ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 73 สักขีพยานต่อทักษะการแพทย์ปาฏิหาริย์

 ตอนที่73 สักขีพยานต่อทักษะการแพทย์ปาฏิหาริย์

ฉีเล่ยเดินฝ่าท่ามกลางนักศึกษาที่นั่งอยู่ขนาบซ้ายขวา ทุกครั้งที่เหลือบมองหน้าพวกเขาเหล่านั้น ตราบเท่าที่เห็นใบหน้าชัดเจนพอ ก็ย่อมสามารถวินิจฉัยอาการป่วยของแต่ละคนได้เป็นฉากๆ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาที่กำลังป่วยหนักหรืออาการแฝงเพียบงผิวเผิน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนสะท้อนให้เห็นบนใบหน้าทั้งหมด โดยไม่จำเป็นต้องจับชีพจรเลยด้วยซ้ำ

หลังจากเดินวนเป็นวงกลมได้ครึ่งรอบ ฉีเล่ยก็ยังไล่บรรยายถึงอาการเจ็บป่วยเรื้อรังของนักศึกษารายหนึ่งที่ไม่หาสาเหตุไม่ได้ หลังจากวินิจฉัยเสร็จ ใครอาการหนักหน่อยฉีเล่ยก็จะเขียนใบสั่งยาสมุนไพรให้พวกเขาไปตามซื้อ นักศึกษาทุกคนที่ได้รับใบสั่งยาไปต่างกล่าวขอบคุณเขาด้วยความซาบซึ้งใจยิ่ง

วันนี้พวกเขาต้องเข้ามาเรียนวิชา ‘การวินิจฉัย’ ไม่เพียงทึ่งกับภาพฉากอันน่ามหัศจรรย์ของอาจารย์คนใหม่ แต่ยังได้รับใบสั่งยารักษาอาการของแต่ละคน นี่ยังไม่รวมถึงความรู้ทางด้านสรรพคุณสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่สอดแทรกเข้ามาด้วย พอพวกเขาได้รับใบสั่งยามาเสร็จ นักศึกษาพวกนั้นก็รีบเร่งจับกลุ่มคุยกันอย่างเงียบๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

จนกระทั่งฉีเล่ยเดินตรงไปสุดแถวสุดท้าย ช่วยนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นสิวเต็มหน้า อธิบายให้ฟังว่าทั้งหมดเกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ พร้อมเขียนใบสั่งยาให้ทันที เพียงปราดตามองแค่ครั้งเดียวฉีเล่ยก็สามารถวินิจฉัยอาการป่วยของทุกคนในคลาสเรียนได้ โดยไม่พลาดเป้าแม้แต่คนเดียว

แน่นอนว่าสำหรับนักศึกษาหนุ่มที่กำลังคล้องคอกับแฟนสาวอยู่นั้น ฉีเล่ยกลับเลือกที่จะเพิกเฉยราวกับเป็นอากาศธาตุ

ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่งที่โดนเพิกเฉยไม่สนใจแบบนี้ ดังนั้นแล้วเขาจะต้องเรียกคืนศักดิ์ศรีกลับคืนมาให้จงได้ นักศึกษาชายคนนั้นตะโกนลั่นว่า

“ทำไมแกยังไม่วินิจฉัยฉันสักที? คงทำไมได้สินะ?”

ทัศนคติอันสุดแสนจะจองหองของนักศึกษาชายคนนี้ทำให้ทุกคนในคลาสรู้สึกรังเกียจอย่างยิ่ง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉีเล่ยสามารถเอาชนะใจของทุกคนได้โดยอาศัยทักษะการแพทย์ปาฏิหาริย์ของตัวเขา และตอนนี้เขาเองก็ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนโดยสมบูรณ์ พอถูกนักศึกษาชายคนนี้กล่าวยั่วยุขึ้นมา ทุกคนก็พลันรู้สึกว่า นี่คือสิ่งที่ไม่สมควรอย่างแรง

ฉีเล่ยปรายตานักศึกษาชายคนนั้นเล็กน้อย ก่อนหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า

“แน่ใจแล้วนะครับว่าจะให้พูด?”

“เออ! ถ้าเก่งจริงก็พูดมา! ก็จะทำไงได้ ร่างกายของฉันมันปกติดีอยู่แล้ว โทษทีนะที่แกอวดเก่งต่อหน้าฉันไม่ได้!”

เห็นได้ชัดว่านักศึกษาหนุ่มคนนี้ดูจะมั่นใจอย่างมากกับสุภาพร่างกายของตัวเอง และรู้สึกว่าตนไม่น่าจะผิดปกติอะไร

ฉีเล่ยส่ายหัวทันที ในเมื่อท้าทายมาขนาดนี้ส่งสัยต้องบอกความจริงในสำเหนียกสักหน่อยแล้ว

“นักศึกษาคนนี้เป็นโรคภาวะไตบกพร่อง หัดดูแลตัวเองหน่อยนะครับในอนาคต แม้ว่ายังหนุ่มยังแน่น แต่อย่าหมกมุ่นเรื่องเซ็กส์จนเกินควร”

ก๊ากกก!

ทั่วทั้งคลาสถึงกับหลุดหัวเราะเยาะเสียงดังลั่นอย่างอดไม่ได้

อันที่จริง นักศึกษาชายคนนี้ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่เป็นโรคสภาวะไตบกพร่อง แต่จะอย่างไรโรคดังกล่าวมันค่อนข้างน่าอายที่จะพูดออกไปตรงๆ ระหว่างเดินวินิจฉัยถ้าฉีเล่ยพบว่านักศึกษาคนใดเป็นโรคดังกล่าว เขาจะกระซิบข้างหูบอกพวกเขาแทน ป้องกันไม่ให้เกิดความอับอาย เว้นเสียแต่นักศึกษาชายคนนี้คนเดียวที่ฉีเล่ยไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใดๆ

“ไอ้เวร!!”

นักศึกษาหนุ่มคนนี้ชี้หน้าใส่ฉีเล่ย สบถด่าอย่างหยาบคาย

“ครับ? ผมวินิจฉัยผิดพลาดตรงไหนรึเปล่า?”

ท่าทางการแสดงออกของฉีเล่ยดูไม่สะทกสะท้านแม้สักนิด มุมปากฉีกรอยยิ้มเย็นออกมา

การเคารพครูบาอาจารย์คือความกตัญญูประเภทหนึ่งเช่นกัน สำหรับลูกศิษย์ที่ไม่รู้จักเคารพคุณครูผู้สอนสั่ง ฉีเล่ยก็ไม่จำเป็นต้องทำดีกับคนประเภทนี้เช่นกัน

นักศึกษาหนุ่มคนนั้นยังทำท่าทำทางราวกับต้องการจะเถียง แค่นักศึกษาสาวในอ้อมแขนของเขากลับเผยปรากฏใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เธอจับจ้องฉีเล่ยยิ่งกว่าเห็นผี ไม่ว่าผู้ชายจะพยายามปฏิเสธแค่ไหนก็ตาม แต่หลักฐานมันกลับคาหนังคาเขาบนใบหน้าของผู้หญิง

ฉีเล่ยเมินอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง และเดินกลับขึ้นไปบนเวทีหน้าห้อง ยืนหน้าโต๊ะอาจารย์และตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า

“ผมไม่สนหรอกนะครับว่าพวกคุณเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน ต่อให้เป็นลูกนายก แต่เมื่ออยู่ในห้องเรียนแล้ว พวกคุณก็มีเพียงบทบาทเดียวเท่านั้นก็คือนักเรียน!”

“ถ้าพวกคุณยังคิดว่าผมยังเด็กและไม่คู่ควรที่จะมาเป็นอาจารย์ของพวกคุณ ก็เชิญลองภูมิผมได้ตามที่ต้องการ”

“แต่ตอนนี้ผมก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ตัวผมมีคุณสมบัติมากพอที่จะมอบความรู้ให้กับทุกคน ดังนั้นหากใครยังมีอคติกับผมอยู่ก็เชิญออกจากห้องเรียนไปซะ!”

“ที่ตรงนี้คือห้องเรียน ถ้าจะมานั่งกอดกันนัวเนียกัน ไม่แม้แต่เห็นหัวคนเป็นอาจารย์ ก็เชิญออกไปซะ!”

“หรือใครที่รู้สึกเบื่อหน่ายคิดว่าแพทย์แผนจีนมันไร้ประโยชน์และไม่คิดที่จะจริงจังกับมัน ก็เชิญไปยื่นคำร้องขอย้ายสาขาได้เลย! ผมอนุญาต!”

หลังจากกวาดสายตามองนักศึกษารอบห้องไปคราหนึ่ง ฉีเล่ยก็กล่าวต่อว่า

“ผมขอบอกตามตรงนะครับ ถ้าใครไม่พอใจในตัวผมหรือถูกใครก็แล้วแต่บังคับมาเรียน ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียนมาให้เสียเวลา เพราะชั้นเรียนของผมก็ไม่ต้องรับพวกคุณเช่นกัน ผมมาที่นี่ก็เพื่อมอบความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ที่มาให้แก่พวกคุณ แต่ถ้าไม่ต้องการก็เชิญออกไปซะ ที่แห่งนี้ไม่มีใครเป็นหนี้ใคร”

“ส่วนใครที่คิดว่า เหตุผลที่ผมมาสอนก็เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องทำให้ผิดหวัง เพราะเศษเงินต่อเดือนที่ได้มาจากกระเป๋าพวกคุณ มันน้อยจนผมไม่เห็นค่ามันด้วยซ้ำ ที่ผมมาสอนก็เพราะอยากเผยแพร่ความรู้ความสามารถให้กับทุกคนนำไปต่อยอด และใช้ให้เกิดประโยชน์กับสังคม มันเป็นจรรยาบรรณและเจตจำนงของตัวผมเอง เหตุผลที่พวกคุณไล่อาจารย์คนอื่นไปก่อนหน้านี้ เพราะพวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะสอนพวกคุณ ก็ถือว่าขอบคุณนะครับที่คัดกรองพวกไม่เอาถ่านออกไป แต่ตอนนี้ตัวผมก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ผมคู่ควรที่จะสอนพวกคุณไหม?”

บนเวทีหน้าห้อง แววตาของฉีเล่ยดูดุดันและแข็งกร้าวยิ่งกว่าอะไร เขากวาดสายตาตั้งแต่บนจรดล่าง สยบทุกสายตาของนักศึกษาทุกคนได้อย่างอยู่หมัด

ทีแรกบรรยากาศทั่วทั้งคลาสเงียบงัน แต่สักครู่ต่อมาก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นจากทั่วทุกบริเวณ

มหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยการแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ ดังนั้นกระบวนการสอบเข้ามาที่นี่จึงเป็นไปอย่างเข้มงวด และเนื่องจากผู้สอบเข้ามาล้วนต้องมีความรู้ความสามารถในศาสตร์แพทย์แผนจีนระดับหนึ่ง นั้นหมายความว่านักศึกษาในคลาสเรียนโดยส่วนใหญ่ล้วนเข้ามาเพื่อศึกษาศาสตร์แพทย์แผนจีนด้วยใจจริง และมีส่วนน้อยมากที่เข้ามาเพราะสอบเข้าสาขาอื่นไม่ได้ เลยต้องจำใจเรียนไป

ดังนั้นแล้วนักศึกษาทุกคนที่นั่งอยู่ในวันนี้ได้ต่างมาพร้อมความหลงใหลในศาสตร์การแพทย์แผนจีน ทว่าความฝันของพวกเขากลับต้องถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่าโดยพวกอาจารย์ที่ไร้น้ำยา และความผิดหวังที่สั่งสมภายในใจจึงก่อเกิดเป็นความแค้นให้แก่นักศึกษาเหล่านี้

แต่หลังจากที่ได้เป็นสักขีพยานให้กับทักษะการแพทย์ปาฏิหาริย์ของฉีเล่ยด้วยตาตนเอง ผนวกกับคำพูดที่กลั้นออกมาจากใจจริงของเขาอีก ส่งผลให้มีบางสิ่งบางอย่างได้ปลุกกระตุ้นและจุดประกายจิตวิญญาณอันเร้าร้อนจากก้นบึ้งหัวใจของทุกคนขึ้นมาอีกครั้ง

กระทั่งนักศึกษาชายบางคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลื้มปีติ

ขณะที่สาวๆ ทั้งหลายปรบมือให้พลางเช็ดน้ำตา

ไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน แต่พอพวกเขาได้ยินคำพูดของฉีเล่ยแบบนั้น พลันรู้สึกตัวอีกทีก็อยากร้องไห้ออกมาเสียแล้ว

และบังเอิญว่าทุกคำพูดและการกระทำของฉีเล่ยก่อนหน้าทั้งหมด ดันมีใครบางคนที่แอบมองดูด้านนอกได้ยินเข้า

ซึ่งคนเหล่านั้นไม่ใช่คนจากสาขาแพทย์แผนจีนด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินคำพูดนี้ของฉีเล่ยเข้าไป ไม่รู้เหตุใดภายในใจของพวกเขากลับรู้สึกเร้าร้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

หัวหน้าคณะอาจารย์กัวขยับกรอบแว่นกรอบทองเล็กน้อยและหันไปพูดกับซูเสี่ยวหยานว่า

“คนนี้ใช่ไหมที่อาจารย์ซูไปกล่าวหาว่าเขาเป็นนักศึกษาของทางเรา?”

“ดิฉัน…ดิฉันผิดเองที่ไม่ตรวจสอบให้ดี…ดิฉันไม่คิดจริงๆ ค่ะว่า อีกฝ่ายจะเป็นอาจารย์…ขอโทษค่ะ…ขอโทษจริงๆ ค่ะ…”

สีหน้าการแสดงออกของซูเสี่ยวหยานในตอนนี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดราวกับปลาตาย ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะพยายามอธิบายหรือแก้ตัวอะไรออกไป สุ้มเสียงที่เปล่งออกมากลับไร้ซึ่งพละกำลังปราศจากอำนาจใด ทำได้แค่เหลือบมองที่หลี่ถงซีด้วยสายตาสุดจะอาฆาต

เธอตระหนักดีว่านี่เป็น ‘กลยุทธ์’ ที่หลี่ถงซีกับฉีเล่ยแอบวางแผนกันเอาไว้เพื่อแก้แค้นเธอโดยเฉพาะ ในเมื่อฉีเล่ยเป็นอาจารย์จริงๆ แล้วทำไมถึงไม่บอกกันให้รู้ก่อนล่ะ? ส่วนซูเสี่ยวหยานเองก็ตกหลุมพรางเข้าอย่างจัง และเดินตามแผนของหลี่ถงซีเพื่อมาพิสูจน์ว่าฉีเล่ยเป็นอาจารย์จริงๆ ทั้งหมดก็เพื่อหักหน้าเธอชัดๆ มันต้องใช่แน่ๆ!

“อาจารย์ซู! คุณนี่มันจริงๆ เลย!”

สีหน้าของหัวหน้าคณะอาจารย์กัวอัดแน่นไปด้วยความโกรธ

“อาจารย์ซู คุณเป็รอาจารย์นะ มีหน้าที่สั่งสอนและให้ความรู้ลูกศิษย์! ไม่ใช่เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีจนทำให้เพื่อนร่วมงานเสื่อมเสียชื่อเสียงกันแบบนี้! ถ้าต่อไปยังกล้าสร้างเรื่องขึ้นมาอีก ผมไม่เอาคุณไว้แน่!”

“ค่ะ…เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันผิดเอง…ต้องขอโทษหัวหน้าคณะกัวอีกครั้งนะคะ…”

ซูเสี่ยวหยานไม่เหลือหน้าเงยมองใครอีกแล้ว ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเอ่ยปากขอโทษไม่หยุด

“ไม่ต้องมาขอโทษผม! คนที่คุณควรขอโทษคืออาจารย์หลี่! ลองคิดดูสิว่าเรื่องที่คุณกุถขึ้นมันกระจายไปถึงไหนแล้ว? จะให้อาจารย์หลี่อธิบายกับทุกคนยังไง!!”

แต่เดิมหัวหน้าคณะอาจารย์กัวก็ไม่อยากมีปัญหากับหลี่ถงซีอยู่แล้ว เพราะกลัวมีเรื่องขัดแย้งกับหลี่ฮั่วเฉิน ยิ่งตอนนี้ทั้งหมดมันไม่ใช่ความผิดของหลี่ถงซีเลย แต่เป็นเรื่องที่ซูเสี่ยวหยานกุขึ้น แล้วถ้าต่อไปหลี่ฮั่วเฉินรู้ว่าเขามาหาเรื่องหลานสาวแบบนี้ เขาไม่ต้องโดนด่าฟรีเลยเหรอ?

ซูเสี่ยวหยานจเองฉีเล่ยที่อยู่ในห้องเรียนตาเขม็ง ก่อนจะเหลือบไปจ้องหลี่ถงซีที่อยู่ข้างๆ ต่อ แววตาของเธอช่างดูน่ากลัวและโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง ไม่แม้แต่ปริปากขอโทษกันสักคำ เธอเดินจากออกไปทันทีพร้อมกับส้นสูงคู่นั้น

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset