ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 60 พ่อบ้านฟาง

ตอนที่60 พ่อบ้านฟาง

เมื่อกวาดสายตามองตรงไปยังภาพฉากตรงหน้า ฉีเล่ยถึงกับขยี้ตาสงสัยว่าตัวเองมาผิดที่รึเปล่า?

นี่คือบ้านเลขที่ 01 ถนนหนานกวน ตามที่โลเคชั่นบอกมาไม่มีผิด ฉีเล่ยพยายามยกมือถือขึ้นมาจับจ้องหน้าจอ ก็พบว่าทุกอย่างถูกต้องตามที่ชูซินซูบอกไว้

อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าของเขา มันเสมือนกำลังบอกกับเขาว่า ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เขาคู่ควรจะมา

มันเป็นวิลล่าเดี่ยวที่สร้างขึ้นบนยอดเขาหนานกวน ซึ่งเป็นใจกลางของอุทยานวิทยาแห่งชาติ โดยมีหุบเขาหนานกวนทั้งหมดเป็นสวนหลังบ้าน ตึกอาคารเป็นคฤหาสน์สไตล์ยุโรปคล้ายกับปราสาทของมหาเศรษฐีแบบในหนัง ตั้งอยู่ท่ามกลางพฤกษาเขียวขจีและทะเลสาบสีครามใส ทั้งยิ่งใหญ่ เปล่งประกาย และหรูหราเกินพรรณนา

มีวิลล่าที่คล้ายกับแบบนี้อีกหลายหลังอยู่ถัดจากคฤหาสน์หลักหลังนี้ บ้านพักอาศัยราคาแพงที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้ฉีเล่ยเคยเห็นมาคงเป็นคฤหาสน์ตระกูลหวู่ แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับที่นี่แล้ว คฤหาสน์ของสองพ่อลูกตระกูลหวู่กลับกลายเป็นส้วมไปเลย…

เมื่อเดินทางมาถึง คนขับแท็กซี่ก็ถึงกับอุทานลั่นและหันมากล่าวกับเขาว่า ที่แห่งนี้คือที่อยู่อาศัยของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีน ตัวตนและภูมิหลังของคนเหล่านี้ค่อนข้างลึกลับเป็นอย่างมาก ผู้คนชนชั้นธรรมดาอย่างพวกเรามีเพียงน้อยคนนักที่รู้จักพวกเขา

เมื่อจับจ้องไปที่ประตูรั้วเหล็กขนาดมหึมา ก็รู้ได้ทันทีว่าแค่ประตูรั้วบานหนึ่งก็มีค่ากว่าบ้านทั้งหลังของคนทั่วไปแล้ว ฉีเล่ยเหลือบมองไปที่สวนหน้าบ้านคฤหาสน์ ช่างกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ประมาณได้คร่าวๆประมาณหมื่นตารางเมตรเห็นจะได้ เขาถึงขั้นอึ้งไปชั่วขณะ และไม่ค่อยมั่นใจเลยว่า ควรเรียกที่นี่ว่าบ้าน คฤหาสน์ หรือวิลล่าดี…

ที่นี่คือบ้านของชูซินซู

พระเจ้าช่วยลูกช้างด้วย…

“นี่คุณคนนั้นน่ะ! มาทำอะไรที่นี่ครับ?”

ชายร่างกำยำในชุดสูทสีดำสนิท ใส่อุปกรณ์หูฟังไร้สายอยู่ข้างหนึ่งเอ่ยเสียงดังหนักแน่นยิงคำถามใส่ฉีเล่ยทันที เขาคนนี้เฝ้าสังเกตอยู่เป็นเวลานานแล้ว แต่ก็เห็นว่าฉีเล่ยยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนเลย

ฉีเล่ยก้าวตรงเข้าไปหาและยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“สวัสดีครับ ผมมาหาคนในบ้านหลังนี้”

“มาหาคนที่นี่?”

บอดี้การ์ดร่างกำยำปั้นหน้าดุใส่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของฉีเล่ยเลย แววตาที่จับจ้องเปี่ยมล้นไปด้วยความสงสัย

“ไม่ทราบว่ามาหาใครครับ?”

ฉีเล่ยชี้ไปยังคฤหาสน์หลังนี้และกล่าวถามขึ้นว่า

“ไม่ทราบว่าเจ้าของบ้านหลังนี้คือคุณชูรึเปล่า?”

บอดี้การ์ดปั้นสีหน้าเยาะเย้ยขึ้นทันที ก่อนกล่าวสบประมาทตอบไปว่า

“อะไรกัน? บอกว่ามาหาคนที่นี่ไม่ใช่รึไง? กับแค่ชื่อสกุลยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ”

“ผมทราบชื่อสกุลของเธอครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเธออาศัยอยู่ที่นี่จริงๆรึเปล่า?”

สีหน้าของบอดี้การ์ดมืดทมิฬลงทันทีและกล่าวว่า

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเป็นใคร แต่เชิญออกไปด้วยครับ สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างคุณควรมา”

“โอ๊ะ?”

ฉีเล่ยผงะไปชั่วครู่

“เห็นฉันเป็นคนแบบไหนกัน?”

“พูดอะไร? ผมมีหน้าที่เฝ้าคฤหาสน์แห่งนี้ รบกวนอย่ามาสร้างปัญหาครับ ที่แห่งนี้มีบอดี้การ์ดเฝ้ายามอยู่ตลอด24ชม. ทั้งทิศเหนือใต้ออกตก ถ้าคิดจะมาปล้นที่นี่ก็ขอให้หยุดความคิดนั่นซะ”

พอได้ยินแบบนั้น ฉีเล่ยก็เข้าใจได้ทันทีว่า ในสายตาบอดี้การ์ดคนนี้เขามาในฐานะอะไร

ฉีเล่ยถูกมองว่าเป็น‘ขโมย’ไปซะแล้ว

“ผมมาที่นี่เพื่อมาหาเจ้าของบ้านหลังนี้จริงๆ”

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว สงสัยต้องออกแรงสักทีใช่ไหมถึงจะเข้าใจ? เก้าในสิบที่แจ้งมาว่า มาที่นี่เพื่อหาคนในบ้าน ล้วนมาไม่ดีกันหมด ถ้ายังไม่รีบไสหัวไป ผมต้องใช้ความรุนแรงจริงๆแล้ว”

“เออ เออ ช่างมันเถอะ เดี๋ยวผมค่อยอธิบายทีหลังแล้วกัน”

ฉีเล่ยไม่ให้ความสนใจกับเขาอีกต่อไป และเดินตรงเข้าไปกดกริ่งประตูรั้วมหึมาทันที

“นี่! นี่คุณจะทำอะไร? อย่ากดกริ่งโดยไม่ได้รับอนุญาต!”

บอดี้การ์ดรีบตรงเข้ามาหยุดทันที

“น่ารำคาญ”

ฉีเล่ยสบถออกไปคำหนึ่งและกล่าวเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“ถ้าผมเป็นขโมยจริง มีเหรอจะโผล่หัวออกมาโท่งๆและเดินมากดกริ่งแบบนี้? คิดหน่อยสิ คิดหน่อย!”

“หยุดเดี๋ยวนี้!

บอดี้การ์ดไม่รับฟังใดๆอีกต่อไป และรีบพุ่งออกไปคว้าแขนเสื้อของฉีเล่าเพื่อหยุดไม่ให้เดินไปต่อ

ฉีเล่ยขมวดคิ้วแน่น

“ทำเสื้อผ้าผมยับหมดแล้ว! เพิ่งซื้อมาใหม่วันนี้เองนะ”

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์หน้าคฤหาสน์เริ่มเกิดความโกลาหล บอดี้การ์ดอีกสองสามคนที่ยืนเฝ้าอยู่จุดอื่นก็รีบวิ่งเข้ามาเสริมทันที ระหว่างทางยังรีบปลดกระบองจากที่คาดเอวออกมาเตรียมเข้าปะทะ

อ่าหะ…ต้องให้ใช้กำลัง?

จังหวะชุลมุนฉีเล่ยกวาดมือลูบไล้ท่อนแขนของบอดี้การด์คนนั้นทันที พอได้จังหวะก็สกัดจุดให้แขนอีกฝ่ายชาและบิดแขนแนบเข้าแผ่นหลังบอดี้การ์ดคนนั้น

แต่ฉีเล่ยยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ยกเท้าแตะเข้าไปที่ข้อพับเจาะยางอีกฝ่ายจนทรุดตัวลง พอเห็นบอดี้การ์ดอีกสามคนวิ่งกรูเข้ามา ก็ผลักร่างบอดี้การ์ดคนนั้นล้มใส่ทั้งสามคนจนล้มกลิ้งระเนระนาด

พอเห็นว่าสหายของพวกตนกำลังตกอยู่ในอันตราย กลุ่มบอดี้การ์ดจากลานหน้าบ้านก็กระชับกระบองในมือแน่นวิ่งรุมกันออกมาเพื่อหยุดฉีเล่ย

“หยุด!”

ในขณะนั้นเอง สุ้มเสียงตะโกนลั่นก็ดังขึ้นจากหน้าประตูคฤหาสน์

เสียงตะโกนเป็นของชายแก่คนหนึ่ง อายุประมาณ60ปีเห็นจะได้ หวีผมเรียบแปล้ไปทางด้านหลัง สวมชุดคลุมจีนสีขาว อย่างกับเป็นพวกปรมาจารย์ไทเก๊กในสวนอะไรแบบนั้น

ชายผู้นี้ดูทรงพลังอย่างมาก อาศัยเพียงเสียงตะโกนก็สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของบอดี้การ์ดได้ในชั่วอึดใจ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ชายแก่เหลือบมองมาที่ฉีเล่ยเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามพวกบอดี้การ์ด

“พ่อบ้านฟาง เขาทำตัวลับๆล่อๆอยู่หน้าประตูรั้วนานแล้ว ผมกลัวว่าเขาจะเป็นขโมยน่ะครับ เลยรีบตรงมาหยุด แต่ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะลงมือลงไม้แบบนี้”

บอดี้การ์ดที่โดนฉีเล่ยเตะเล่นงานไปเมื่อครู่ รีบลุกขึ้นปัดเศษดินเศษฝุ่นบนเสื้อผ้าพลางอธิบายให้ชายแก่คนนั้นฟัง

เมื่อได้ยินแบบนั้น พ่อบ้านฟางก็หรี่ตาแคบจับจ้องมาทางฉีเล่ยทันที

“คุณมาทำอะไรที่นี่?”

แววตาของตาแก่คนนี้ทั้งดุดันและอันตรายอย่างยิ่ง เพียงจ้องตากันกลับเสมือนมีคมมีดแหลมมาจ่อคอหอย เพียงปราดตาเดียวฉีเล่ยก็รู้ได้ทันทีว่า อีกฝ่ายเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน

“ผมมาหาเจ้าของบ้านหลังนี้”

“มาหาใคร?”

“ชูซินซู”

“ซินซู?”

พ่อบ้านฟางจับจ้องไปยังฉีเล่ยอีกคราและเอ่ยถามย้ำขึ้นว่า

“คุณเป็นใคร? มาที่นี่ทำไม?”

“โอ้? ชูซินซูอยู่ที่นี่จริงๆเหรอเนี่ย?”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มขึ้นทันใด ทีแรกก็อดกังวลไม่ได้ว่าเขามาผิดที่รึเปล่า และอาจสร้างปัญหาให้คนอื่นโดยไม่ตั้งใจ

“ใช่เธออยู่ที่นี่ แต่คุณเป็นใคร?”

พ่อบ้านฟางเอ่ยถามซ้ำน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ใด

เผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ ฉีเล่ยจึงพยายามกล่าวตอบอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ผมชื่อเล่ย แซ่ฉี เรียกผมว่าฉีเล่ยเลยก็ได้ พอดีชูซินซูบอกให้ผมมาหาเธอ ช่วยพาผมเข้าไปได้ไหมครับ?”

“ฉีเล่ย? คุณคือคุณฉีรึเปล่าครับ?”

สีหน้าของพ่อบ้านฟางดูผงะไปชั่วครู่ ทั่วใบหน้าของเขาอัดแน่นไปด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ครับ ผมฉีเล่ย ไม่ทราบว่า…”

ฉีเล่ยปั้นสีหน้างุนงงไม่น้อย ไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมหลังจากพูดชื่อตัวเองออกไปเสร็จ ทัศนคติของชายแก่คนนี้ที่มีต่อเขาถึงได้เปลี่ยนไป ราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ขนาดนี้?

“คุณฉีครับ เชิญเข้ามาก่อนครับ เชิญเข้ามา”

จู่ๆพ่อบ้านฟางก็รีบจับมือฉีเล่ยเดินจูงเข้าคฤหาสน์กันไปสองคนทันที พวกบอดี้การ์ดถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก แต่ก่อนจะเข้าตัวคฤหาสน์ไป พ่อบ้านฟางหันมากล่าวกับพวกนั้นว่า

“พวกนาย วันหลังก็หัดระวังหน่อย เวลามีแขกมาหารีบมาแจ้งฉันก่อน เข้าใจไหม!”

“คะ-ครับ!”

พวกบอดี้การ์ดรีบเอ่ยตอบโดยพร้อมเพรียงทันที

จากนั้นพ่อบ้านฟางก็จูงฉีเล่ยเข้าไปในตัวคฤหาสน์ และกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นราวกับเจอคนดังว่า

“คุณฉี หลังจากที่คุณหนูกลับมา เธอก็เล่าเรื่องที่คุณช่วยชีวิตไว้บนเครื่องบินไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ คุณฉีสามารถรักษาอาการป่วยของคุณหนูได้จริงๆ สำหรับโรคร้ายที่คุณหนูกำลังเผชิญอยู่ สมาชิกตระกูลชูทุกคนต่างพยายามอย่างหนักเพื่อเฟ้นหาแพทย์เลื่องชื่อมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถค้นหาต้นเหตุโรคของเธอได้เลย”

“ต้นเหตุ?”

ฉีเล่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“แต่ที่ผมช่วยไปเป็นแค่ระงับอาการกำเริบของเธอเท่านั้น ต่อให้เป็นผมเองถ้าจะให้รักษาต้นเหตุให้หายก็ยังยาก…”

พ่อบ้านฟางกล่าวต่อว่า

“ไม่ ไม่ ไม่เลยครับ ครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกครั้งเลย โดยปกติคุณหนูมักจะอาการกำเริบทุกๆสองถึงสามวัน ดังนั้นจึงต้องพกยาพิเศษติดตัวไปตลอด แต่บางครั้งเนื่องจากเป็นธุระด่วน เธอจึงลืมพกมันไป”

“ถึงแบบนั้นนะคุณฉี หลังจากที่คุณระงับอาการกำเริบของคุณหนูบนเครื่องบิน ตั้งแต่นั้นมาในช่วงสองสามวันมานี้ อาการของเธอก็ไม่กำเริบอีกเลย! คุณหนูบอกว่า ทั้งหมดต้องยกให้เป็นความดีความชอบของคุณ!”

“ความดีความชอบของผม?”

ฉีเล่ยตกใจ

“ใช่ครับ ความดีความชอบของคุณเลย! คุณถือเป็นผู้มีพระคุณต่อสกุลชู!”

ฉีเล่ยก็แค่ปฏิบัติตามหน้าที่เท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่า การช่วยเหลือใครสักคนบนเครื่องบิน จะทำให้เขากลายมาเป็นผู้มีพระคุณต่อผู้อื่นไปซะได้

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset