ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 62 มอบข้อเสนอ

ตอนที่62 มอบข้อเสนอ

“หุบปาก!”

ชูเฟิงอี้ตะคอกใส่

“นี่แกรู้อะไรไหม พวกเราตระกูลชูทำธุรกิจด้วยใจ แล้วก็ยังปฏิบัติต่อผู้มีบุญคุณด้วยใจเช่นกัน! เคยมีครั้งไหนบ้างมั๊ยที่แกทำให้ฉันพอใจ? ออกไปซะ!”

“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดรึไง ออกไป!”

ชูซินฮังสวนตอบทันทีด้วยความดื้อรั้นว่า

“แต่ปู่! ถึงจะแบบนั้น ปู่ก็ไม่ควรบังคับพี่สาวให้คุกเข่าต่อหน้าหมอนี่สิ ดูสภาพเขาหน่อย ก็แค่หมอปลายแถวไม่มีชื่อเสียง”

“ผมว่าเขาจะมาหลอกคุณปู่เพื่อหวังผลประโยชน์มากกว่า! ขนาดแมวตาบอดยังช่วยชีวิตหนูที่ตายแล้วได้ นับประสาอะไรกับแค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้น!”

แม้ว่าชูซินฮังจะค่อนข้างกลัวปู่ของเขามาก แต่ถึงอย่างนั้น ในฐานะน้องชาย เขาก็ไม่สามารถทนฟังคุณปู่สั่งให้พี่สาวของตน คุกเข่าแทบเท้าผู้ชายคนนี้ได้ ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของเธอ ต่อให้ต้องมีปากเสียงกับคุณปู่ก็ตามที

ชูเฟิงอี้ตบโต๊ะเสียงดังปัง หันไปสั่งพ่อบ้านฟางว่า

“พ่อบ้านฟาง เอาตัวหลานฉันออกไป! แล้วอย่าปล่อยเข้ามาสร้างปัญหาอีก!”

“ครับนายท่าน”

พ่อบ้านฟางโค้งศีรษะรับคำสั่ง และเดินไปฉุดแขนของชูซินฮังออกไป

“คุณปู่ ขอร้องล่ะ! อย่าให้พี่สาวต้องทำเรื่องอะไรแบบนี้เลย! หมอนี่มันไม่คู่ควรกับพี่สาวของผม!”

ชูเฟิงอี้เหลียวหลังกลับและกล่าวขอโทษกับฉีเล่ยทันที

“สงสัยฉันคงจะตามใจไอ้หลานคนนี้มากเกินไป ถึงได้นิสัยเสียแบบนี้ ยังไงก็ขอโทษด้วยแล้วกัน”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มกว้างกล่าวตอบไปว่า

“ไม่เป็นไรครับ ดูท่าเขากับพี่สาวจะค่อนข้างสนิทกันมาก”

ชูเฟิงอี้พยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

“ฉีเล่ย เธอคิดยังไงกับซินซู?”

“หะ-…ครับ? ทำไมจู่ๆถึงถามแบบนี้ล่ะครับ? ผมไม่เข้าใจเลย”

พอจ้องสังเกตสีหน้าของอาวุโสชู ฉีเล่ยพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นทันใด

เพราะสีหน้าการแสดงออกของชายแก่คนนี้ ดูค่อนข้างน่ากลัวและจริงจังอย่างมาก ถ้าจะให้พูดง่ายๆคือ…สีหน้าของชูเฟิงอี้ในเวลานี้ เหมือนกับตอนที่หลี่ฮั่วเฉินพยายามจับคู่เขากับหลานสาวในตอนแรกไม่มีผิด!

ชูเฟิงอี้ยิ้มตอบไปว่า

“เจ้าหลานสาวคนนี้ ตั้งแต่กลับมาจากสนามบินก็เอาแต่พูดถึงเรื่องของเธอไม่หยุดหย่อนเลยล่ะ แถมยังรู้สึกขอบคุณอย่างมากที่เธอช่วยชีวิตเอาไว้ ฉันก็ผ่านโลกมาเยอะแล้ว แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีเลยว่า ซินซู…”

ฉีเล่ยรีบร้องขัดจังหวะหยุดชูเฟิงอี้ในทันใด

“หยุดก่อนครับ!”

อะไรของคนแก่พวกนี้กันวะ? ผู้หญิงในปักกิ่งมันโสดสนิทกันทุกเลยรึไง? ถึงได้มีญาติโกโหติกาคอยจับคลุมถุงชนกันเป็นว่าเล่นแบบนี้?

ฉีเล่ยส่งสายตาจับจ้องชูเฟิงอี้เจือท่าทีประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มทำเป็นใจดีสู้เสือกล่าวขึ้นว่า

“อาวุโส…คุณปู่ชูครับ อย่าหาว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่เรื่องระหว่างผมกับคุณชูคงเป็นไปไม่ได้จริงๆ”

ชูเฟิงอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

จากรอยยิ้มแสนอบอุ่นก่อนหน้า ยามนี้กลับจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงรังสีอำมหิตขุมหนึ่งที่พวยพุ่งออกมา

ในเวลานี้ เขาไม่ใช่คนแก่ผู้มีใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกต่อไป แต่กลับกลายมาเป็นเสือสมิงผู้คร่ำหวอดแห่งวงการธุรกิจมานานหลายสิบปี และกำลังเจรจาเรื่องความเป็นความตายกับฉีเล่ยอยู่แทน

ชูเฟิงอี้สูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงค่อยปริปากกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำ ใครได้ยินต่างเสียวสันหลังวาบ

“นี่เธอกำลังดูแคลนธุรกิจของตระกูลเราอย่างงั้นเหรอ?”

“เปล่าครับ”

ฉีเล่ยส่ายหัวพลางคลี่ยิ้มตอบอย่างขมขื่น

ชูเฟิงอี้ถามต่ออีกครั้ง

“หรือซินชูสวยไม่พอ?”

“ก็ไม่ใช่อีกแหละครับ”

ชูเฟิงอี้ไม่ปริปากถามอะไรต่อ และเอ่ยขึ้นแทนว่า

“งั้นก็บอกเหตุผลมาสิ”

ฉีเล่ยในตอนนี้กลับดูสงบลงอย่างน่าใจหาย ที่เขาประหม่าก่อนหน้าก็เพราะกำลังตกใจว่า ทำไมตัวเองถึงได้เนื้อหอมอะไรนักหนา ก็เลยรู้สึกตื่นใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ได้มีโอกาสอธิบายสักทีจึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า

“คุณเพิ่งรู้จักผมวันนี้เองนะครับ ขอพูดตามตรงเลย ผมแต่งงานแล้ว และอยู่กับภรรยามาแล้วตั้งแปดปี ยิ่งไปกว่านั้นทั้งผมกับเธอ พวกเราสองคนยังรักกันดีครับ”

เมื่อเห็นว่า ปฏิกิริยาของชูเฟิงอี้หลังจากได้ยินแบบนั้น คล้อยหลังเปลี่ยนเป็นอ้ำๆอึ้งๆไป ฉีเล่ยจึงอธิบายต่อว่า

“ก็อย่างที่บอกไปครับ ตอนนี้พวกเราสามีภรรยามีความสุขกันดี และไม่มีความคิดที่จะหย่าร้างกัน ที่สำคัญผมกับคุณชู พวกเราเพิ่งรู้จักกันบนเครื่องบินเป็นครั้งแรก เรื่องชีวิตคู่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะครับ ของแบบนี้ต้องใช้เวลาคบหาดูใจกัน ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินได้ด้วยอารมณ์ หรือความคิดชั่ววูบ”

“ถ้าสิ่งที่ผมพูดออกไป มันทำร้ายจิตใจกันเกินไป ผมก็ต้องขอโทษด้วยครับ แต่นี่เป็นความจริงที่ผมควรพูดให้คุณได้รับรู้”

หลังจากได้ฟังคำพูดประโยคนี้ของฉีเล่ย สีหน้าของชูเฟิงอี้ยังคงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด เขาเอาแต่จับจ้องฉีเล่ยตาเขม็งไม่คลายอ่อน

ทว่าคล้อยหลังไม่นาน จู่ๆชูเฟิงอี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

“ฮ่าฮ่า ใช่เลย! นี่แหละใช่เลย! ฉันไม่ได้พบเจอชายหนุ่มที่น่าสนใจขนาดนี้มานานแล้ว!”

ชูเฟิงอี้คลี่ยิ้มมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องฉีเล่ยไม่ไปไหน และกล่าวขึ้นอย่างใจเย็นว่า

“สิ่งที่เธอพูดออกมาเมื่อครู่ มันเกินความคาดหมายของฉันจริงๆ ทีแรกตอนที่ฉันได้ยินว่าเธอมา ฉันก็กังวลใจไม่น้อย กลัวว่าเธอจะเป็นพวกแต่งงานเพื่อหวังสมบัติสกุลชู”

“แต่ก็นะ…มีผู้ชายมากมายที่ต้องการแต่งงานกับหลานสาวของฉัน ไม่เพียงจะได้สาวสวยมาเป็นภรรยาคอยอยู่เคียงข้าง แต่สิ่งที่จะได้ตามมาด้วยก็คือ สมบัติและความมั่งคั่งของสกุลชู แล้วใครบ้างจะอดใจไหว? ถ้าปล่อยให้ผู้ชายแบบนั้นหลุดรอดแต่งเข้าตระกูลชูขึ้นมาจริงๆ ฉันจะนอนตายตาหลับได้ยังไง!”

ฉีเล่ยแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในใจ พยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายว่า

“อาวุโสชู อย่าคิดอะไรไปไกลกว่านั้นเลย ถ้าผมแต่งงานกับเธอจริง เคยคิดไหมครับว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”

ชูเฟิงอี้มองลึกลงไปในแววตาของฉีเล่ย และกล่าวน้ำเสียงเด็ดขาดขึ้นว่า

“อนาคตเป็นยังไงฉันไม่รู้ แต่วันนี้เธอไม่สามารถออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้ได้แน่!”

ฉีเล่ยปั้นหน้าเหยเก พลันแอบคิดกับตัวเองอยู่ในใจ รู้อย่างนี้ตัวเขาน่าจะตามน้ำอีกฝ่ายไป เรื่องบ้าบอพวกนี้จะได้จบๆไปสักที แต่น่าเสียดายที่เขาดันไม่โง่แบบนั้น

เพราะในความเห็นของฉีเล่ยทีแรก การที่ตระกูลชูสามารถกลายมาเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยได้ขนาดนี้ แสดงประวัติความเป็นมาย่อมโชกโชน

เรื่องบุญคุณทั้งที่เคยช่วยเหลือผู้อื่น หรือเป็นฝ่ายรับความช่วยเหลือ ย่อมเคยเกิดขึ้นแน่นอนอย่างฏิเสธไม่ได้ และเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาตระกูลชู จะต้องตอบแทนบุญคุณอีกฝ่ายอย่างไม่คิดตระหนี่

ถึงแบบนั้น การจะยกหลานสาวให้ผู้ชายคนอื่นง่ายๆแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรจาก คางคงกินเนื้อหงส์ แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่า ฝันกลางวัน

และข้อสำคัญก็คือ ฉีเล่ยแต่งงานแล้ว และที่เขาจำใจต้องมาที่นี่ ก็เป็นเพราะต้องการตรวจดูอาการป่วยของชูซินซูเท่านั้น

ฉีเล่ยไม่สนใจหรอกว่า ชายแก่ตรงหน้าจะพยายามทดสอบจิตใจของเขาหรืออะไร แต่นี่ทำให้ทัศนคติที่เขามีต่อชายแก่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ชูเฟิงอี้นั่งครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะกล่าวกับฉีเล่ยขึ้นว่า

“คฤหาสน์หลังนี้แต่เดิมสร้างโดยตระกูลชูตั้งแต่ยุคแรกๆ ดังนั้นจึงมีการผสมผสานทางลับที่เธอมองไม่เห็น ถ้าเธอยังไม่สามารถให้คำตอบที่ทำให้ฉันพอใจได้ ฉันก็จะไม่ปล่อยให้เธอไปไหนทั้งนั้น”

เมื่อเห็นว่าท่าทางการแสดงออกของฉีเล่ยยังคงดูเฉยชา ปราศจากท่าทีประหลาดใจใดๆ ชูเฟิงอี้ก็กล่าวต่อว่า

“ตระกูลชูของฉันเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางเก่าแก่ของจีน ดังนั้นธุรกิจทั้งในด้านเอกชนและรัฐ รวมไปถึงอิทธิพลทางการเมือง ย่อมเชื่อมโยงกับตระกูลชูของเราทั้งหมด”

“คงจะไม่ใช่การพูดโอ้อวดเกินจริงเท่าไหร่ หากจะบอกว่า ถ้าปราศจากตระกูลของเรา เศรษฐีจีนในปัจจุบันอาจล้าหลังกว่าที่เห็นอยู่นับสิบปี”

ชูเฟิงอี้จ้องตาฉีเล่ยเขม็ง ทั้งยังอธิบายต่ออีกว่า

“อาณาจักรธุรกิจของตระกูลชูค่อนข้างใหญ่มาก และตอนนี้ ทั้งหมดนั้นก็อยู่ในมือของซินซู ดังนั้นแล้ว เรื่องแต่งงานของเธอจึงค่อนข้างสำคัญอย่างมาก และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขธรรมเนียมที่สืบทอดต่อกันมา”

“แต่”

ชูเฟิงอี้จงใจหยุดชะงักไปหนึ่งจังหวะ และจับจ้องฉีเล่ยไม่มีคลายอ่อนพร้อมยิ้มตอบว่า

“เท่าที่ฉันสนทนากับเธอจนถึงตอนนี้ ฉันเริ่มสนใจเธอขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะ”

ครั้งนี้ฉีเล่ยถอนหายใจออกมาอย่างไม่มีปิดบังแต่อย่างใด และกล่าวตอบไปว่า

“อาวุโสชู ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพยายามจะสื่อ แล้วไม่ผมรู้หรอกนะครับว่า ตอนนี้คุณกำลังพยายามทดสอบอะไรผม แต่ผมขอบอก ณ ตรงนี้เลยว่า ผมเป็นหมอ มีหน้าที่รักษาคนป่วย ถึงจะไม่เอ่ยปากขอบคุณ ผมก็ไม่ถือสาอะไรเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ขอแค่ปล่อยผมกลับบ้านไปก็พอแล้ว”

ในฐานะผู้นำตระกูลขุนนางเก่าของชูเฟิงอี้ เขาย่อมสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดของฉีเลยได้อย่างชัดเจน

“ฉีเล่ย เมื่อครู่ที่ฉันพยายามจะทดสอบเธอไป ฉันขอยอมรับผิดแต่โดยดี ยังไงก็ต้องขอโทษจริงๆ แต่เธอเองก็ควรเข้าใจเช่นกันนะว่า ฉันต้องการอะไร”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset