ตอนที่62 มอบข้อเสนอ
“หุบปาก!”
ชูเฟิงอี้ตะคอกใส่
“นี่แกรู้อะไรไหม พวกเราตระกูลชูทำธุรกิจด้วยใจ แล้วก็ยังปฏิบัติต่อผู้มีบุญคุณด้วยใจเช่นกัน! เคยมีครั้งไหนบ้างมั๊ยที่แกทำให้ฉันพอใจ? ออกไปซะ!”
“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดรึไง ออกไป!”
ชูซินฮังสวนตอบทันทีด้วยความดื้อรั้นว่า
“แต่ปู่! ถึงจะแบบนั้น ปู่ก็ไม่ควรบังคับพี่สาวให้คุกเข่าต่อหน้าหมอนี่สิ ดูสภาพเขาหน่อย ก็แค่หมอปลายแถวไม่มีชื่อเสียง”
“ผมว่าเขาจะมาหลอกคุณปู่เพื่อหวังผลประโยชน์มากกว่า! ขนาดแมวตาบอดยังช่วยชีวิตหนูที่ตายแล้วได้ นับประสาอะไรกับแค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้น!”
แม้ว่าชูซินฮังจะค่อนข้างกลัวปู่ของเขามาก แต่ถึงอย่างนั้น ในฐานะน้องชาย เขาก็ไม่สามารถทนฟังคุณปู่สั่งให้พี่สาวของตน คุกเข่าแทบเท้าผู้ชายคนนี้ได้ ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของเธอ ต่อให้ต้องมีปากเสียงกับคุณปู่ก็ตามที
ชูเฟิงอี้ตบโต๊ะเสียงดังปัง หันไปสั่งพ่อบ้านฟางว่า
“พ่อบ้านฟาง เอาตัวหลานฉันออกไป! แล้วอย่าปล่อยเข้ามาสร้างปัญหาอีก!”
“ครับนายท่าน”
พ่อบ้านฟางโค้งศีรษะรับคำสั่ง และเดินไปฉุดแขนของชูซินฮังออกไป
“คุณปู่ ขอร้องล่ะ! อย่าให้พี่สาวต้องทำเรื่องอะไรแบบนี้เลย! หมอนี่มันไม่คู่ควรกับพี่สาวของผม!”
ชูเฟิงอี้เหลียวหลังกลับและกล่าวขอโทษกับฉีเล่ยทันที
“สงสัยฉันคงจะตามใจไอ้หลานคนนี้มากเกินไป ถึงได้นิสัยเสียแบบนี้ ยังไงก็ขอโทษด้วยแล้วกัน”
ฉีเล่ยคลี่ยิ้มกว้างกล่าวตอบไปว่า
“ไม่เป็นไรครับ ดูท่าเขากับพี่สาวจะค่อนข้างสนิทกันมาก”
ชูเฟิงอี้พยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ฉีเล่ย เธอคิดยังไงกับซินซู?”
“หะ-…ครับ? ทำไมจู่ๆถึงถามแบบนี้ล่ะครับ? ผมไม่เข้าใจเลย”
พอจ้องสังเกตสีหน้าของอาวุโสชู ฉีเล่ยพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นทันใด
เพราะสีหน้าการแสดงออกของชายแก่คนนี้ ดูค่อนข้างน่ากลัวและจริงจังอย่างมาก ถ้าจะให้พูดง่ายๆคือ…สีหน้าของชูเฟิงอี้ในเวลานี้ เหมือนกับตอนที่หลี่ฮั่วเฉินพยายามจับคู่เขากับหลานสาวในตอนแรกไม่มีผิด!
ชูเฟิงอี้ยิ้มตอบไปว่า
“เจ้าหลานสาวคนนี้ ตั้งแต่กลับมาจากสนามบินก็เอาแต่พูดถึงเรื่องของเธอไม่หยุดหย่อนเลยล่ะ แถมยังรู้สึกขอบคุณอย่างมากที่เธอช่วยชีวิตเอาไว้ ฉันก็ผ่านโลกมาเยอะแล้ว แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีเลยว่า ซินซู…”
ฉีเล่ยรีบร้องขัดจังหวะหยุดชูเฟิงอี้ในทันใด
“หยุดก่อนครับ!”
อะไรของคนแก่พวกนี้กันวะ? ผู้หญิงในปักกิ่งมันโสดสนิทกันทุกเลยรึไง? ถึงได้มีญาติโกโหติกาคอยจับคลุมถุงชนกันเป็นว่าเล่นแบบนี้?
ฉีเล่ยส่งสายตาจับจ้องชูเฟิงอี้เจือท่าทีประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มทำเป็นใจดีสู้เสือกล่าวขึ้นว่า
“อาวุโส…คุณปู่ชูครับ อย่าหาว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่เรื่องระหว่างผมกับคุณชูคงเป็นไปไม่ได้จริงๆ”
ชูเฟิงอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
จากรอยยิ้มแสนอบอุ่นก่อนหน้า ยามนี้กลับจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงรังสีอำมหิตขุมหนึ่งที่พวยพุ่งออกมา
ในเวลานี้ เขาไม่ใช่คนแก่ผู้มีใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกต่อไป แต่กลับกลายมาเป็นเสือสมิงผู้คร่ำหวอดแห่งวงการธุรกิจมานานหลายสิบปี และกำลังเจรจาเรื่องความเป็นความตายกับฉีเล่ยอยู่แทน
ชูเฟิงอี้สูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงค่อยปริปากกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำ ใครได้ยินต่างเสียวสันหลังวาบ
“นี่เธอกำลังดูแคลนธุรกิจของตระกูลเราอย่างงั้นเหรอ?”
“เปล่าครับ”
ฉีเล่ยส่ายหัวพลางคลี่ยิ้มตอบอย่างขมขื่น
ชูเฟิงอี้ถามต่ออีกครั้ง
“หรือซินชูสวยไม่พอ?”
“ก็ไม่ใช่อีกแหละครับ”
ชูเฟิงอี้ไม่ปริปากถามอะไรต่อ และเอ่ยขึ้นแทนว่า
“งั้นก็บอกเหตุผลมาสิ”
ฉีเล่ยในตอนนี้กลับดูสงบลงอย่างน่าใจหาย ที่เขาประหม่าก่อนหน้าก็เพราะกำลังตกใจว่า ทำไมตัวเองถึงได้เนื้อหอมอะไรนักหนา ก็เลยรู้สึกตื่นใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ได้มีโอกาสอธิบายสักทีจึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า
“คุณเพิ่งรู้จักผมวันนี้เองนะครับ ขอพูดตามตรงเลย ผมแต่งงานแล้ว และอยู่กับภรรยามาแล้วตั้งแปดปี ยิ่งไปกว่านั้นทั้งผมกับเธอ พวกเราสองคนยังรักกันดีครับ”
เมื่อเห็นว่า ปฏิกิริยาของชูเฟิงอี้หลังจากได้ยินแบบนั้น คล้อยหลังเปลี่ยนเป็นอ้ำๆอึ้งๆไป ฉีเล่ยจึงอธิบายต่อว่า
“ก็อย่างที่บอกไปครับ ตอนนี้พวกเราสามีภรรยามีความสุขกันดี และไม่มีความคิดที่จะหย่าร้างกัน ที่สำคัญผมกับคุณชู พวกเราเพิ่งรู้จักกันบนเครื่องบินเป็นครั้งแรก เรื่องชีวิตคู่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะครับ ของแบบนี้ต้องใช้เวลาคบหาดูใจกัน ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินได้ด้วยอารมณ์ หรือความคิดชั่ววูบ”
“ถ้าสิ่งที่ผมพูดออกไป มันทำร้ายจิตใจกันเกินไป ผมก็ต้องขอโทษด้วยครับ แต่นี่เป็นความจริงที่ผมควรพูดให้คุณได้รับรู้”
หลังจากได้ฟังคำพูดประโยคนี้ของฉีเล่ย สีหน้าของชูเฟิงอี้ยังคงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด เขาเอาแต่จับจ้องฉีเล่ยตาเขม็งไม่คลายอ่อน
ทว่าคล้อยหลังไม่นาน จู่ๆชูเฟิงอี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“ฮ่าฮ่า ใช่เลย! นี่แหละใช่เลย! ฉันไม่ได้พบเจอชายหนุ่มที่น่าสนใจขนาดนี้มานานแล้ว!”
ชูเฟิงอี้คลี่ยิ้มมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องฉีเล่ยไม่ไปไหน และกล่าวขึ้นอย่างใจเย็นว่า
“สิ่งที่เธอพูดออกมาเมื่อครู่ มันเกินความคาดหมายของฉันจริงๆ ทีแรกตอนที่ฉันได้ยินว่าเธอมา ฉันก็กังวลใจไม่น้อย กลัวว่าเธอจะเป็นพวกแต่งงานเพื่อหวังสมบัติสกุลชู”
“แต่ก็นะ…มีผู้ชายมากมายที่ต้องการแต่งงานกับหลานสาวของฉัน ไม่เพียงจะได้สาวสวยมาเป็นภรรยาคอยอยู่เคียงข้าง แต่สิ่งที่จะได้ตามมาด้วยก็คือ สมบัติและความมั่งคั่งของสกุลชู แล้วใครบ้างจะอดใจไหว? ถ้าปล่อยให้ผู้ชายแบบนั้นหลุดรอดแต่งเข้าตระกูลชูขึ้นมาจริงๆ ฉันจะนอนตายตาหลับได้ยังไง!”
ฉีเล่ยแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในใจ พยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายว่า
“อาวุโสชู อย่าคิดอะไรไปไกลกว่านั้นเลย ถ้าผมแต่งงานกับเธอจริง เคยคิดไหมครับว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”
ชูเฟิงอี้มองลึกลงไปในแววตาของฉีเล่ย และกล่าวน้ำเสียงเด็ดขาดขึ้นว่า
“อนาคตเป็นยังไงฉันไม่รู้ แต่วันนี้เธอไม่สามารถออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้ได้แน่!”
ฉีเล่ยปั้นหน้าเหยเก พลันแอบคิดกับตัวเองอยู่ในใจ รู้อย่างนี้ตัวเขาน่าจะตามน้ำอีกฝ่ายไป เรื่องบ้าบอพวกนี้จะได้จบๆไปสักที แต่น่าเสียดายที่เขาดันไม่โง่แบบนั้น
เพราะในความเห็นของฉีเล่ยทีแรก การที่ตระกูลชูสามารถกลายมาเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยได้ขนาดนี้ แสดงประวัติความเป็นมาย่อมโชกโชน
เรื่องบุญคุณทั้งที่เคยช่วยเหลือผู้อื่น หรือเป็นฝ่ายรับความช่วยเหลือ ย่อมเคยเกิดขึ้นแน่นอนอย่างฏิเสธไม่ได้ และเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาตระกูลชู จะต้องตอบแทนบุญคุณอีกฝ่ายอย่างไม่คิดตระหนี่
ถึงแบบนั้น การจะยกหลานสาวให้ผู้ชายคนอื่นง่ายๆแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรจาก คางคงกินเนื้อหงส์ แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่า ฝันกลางวัน
และข้อสำคัญก็คือ ฉีเล่ยแต่งงานแล้ว และที่เขาจำใจต้องมาที่นี่ ก็เป็นเพราะต้องการตรวจดูอาการป่วยของชูซินซูเท่านั้น
ฉีเล่ยไม่สนใจหรอกว่า ชายแก่ตรงหน้าจะพยายามทดสอบจิตใจของเขาหรืออะไร แต่นี่ทำให้ทัศนคติที่เขามีต่อชายแก่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ชูเฟิงอี้นั่งครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะกล่าวกับฉีเล่ยขึ้นว่า
“คฤหาสน์หลังนี้แต่เดิมสร้างโดยตระกูลชูตั้งแต่ยุคแรกๆ ดังนั้นจึงมีการผสมผสานทางลับที่เธอมองไม่เห็น ถ้าเธอยังไม่สามารถให้คำตอบที่ทำให้ฉันพอใจได้ ฉันก็จะไม่ปล่อยให้เธอไปไหนทั้งนั้น”
เมื่อเห็นว่าท่าทางการแสดงออกของฉีเล่ยยังคงดูเฉยชา ปราศจากท่าทีประหลาดใจใดๆ ชูเฟิงอี้ก็กล่าวต่อว่า
“ตระกูลชูของฉันเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางเก่าแก่ของจีน ดังนั้นธุรกิจทั้งในด้านเอกชนและรัฐ รวมไปถึงอิทธิพลทางการเมือง ย่อมเชื่อมโยงกับตระกูลชูของเราทั้งหมด”
“คงจะไม่ใช่การพูดโอ้อวดเกินจริงเท่าไหร่ หากจะบอกว่า ถ้าปราศจากตระกูลของเรา เศรษฐีจีนในปัจจุบันอาจล้าหลังกว่าที่เห็นอยู่นับสิบปี”
ชูเฟิงอี้จ้องตาฉีเล่ยเขม็ง ทั้งยังอธิบายต่ออีกว่า
“อาณาจักรธุรกิจของตระกูลชูค่อนข้างใหญ่มาก และตอนนี้ ทั้งหมดนั้นก็อยู่ในมือของซินซู ดังนั้นแล้ว เรื่องแต่งงานของเธอจึงค่อนข้างสำคัญอย่างมาก และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขธรรมเนียมที่สืบทอดต่อกันมา”
“แต่”
ชูเฟิงอี้จงใจหยุดชะงักไปหนึ่งจังหวะ และจับจ้องฉีเล่ยไม่มีคลายอ่อนพร้อมยิ้มตอบว่า
“เท่าที่ฉันสนทนากับเธอจนถึงตอนนี้ ฉันเริ่มสนใจเธอขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะ”
ครั้งนี้ฉีเล่ยถอนหายใจออกมาอย่างไม่มีปิดบังแต่อย่างใด และกล่าวตอบไปว่า
“อาวุโสชู ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพยายามจะสื่อ แล้วไม่ผมรู้หรอกนะครับว่า ตอนนี้คุณกำลังพยายามทดสอบอะไรผม แต่ผมขอบอก ณ ตรงนี้เลยว่า ผมเป็นหมอ มีหน้าที่รักษาคนป่วย ถึงจะไม่เอ่ยปากขอบคุณ ผมก็ไม่ถือสาอะไรเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ขอแค่ปล่อยผมกลับบ้านไปก็พอแล้ว”
ในฐานะผู้นำตระกูลขุนนางเก่าของชูเฟิงอี้ เขาย่อมสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดของฉีเลยได้อย่างชัดเจน
“ฉีเล่ย เมื่อครู่ที่ฉันพยายามจะทดสอบเธอไป ฉันขอยอมรับผิดแต่โดยดี ยังไงก็ต้องขอโทษจริงๆ แต่เธอเองก็ควรเข้าใจเช่นกันนะว่า ฉันต้องการอะไร”