ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 79 แข่งเต้น

ตอนที่79 แข่งเต้น

พูดกันตามตรง ถ้าจะหาเพื่อนมาช็อปปิ้งสักคน หลี่ถงซีคงเป็นตัวเลือกแรกที่ต้องตัดทิ้ง ข้อแรกเลยคือ เธอเป็นคนเดินเร็วมาก ไม่เพียงแค่เป็นสาวขายาว แถมเดินสับเท้าไว ข้อที่สองเลยก็คือ ทุกครั้งที่มาเดินห้างก็คือเธอมีเป้าหมายอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นระหว่างทางเธอไม่แม้แต่จะเหลียวมองสิ่งรอบข้างด้วยซ้ำ ราวกับว่าเป็นภารกิจสำคัญต้องทำเวลา ถ้าซื้อไม่ทันเท่ากับโลกแตกอย่างใดอย่างนั้น

ถ้าเป็นผู้หญิงทั่วไป เวลาจะมาซื้อมือถือสักเครื่อง ระหว่างทางพวกเธอเหล่านั้นก็มักจะเดินแวะดูเสื้อผ้า ขนม หรือไม่ก็เครื่องประดับเล็กๆน้อยๆ แตกต่างจากหลี่ถงซีคนนี้โดยสิ้นเชิง เดินเร็วขนาดนี้อย่างกับจะไปแข่งโอลิมปิก

หลังจากจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ ฉีเล่ยก็นึกถึงตอนที่เขาพาเฉินอวี้หลิวมาเดินช็อปปิ้งกันก่อนบินมาเมืองหลวงแบบนี้ ต้องบอกเลยว่า การช็อปปิ้งครั้งนั้นเขามีความสุขอย่างมาก ที่ได้จับมือและเดินเล่นดูโน่นดูนี่

เมื่อเทียบกับตอนนี้เหรอ…

อย่างกับว่าฉีเล่ยกำลังซ้อมเดินเร็วเพื่อไปแข่งขันกีฬา!

ถ้าได้เดินจับมือด้วยกันก็คงดี…

เอ๊ะ?!

ฉีเล่ยรีบส่ายหัวทันทีด้วยความตกใจ

นี่เกิดอะไรขึ้นกับฉัน?

ทำไมจู่ๆถึงเอาหลี่ถงซีไปเปรียบเทียบกับเฉินอวี้หลิวได้?

ฉีเล่ยรีบสยบความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นออกไป และรีบเดินติดตามเธอไปโดยเร็ว

อย่างไรก็ตามแต่ ฉีเล่ยเองก็น่าเห็นใจไม่น้อย การที่ได้เดินเคียงข้างกับสาวสวยขนาดนี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะปลุกปั่นอารมณ์ของผู้ชายให้หลุดนอกกรอบได้ ฉีเล่ยไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่า ผู้ชายคนอื่นๆที่อยู่รอบข้างต่างจับจ้องมาทางเขาด้วยความอิจฉา

“ชอบกินอะไร?”

หลี่ถงซีเอ่ยถามขณะเดินอยู่

“อะไรก็ได้”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

“งั้นอาหารเสฉวน?”

“ผมไม่ชอบอาหารเผ็ด”

“ถ้าอย่างนั้นอาหารกวางตุ้ง?”

หลี่ถงซีกรอกตามองบนใส่เล็กน้อย ถ้าไม่กินเผ็ดก็ควรบอกว่าไม่กินเผ็ด ไม่ใช่ว่าตอบว่าอะไรก็ได้

“ได้ครับ อาหารกวางตุ้ง”

ฉีเล่ยที่เห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็ไม่กล้าปฏิเสธรอบสองแล้ว

ขณะที่พวกเขากำลังเดินเข้าไปในภัตตาคารอาหารกวางตุ้ง จู่ๆก็มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาดักล้อมพวกเขาไว้ทั้งด้านหน้าและหลัง แต่ละคนต่างส่งยิ้มน่ากลัวให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับกำลังยืนล้อมดูลิงในสวนสัตว์

“หื้ม?”

ฉีเล่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย

ทันใดนั้นเขาก็พลันสังเกตเห็นโห่วเจียนที่อยู่ปลายแถวด้านหลังของกลุ่มวัยรุ่น ดูเหมือนว่าเหอจื่อจะพูดถูกทุกประการ ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มันพาพวกกลับมาแก้แค้นจริงๆ

“ฮิฮิ ไม่เป็นไรนะคนสวย หลังจากจัดการไอ้หมอนั่นเสร็จแล้ว พวกเราไปเที่ยวกันดีไหมจ๊ะ?”

ชายหนุ่มผมเหลืองตัดทรงโมฮอกแถมยังเจาะรูที่หูนับไม่ถ้วน กล่าวขึ้นพลางจับจ้องหลี่ถงซีด้วยสายตากระหาย

ฉีเล่ยมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่งตัวแบบนี้นิสัยยังหยาบทรามอีก แค่เห็นก็รู้สึกสงสารแทนพ่อแม่แล้ว

ถ้าในอนาคตฉันมีลูกชายแบบนี้ คงไปขอรับเด็กคนอื่นมาเลี้ยงแทนดีกว่า

“ก็เข้าใจแหละว่าพ่อแม่ไม่รัก ถึงขาดความอบอุ่นเที่ยวมาสร้างปัญหาให้คนอื่น”

ฉีเล่ยหัวเราะใส่และกล่าวต่อว่า

“หัดทำตัวดีๆให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ชื่นใจบ้างนะ เอาล่ะ หลีกทางไปได้แล้ว”

“มึง! มึงหยิ่งนักอ่อ! ได้ข่าวว่าเป็นอาจารย์เหรอ? คิดว่าเป็นอาจารย์แล้วจะเหยียบหัวใครก็ได้รึไง!?”

ตลกจริงๆแฮะ ไอ้เด็กเหลือขอพวกนี้น่ะเหรอที่โห่วเจียนเรียกมา? มีปัญญาหาได้แค่นี้?

ฉีเล่ยในตอนนี้เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นบ้างแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะว่ากลัวจะเสียเปรียบ ทว่ากลัวพลั้งมือฆ่าเด็กพวกนี้ตายเสียก่อน

“เห้ยเจ๋งนักเหรอวะ? ขอดูหน่อยว่ามึงจะหัวแข็งซักแค่ไหน วันนี้มึงไม่รอดแน่!”

ชายหนุ่มสวมผ้าโพกหัวสีขาวกล่าวขึ้น ทั้งยังชี้หน้าตะวาดใส่ฉีเล่ยด้วยท่าทีแสนจองหอง

“ไสหัวไป พวกเราไม่อยากมีเรื่องกับเด็ก”

ก่อนที่ฉีเล่ยจะพูดอะไรออกไป จู่ๆหลี่ถงซีก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้นมา เธอย่อมไม่ทราบว่าฉีเล่ยแข็งแกร่งเพียงใด ต่อให้ถูกรุมหนึ่งต่อสิบยังสามารถจัดการได้ไม่ยาก แต่อย่างไรเธอรู้สึกว่า ในเมื่อตัวเองพาเขาออกมา ดังนั้นเธอเองก็ควรรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของเขา

ฉีเล่ยที่เห็นปฏิกิริยาการแสดงออกของหลี่ถงซีถึงกับจ้องมองด้วยความสนใจขึ้นทันที ไม่ยักรู้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้จะมีความรับผิดชอบที่สูงปานนี้ หลี่ฮั่วเฉินคงสอนมาดีไม่ใช่น้อยเลย

ในเวลานี้เอง จู่ๆโห่วเจียนก็เดินผ่ากลางเข้ามาจากด้านหลัง แสยะยิ้มจับจ้องไปที่หลี่ถงซีและกล่าวว่า

“โอ๊ะ? นี่มันอาจารย์หลี่ชื่อดังคนนั้นไม่ใช่เหรอ? สมแล้วที่ทุกคนต่างรักใคร่ แม้แต่ตอนโกรธยังน่ารักเลยนะครับ”

หลังจากได้ยินแบบนั้น หลี่ถงซีพลันหันหน้าไปหาฉีเล่ยและเอ่ยถามขึ้นว่า

“เขาเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเราเหรอ?”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบแค่ว่า

“อย่าถามผมเลย ผมไม่รู้จักเขา”

“มึง…”

ถูกฉีเล่ยเมินใส่ถึงสองคราติด ยิ่งทำให้เขาหัวเสียเข้าไปใหญ่

“มึง! ไอ้เวรสกุลฉี! กูไม่สนหรอกว่ามึงจะเป็นใคร ที่บ้านทำอะไร แต่วันนี้มึงต้องคุกเข่าขอโทษกู!”

ฉีเล่ยเมินอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิงราวกับอากาศธาตุ และหันไปถามหลี่ถงซีว่า

“โทรแจ้งตำรวจที”

“อืม”

หลี่ถงซีตอบ

“ฮ่าฮ่าๆๆ พวกเราได้ยินไหม? หมอนี่บอกให้โทรแจ้งตำรวจว่ะ จะโทรฟ้องแม่ด้วยเลยก็ได้นะ! ฮ่าฮ่าๆๆๆ”

“ปล่อยให้โทรแจ้งไปเถอะ ไร้สาระ”

“กว่าที่พวกตำรวจจะมาถึง พวกเราคงไม่โง่ยืนรอให้มาจับหรอก นี่เป็นอาจารย์จริงรึเปล่า ทำไมแค่นี้ยังคิดไม่ได้?”

เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครกลัวกันเลยสักคน หรืออาจเป็นเพราะครอบครัวของพวกเขาน่าจะมีเส้นมีสายไม่ใช่น้อย ก็เลยทำให้แต่ละคนดูมั่นอกมั่นใจขนาดนี้

โห่วเจียนหัวเราะและกล่าวว่า

“ถ้าอยากแจ้งตำรวจก็แจ้งเลย แต่ขอแนะนำอะไรสักอย่าง เพื่อนฉันคนนี้ชื่อหูจือ พ่อของเขาเป็นผู้กำกับสถานทีตำรวจเขตนี้”

ฉีเล่ยเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางส่ายหน้าตอบไปว่า

“หน้าที่ของตำรวจคือปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน”

“ก็ไม่เสมอไป วันนี้มึงทำตัวอวดดีมากในคลาสเรียน เวลาแบบนี้ยังกล้าทำตัวอวดดีอยู่อีกเหรอ?”

ทันใดนั้นโห่วเจียนก็แสยะยิ้มชั่วมองฉีเล่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าและเอ่ยเสนอขึ้นว่า

“เอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าจะกระทืบเลยก็ดูจะน่าสงสารเกินไป ลองแสดงความจริงใจออกมาให้เห็นหน่อยสิ”

ฉีเล่ยหัวเราะตอบไปว่า

“แสดงความจริงใจที่ว่าคือ?”

โห่วเจียนหันไปชี้หนุ่มร่างผอมบางคนหนึ่งและกล่าวต่อว่า

“เต้นตามเขา”

ในความคิดของโห่วเจียนคือ มากกว่าการทำร้ายร่างกายก็คือการทำร้ายกันทางจิตใจ เขาต้องการทำให้ฉีเล่ยต้องอับอายขายขี้หน้ากลางที่สาธารณะแบบนี้ อาจารย์มหาวิทยาลัยดัง แต่งตัวใส่สูทดูภูมิฐาน แต่กลับเต้นแร้งเต้นการาวกับลิง คลิปวิดีโอของเขาจะต้องกระจายว่อนไปทั่วโลกโซเชียล ทุกคนในมหาวิทยาลัยต้องรู้ถึงการกระทำอันหน้าอับอายของเขาชนิดที่ว่าต้องแทรกแผ่นดินหนี!

สอนหนังสืองั้นเหรอ? คงยังเหลือหน้าไปสอน?

ทว่าฉีเล่ยกลับพยักหน้าตอบทันที

“ได้เลย ผมชอบพวกสตรีทแดนซ์เหมือนกัน”

 หลี่ถงซีได้ยินแบบนั้นแทบจะเป็นลม

นี่นาย…ขนาดไอโฟนยังไม่รู้วิธีเปิดด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการเต้นที่พวกวัยรุ่นเขาฮิตกัน?

“ไปเถอะ ไม่ต้องไปสนใจพวกนี้แล้ว”

หลี่ถงซีพยายามดึงแขนเสื้อของฉีเล่ยให้เดินออกไป ทว่าอีกฝ่ายกลับยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน อาศัยแค่แรงเธอคนเดียวไม่สามารถลากอีกฝ่ายไปได้ดั่งใจเลย

ฉีเล่ยหันมายิ้มและกล่าวกับเธอว่า

“คนพวกนี้ล้วนเป็นนักเต้นมืออาชีพทั้งนั้น โอกาสดีๆที่จะเรียนรู้แบบนี้หายากนะ”

หลี่ถงซีเริ่มเป็นกังวลหนัก

“นี่นาย…เต้นเป็นจริงๆเหรอ?”

ฉีเล่ยตอบกลับไปว่า

“พอรู้จักท่าพื้นฐานอยู่บ้าง ก็ตามทีวีอะไรแบบนั้น”

“….”

ถ้าคนเราสามารถเรียนรู้ได้เพียงแค่การดูผ่านจอทีวี แล้วทำไมตอนที่ไอรอนแมนยิงลำแสงออกมาจากมือ ตัวเองถึงยิงไม่ได้บ้างหลังดูจบ?

หลี่ถงซีถึงกับกุมขมับ

โห่วเจียนระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังลั่นและกล่าวย้ำขึ้นว่า

“ว่าไง? ตกลงไหม?”

เขาเองก็สงสัยเช่นกันว่า ที่ไอ้หมอนี่บอกว่าเต้นได้ จะทำได้สักแค่ไหน? เพราะดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่เต้นเป็นเลยสักนิด

ฉีเล่ยชี้ใส่หนุ่มร่างผอมบางและกล่าวว่า

“ให้เต้นตามเด็กคนนี้ใช่ไหม?”

“ใช่”

โห่วเจียนพยักหน้าและหันไปกระซิบกับหนุ่มร่างผอมบางว่า

“หย่งซือ ไม่ต้องไปออมมือ เต้นให้หมอนี่เอวหักไปเลย!”

“ได้เลย!”

หย่งซือคนนี้เป็นนักเต้นที่เก่งที่สุดในบรรดาทั้งหมด ตอนนี้เขากำลังจะออกสเต็ปเตรียมให้ฉีเล่ยได้เต้นตาม

ความโกลาหลได้ดึงดูดความสนใจของฝูงชนที่เดินผ่านไปมา บางคนคิดว่าพวกเขากำลังจะต่อยกันด้วยซ้ำ จึงแห่กันมุงตั้งหน้าตั้งตาคอยดู

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset