโม่ส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายให้กับความไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการตลาดของฉีเล่ย
“สุดหล่อ นี่นายคงไม่รู้เรื่องจิตวิทยาของผู้บริโภคที่เป็นเพศหญิงเลยใช่ไหม? ในตลาดอุตสาหกรรมบำรุงผิวพรรณในประเทศจีน ผลิตภัณฑ์ราคาต่ำถึงปานกลางมีแรงแข่งขันที่สูงเกินไปมากแล้ว ดังนั้นเราควรเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของเราด้วยราคาที่สูง เพื่อยกระดับคุณค่าของสินค้าเราให้เทียบเท่ากับแบรนด์ชื่อดังระดับประเทศ ถ้าตั้งราคาสูงลิบลิ่วแบบนี้ ราคาสินค้านี่แหละที่จะช่วยประชาสัมพันธ์คุณภาพด้วยตัวของมันเอง ต่อให้นายไม่มีความต้องการที่จะซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเลยสักนิด แต่พอเห็นสินค้าราคาแพงขนาดนี้ก็ต้องเกิดความสนใจขึ้นมาใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมแพงจัง? ดังนั้นทุกแบรนด์เคาน์เตอร์ของเราจะมีกิจกรรมแจกครีมชุดทดลองให้ทุกคนได้ใช้กัน ตราบใดที่ลูกค้าได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของสินค้า พวกเขาจะต้องแห่กันเข้ามาซื้อโดยไม่สนใจเรื่องราคาอีกต่อไป!”
ฉีเล่ยได้แต่พยักหน้าหงึกๆแทนคำตอบ และคิดกับตัวเองว่าที่หลินชูวโม่พูดมาทั้งหมดนั้นค่อนข้างมีเหตุผลมากทีเดียว ดังนั้นเขาจึงได้ตอบกลับไปว่า
“ผมมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องสูตร ส่วนเรื่องการตลาดก็เป็นหน้าที่ของคุณไปก็แล้วกัน สงสัยผมจะได้พบกับนักการตลาดมือฉกาจเข้าแล้วสิ”
หลินชูวโม่ยกนิ้วโป้งให้พร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“สุดหล่อ นายรอรวยได้เลย”
…..
ที่ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง
ในบริเวณโถงนั่งรอชั้นที่หนึ่ง มีหนุ่มสาวสองคนสวมชุดเสื้อผ้าหรูหราไม่ธรรมดาเดินฝ่าฝูงชนเข้ามา จนกลายเป็นที่สะดุดตาของทุกคนภายในบริเวณนั้นอย่างยิ่ง
หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าสวยไว้ผมยาวประบ่า มองๆดูแล้วเสมือนสาวน้อยน่ารักคนหนึ่ง
“ได้ข่าวว่าคังฟานมันไปทำงานที่ต่างประเทศหลังเรียนจบใช่ไหม? รู้สึกว่าโด่งดังมากเลยหนิ? กำลังทำโครงการวิจิยวิทยาศาสตร์อะไรสักอย่าง แต่ทำไมจู่ๆถึงได้กลับมาปักกิ่งล่ะ?”
ข้างๆปรากฏชายผมสั้นที่กำลังตอบกลับไปว่า
“พูดอย่างกับแกไม่รู้จักหมอนั่น คนอย่างมันเหรอจะยอมก้มหัวให้คนอื่น? เหตุผลที่มันยอมไปทำงานที่โน่นหลังเรียนจบ ก็เพราะต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วก็เงินทุน พอได้ครบตามต้องการก็เลยบินกลับมาจีนนี่แหละ”
ชายผมยาวยิ้มตอบไปว่า
“ดูเหมือนว่าเมืองหลวงแห่งนี้คงมีชีวิตชีวามากขึ้นนะหลังจากที่หมอนั่นกลับมา จะว่าไปแล้ว…รู้สึกแฟนเก่าที่เคยคบกับคังฟานตอนนั้นก็อยู่ปักกิ่งด้วยไม่ใช่เหรอ? ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นยังไงบ้าง”
ชายผมสั้นตอบกลับยิ้มๆ
“ช่างเถอะน่า อย่าไปยุ่งเรื่องของสองคนนั้นเลย”
“รู้แหละว่าไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ก็อยากรู้ไหมล่ะ พอแฟนเก่าดังแล้ว อยากรู้จริงๆแล้วเธอคนนั้นจะรู้สึกยังไง? จะได้เห็นพวกผู้หญิงเปิดศึกกันอีกรอบไหมนะ?”
ชายผมสั้นยกดูนาฬิกาข้อมือขึ้นดู พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
“จนป่านนี้แล้วหมอนั่นยังไม่มาอีกเหรอเหรอ? น่าจะได้เวลาออกมาแล้วนี่”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบดี ก็มีชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีเบจสวมกางเกงสแล็คสีขาวเดินออกมาจากเกท และด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา จึงได้กลายมาเป็นจุดสนใจใหม่ของสายตาทุกคู่ขึ้นมาทันที
ร่างสูงผอมเพรียว แววตาเฉียบคม สันจมูกโด่งกว่าคนจีนทั่วไปมาก ผมสีดำขลับ ดูโดยรวมแล้วมีเสน่ห์เหลือล้น
ขณะที่เขากำลังเดินตรงไปยังทางออกนั้น จู่ๆก็มีสาวสวยคนหนึ่งรวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดวิ่งเข้าไปทัก และเริ่มบทสนทนาเองในทันที
“สวัสดีค่ะ เอ่อ…ฉันเป็นคนที่นั่งข้างๆคุณบนเครื่องบินเมื่อกี้ คือ…คือไหนๆเราก็อยู่เมืองเดียวกันแล้ว บางทีอาจจะเป็นพรมลิขิตก็ได้ ฉันขอ…ขอเบอร์ติดต่อได้ไหมค่ะ? ไว้มีโอกาสเราออกมาดื่มกาแฟด้วยกันนะคะ”
ชายหนุ่มคนนั้นเหลือบมองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ฟังดูอ่อนโยนอยู่ในที
“ผมก็อยากจะดื่มกาแฟกับคุณนะครับคนสวย แต่ขืนผมทำแบบนั้น มีหวังภรรยาของผมต้องหัวเสียแน่เลย”
แววตาของหญิงสาวคนนั้นดูเศร้าหมองลงทันใด
“ขอโทษค่ะ ขอโทษที่รบกวนค่ะ…”
ชายคนนั้นยิ้มอ่อนตอบไปว่า
“เป็นผมมากกว่าครับที่ควรขอโทษ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”
หลังจากปฏิเสธคำขอของหญิงสาวด้วยกิริยาท่าทางที่แสนสุภาพไปแล้ว ในที่สุดชายคนนั้นก็เห็นเพื่อนสนิททั้งสองที่กำลังรอรับตนเองอยู่ จึงรีบเร่งฝีเท้าเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที
เมื่อไปถึงชายหนุ่มก็ยกกำปั้นชกเข้าที่หน้าอกของพวกเขาทั้งสองคนด้วยความคิดถึงคนละหนึ่งที
ชายหนุ่มผมสั้นเองก็ชกกำปั้นใส่หน้าอกของอีกฝ่ายตอบเช่นกัน ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
ชายผมยาวยังยิ้มและกล่าวอีกว่า
“คังฟาน อันที่จริงฉันไม่อยากให้แกกลับมาเลยว่ะ เดี๋ยวสาวๆพวกนั้นต้องพากันแห่มากรี๊ดนายแน่เลย พวกฉันก็คงต้องตกกระป๋องกันหมดน่ะสิ!”
คังฟานหัวเราะและตอบกลับไปทันที
“ของๆฉันก็เหมือนของพวกนายนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เอาล่ะ กลับบ้านกันเถอะ”