ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 45 สายที่รอคอย

ตอนที่ 45 สายที่รอคอย

แม้ว่าเหตุการณ์ดูเหมือนจะสงบดีแล้ว แต่ฉีเล่ยก็ยังไม่กล้าวางใจมากนัก คืนนั้น เขาจึงค้างอยู่ที่บ้านสกุลหวู่ และได้นอนอยู่ข้างเตียงหวู่เฉินเทียน เพื่อเฝ้าดูอาการ..

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ที่จู่ๆ ลูกชายของเขา ก็ลุกจากขึ้นมาฉีกเนื้อเถือหนังตัวเองอย่างบ้าคลั่ง หวู่เฉิงเฟิงก็ถึงกับเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง และรู้สึกร้อนๆหนาวๆขึ้นมาทันที นั่นเพราะการทำร้ายตัวเองของหวู่เฉินเทียนก่อนหน้านี้ ใครก็ยากที่จะหยุดยั้งเขาไว้ได้ ชายชราได้แต่ยืนจ้องมองลูกชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเวลานี้ ด้วยสีหน้าแววตาเคร่งเครียด..

“อาวุโสไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไป!”

ฉีเล่ยได้แต่ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายให้ชายชราฟังว่า..

“การจะเสกของชั่วร้ายเข้าร่างมนุษย์ได้นั้น จำเป็นต้องอาศัย ‘วิญญาณสื่อนำ’ และปกติก็จะใช้สัตว์เล็กอย่างจิ้งจอก พังพอน หรืออื่นๆที่คล้ายกัน ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งมีชีวิตจำพวกนี้ยังมีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำ แต่หากเป็นจำพวกที่บ่มเพาะจนเป็นเทพได้ พวกมันย่อมไม่ยินยอมให้ใครใช้เป็นวิญญาณสื่อนำแน่..”

“ส่วนใหญ่ที่ได้มานั้น มักจะเป็นการพบเข้าด้วยความบังเอิญ ไม่ใช่จากการเสาะแสวงหา แต่เมื่อของชั่วร้ายในร่างถูกไล่ออกแล้ว วิญญาณสื่อนำก็จะไม่สามารถทำอะไรได้อีก การที่จะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันซ้ำขึ้นมาอีก จึงไม่ใช่เรื่องง่าย..”

หลังจากได้ฟังคำอธิบายของฉีเล่ย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ทำให้หวู่เฉิงเฟิงคลายความวิตกกังวลลงได้มาก และเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

จนกระทั่งผ่านไปกว่าครึ่งคืน ฉีเล่ยจึงได้แนะนำให้หวู่เฉิงเฟิงกลับไปพักผ่อน แม้ชายชราจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ แต่ก็ไม่กล้าวางใจที่จะออกไปจากห้องนอนของลูกชาย

จนกระทั่งรุ่งสาง ฉีเล่ยที่เหน็ดเหนื่อยจนไม่อาจต้านทานต่อไปไหว และได้เอนกายพิงผนังงีบหลับไปก็ตื่นขึ้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง แสงอาทิตย์จากด้านนอกก็เริ่มส่องสว่างเข้ามา

คนรับใช้ภายในบ้านต่างก็เริ่มทำหน้าที่ของตนเองตามปกติ และได้จัดเตรียมอาหารเช้าใส่รถเข็นขึ้นมาที่ห้องนอนของหวู่เฉินเทียน

หลังจากเข็นเข้ามาแล้ว คนรับใช้รายนั้นก็ไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่เตียง ซึ่งมีร่างของหวู่เฉินเทียนนอนอยู่ นั่นเพราะภาพเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวเมื่อคืนนี้ ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขาอย่างชัดเจน

เมื่อจัดวางอาหารเช้าไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว คนรับใช้หนุ่มก็รีบหันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว..

ฉีเล่ยตื่นขึ้นมาเป็นคนแรก และหลังจากที่หวู่เฉิงเฟิงตื่นขึ้น ทั้งคู่จึงได้นั่งรับประทานอาหารเช้าพร้อมกัน

สือเหล่ยปรุงครีมด้วยตัวเอง และหลังจากดึงเดิมพันชั่วร้ายของวู เซินเทียน วู เฉิงเฟิงทำตามคำแนะนำที่เขียนโดยสือเหล่ย และไปที่ร้านขายยาที่เปิดสำหรับธุรกิจตลอด 24 ชั่วโมงต่อคืน และจับส่วนผสมสองสามอย่าง สือเหล่ยปรุงสมุนไพรจนนิ่มและบดเป็นครีมให้หวู่เจิ้นเทียนทา หลังจากทาไปหนึ่งคืน แผลก็กลายเป็นสะเก็ดแล้ว

เมื่อคืน หลังจากที่หวู่เฉินเทียนหลับไหลไปแล้ว ฉีเล่ยก็ได้เขียนใบสั่งยาให้กับหวู่เฉิงเฟิง ชายชราได้สั่งให้คนของตัวเอง นำใบสั่งยาไปซื้อตามร้านขายสมุนไพรที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมาให้

เมื่อได้มาแล้ว ฉีเล่ยก็ได้ทำการนำตัวยาเหล่านั้นมาผสมรวมกัน และเคี่ยวจนกลายเป็นครีมขาวข้น สำหรับใช้ทาบาดแผลตามร่างกายของหวู่เฉินเทียน และหลังจากทาครีมที่ฉีเล่ยเคี่ยวขึ้นเองนั้น เวลานี้ บาดแผลตามร่างกายของชายวัยกลางคน ก็เริ่มแห้งและตกสะเก็ด..

“หลังจากนี้ ก็หมั่นทาครีมบนบาดแผลตามร่างกายต่ออีกสองสามวัน แล้วบาดแผลก็จะค่อยๆหายเป็นปกติ อาวุโสให้คนรับใช้ช่วยทาให้ก็ได้”

ระหว่างที่พูดนั้น ฉีเล่ยก็ค่อยๆแกะผ้าพันแผลจากร่างของหวู่เฉินเทียน หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็หันไปบอกกับชายชราว่า

“ผมคงต้องกลับแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก ให้รีบโทรหาผมทันที แล้วผมจะรีบมา!”

หวู่เฉิงเฟิงได้แต่พยักหน้า พร้อมกับร้องบอกฉีเล่ยไปว่า “ผมจะให้คนขับรถไปส่งผู้มีพระคุณที่บ้าน!”

แต่ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธนั้น ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้อ้าปากพูดอะไรออกมา จู่ๆ ก็มีฝ่ามือใหญ่เอื้อมมาคว้าแขนของเขาไว้แน่น!

ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เขาได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า หรือของชั่วร้ายในร่างของหวู่เฉินเทียน จะยังถูกขับออกไม่หมด และกำลังจะเล่นงานเขาอีกครั้ง

แต่เมื่อก้มลงมองที่เตียงนอน กลับพบว่า หวู่เฉินเทียนได้ลืมตาขึ้น และสีหน้าท่าทางของเขาก็ดูคล้ายกับคนที่เพิ่งตื่นนอนเป็นปกติ

“ท่านหมอฉี กรุณาอย่าเพิ่งไปครับ..”

ริมฝีปากของหวู่เฉินเทียนขมุบขมิบ น้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมานั้นฟังดูอ่อนล้าเต็มที แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยกำลังจะกลับ หวู่เฉินเทียนก็ตกอกตกใจจนลืมความเจ็บปวดตามร่างกาย เรี่ยวแรงไม่รู้มาจากไหน เขาลุกพรวดขึ้นนั่ง ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าฉีเล่ยทันที!

“ห๊ะ..”

ฉีเล่ยร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบร้องตะโกนห้ามหวู่เฉินเทียนทันที “ประธานหวู่ นี่คุณทำอะไร? ลุกขึ้นก่อนเถอะครับ!”

“ท่านหมอฉี อย่าเพิ่งไป! ผมยังไม่ได้ขอบคุณท่านหมอเลย ให้ผมได้กล่าวขอบคุณท่านหมอก่อน!”

หวู่เฉินเทียนเงยหน้าขึ้นมองฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าแววตาที่สำนึกผิด “ท่านหมอฉี ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตผมไว้! ผมต้องขอโทษท่านหมอฉีกับเรื่องที่ผ่านมา ได้โปรดอภัยให้กับความโง่เขลาของผมด้วย ที่เคยแสดงกิริยาไร้มารยาทกับท่านหมอก่อนหน้านี้..”

“ท่านหมอไม่เพียงช่วยชีวิตของพ่อผม แต่ตอนนี้ยังได้ช่วยชีวิตของผมไว้อีกด้วย และการที่อาวุโสต่งตัดสินใจร่วมลงทุนกับเฉินเทียนกรุ๊ป ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของท่านหมอฉี แต่ผม.. กลับ..”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หวู่เฉินเทียนก็ได้แต่ก้มศรีษะลงต่ำอย่างสำนึกผิด พร้อมกับพูดต่อว่า “ท่านหมอฉีครับ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ธุระของท่านหมอ ก็คือธุระของผม หากท่านหมอประสบกับปัญหาไม่ว่าอะไร ขอให้บอกผม ผมยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคุณหมอ แม้กระทั่งสละชีวิต..”

ฉีเล่ยรีบประคองร่างของหวู่เฉินเทียนให้ลุกขึ้น พร้อมกับตอบไปว่า “ประธานหวู่ครับ คุณพูดหนักเกินไปแล้ว! ผมเป็นหมอ ย่อมมีหน้าที่ในการรักษาผู้คนอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ใช่คุณ หรือเป็นใครก็ตามที่ประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน ผมก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหมือนกัน..”

ฉีเล่ยหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดทีเล่นทีจริงว่า “อย่าถือเป็นบุญเป็นคุณอะไรเลยครับ ขอเพียงแค่ว่า วันข้างหน้าประธานหวู่อย่าใช้เงินมาหยามศักดิ์ศรีของผมอีกก็พอแล้ว..”

แม้สีหน้าและน้ำเสียงของฉีเล่ยจะฟังดูคล้ายหยอกเย้า แต่หวู่เฉินเทียนก็ถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความละอายใจ ก่อนจะหันไปบอกกับหวู่เฉิงเฟิงผู้เป็นพ่อว่า

“พ่อครับ รบกวนช่วยหยิบกระเป๋าทำงานให้ผมที!”

หลังจากรับกระเป๋ามาจากหวู่เฉิงเฟิงแล้ว หวู่เฉินเทียนก็เปิดกระเป๋าออก ก่อนจะหยิบบัตรธนาคารออกมาใบหนึ่ง เขายื่นให้กับฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ท่านหมอฉีครับ ได้โปรดรับบัตรนี่ไว้เถอะนะครับ! ครั้งนี้ไม่ใช่การดูถูกศักดิ์ศรีท่านหมอ แต่เป็นการแสดงความขอบคุณจากผม ถ้าท่านหมอไม่ยอมรับ ผมจะคุกเข่าต่อหน้าท่านหมอไม่ยอมลุก!”

ฉีเล่ยอดที่จะนึกถึงกวนไห่ผิงไม่ได้ เพราะในคืนนั้นที่ร้านเล็กๆของเขา กวนไห่ผิงก็ทำเช่นเดียวกับหวู่เฉินเทียนเวลานี้ และขู่ว่าถ้าไม่ยอมรักษาให้ เขาจะคุกเข่าอยู่เช่นนั้น!

ฉีเล่ยได้แต่นึกขบขันอยู่ในใจ และได้แต่คิดว่า คนพวกนี้ก็แปลก ชอบใช้วิธีการคุกเข่ามาข่มขู่บังคับคนอื่นเสียจริง!

ฉีเล่ยไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ส่ายหน้าไปมา พร้อมกับยื่นมือออกไปรับบัตรมาจากชายวัยกลางคน และเมื่อเห็นฉีเล่ยยอมรับ สีหน้าของหวู่เฉินเทียนก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มขึ้นมาทันที!

หลังจากรับบัตรมาแล้ว ฉีเล่ยจึงได้ถามขึ้นว่า “เอาล่ะ คราวนี้ผมจะไปได้หรือยัง?”

“เชิญท่านหมอเฉิน!”

หวู่เฉินเทียนพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับร้องตะโกนออกไปเสียงดัง “เสี่ยวเทียน ช่วยขับรถไปส่งท่านหมอฉีที่บ้านด้วย!”

เสี่ยวเทียนเป็นทั้งบอดี้การ์ด และคนขับรถของหวู่เฉินเทียน เขาได้ยืนเฝ้าหน้าประตูห้องนอนของหวู่เฉินเทียนอยู่ตลอดทั้งคืน เมื่อได้ยินคำสั่งของประธานหวู่ เขาก็รีบเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับโค้งคำนับฉีเล่ย และบอกกับเขาด้วยท่าทางเคารพนบนอบ

“เชิญครับท่านหมอฉี!”

……

เมื่อฉีเล่ยกลับมาถึงบ้าน ภรรายาของเขาก็ได้ออกไปทำงานแล้ว ส่วนแม่ยายก็กำลังจะออกไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนบ้าน แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยกลับมา เธอจึงรีบเข้าครัวไปเตรียมผลไม้ให้กับชายหนุ่ม หลังจากที่ยกมาวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เธอจึงค่อยออกไป..

การได้รับการเอาใจใส่ดูแลเช่นนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแม่ยาย ที่ครั้งหนึ่งเคยมองเขาไม่ต่างจากขยะไร้ค่า..

เป็นเพราะเมื่อคืนพักผ่อนไม่เพียงพอ ฉีเล่ยจึงได้เอนกายนอนลงบนโซฟา พร้อมกับหยิบผลไม้ในจากกินไปด้วยอย่างมีความสุข ก่อนจะเผลอหลับยาว..

…..

เวลาสองทุ่มตรง..

หลี่ฮั่วเฉินซึ่งพักอยู่ในห้องเพรสซิเดนท์สูท บนชั้นสิบสองของโรงแรมฮัวเยวี่ย ได้แต่รุ่มร้อนใจจนนั่งไม่ติด..

ผ่านมาสองวันแล้ว..

เขาอยู่หนานหยางต่อเป็นเวลาสองวันแล้ว และยอมเลื่อนงานสำคัญๆออกไป หรือไม่ก็มอบหมายให้แพทย์คนอื่นในทีมไปทำแทน

งานส่วนใหญ่ของหลี่ฮั่วเฉินนั้น ล้วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ราชการระดับสูงทั้งสิ้น และยิ่งได้ดูแลกรักษาเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งกลายเป็นที่จะจดจำของพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออนาคตหน้าที่การงานเช่นกัน

แต่เขากลับยอมทิ้งงานสำคัญ และเฝ้านั่งรออยู่ที่หนานหยางอย่างไร้จุดหมาย แต่ชายชราอย่างเขา ก็ไม่ได้มีเป้าหมายในชีวิตให้ต้องวิ่งไล่ตามอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง หรือว่าเงินทอง ล้วนแล้วแต่นำติดตัวไปไม่ได้เมื่อตายลง

สิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายกับเขา เท่ากับการได้สร้างบางสิ่งบางอย่างทิ้งไว้ให้กับโลก..

“ฉีเล่ย ทำไมป่านนี้ยังไม่โทรหาฉันอีกนะ?”

“เฮ้อ.. นี่จะให้ฉันรอจนแก่ตายเลยหรือยังไง?”

“ฉันมีเวลาอีกเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น อย่าทำให้คนแก่อย่างฉันต้องคว้าน้ำเหลวเลย..”

หลี่ฮั่วเฉินเดินเอามือไพล่หลังกลับไปกลับมา ปากก็เฝ้าแต่บ่นพึมพำไม่หยุด คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น ในขณะที่เลขาของเขาได้แต่นั่งมองด้วยความเป็นห่วง..

แต่ในที่สุด โทรศัพท์มือถือของชายชราก็ดังขึ้น!

แววตาของหลี่ฮั่วเฉินเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที เขารีบเดินไปที่โต๊ะ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันที

และเสียงปลายสายที่ดังขึ้นนั้น ก็ทำให้หลี่ฮั่วเฉินถึงกับยิ้มกว้าง..

“สวัสดีครับอาวุโสหลี่ ไม่ทราบว่าปักกิ่งยังจะต้อนรับผมอยู่มั๊ยครับ?”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset