ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 80 พวกพ้องระเนระนาด

 ตอนที่80 พวกพ้องระเนระนาด

“จับตาดูให้ดีล่ะ ฉันจะเริ่มแล้ว”

หย่งซือเอ่ยขึ้น

“เดี๋ยวก่อน”

ฉีเล่ยยกมือขัดตะโกนหยุดทันที

“อะไรอีก?”

หย่งซือหันควับจ้องอีกฝ่ายตาเขม็งด้วยความหงุดหงิด

“ไหล่นายมีฝุ่นเกาะน่ะ เดี๋ยวผมช่วยปัดให้”

ขณะเอ่ยกล่าว ฉีเล่ยก็เอื้อมมือออกไปปัดบริเวณหัวไหล่และหลังคอของอีกฝ่าย

“เสร็จยัง?”

“เรียบร้อย เรียบร้อย มาเริ่มกันเลยเถอะ”

ฉีเล่ยยิ้มตอบ

“ดูให้ดี อย่าแม้แต่กระพริบตา ฉันจะเต้นให้ดูแค่ครั้งเดียว ถ้ามองไม่ทันแกต้องคุกเข่าขอร้องให้ฉันทำให้ดูอีกรอบ! ฮ่าฮ่า”

หย่งซือจงใจเพิ่มบทลงโทษเข้าไปถ้าฉีเล่ยทำไม่ได้ ซึ่งต่อถ้าสาธารณชนแบบนี้อาจารย์หนุ่มเนี้ยบต้องมาคุกเข่าต่อหน้าเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ภาพที่ออกไปคงดูไม่สวยแน่นอน

หย่งซือตัดสินใจได้เสร็จสรรพ เขาจะใช้สเตปท่าเต้นที่ยากที่สุดเพื่อให้เขามองตามไม่ทัน สำหรับท่าดังกล่าว ไม่ต้องพูดถึงระดับมือใหม่เลย แม้แต่คนที่ฝึกมาหลักปียังต้องเหงื่อตกกับท่านี้

เอาล่ะ! เริ่มจากยกมือขึ้น! …เอ๊ะ? ทำไมฉันถึงยกไม่ได้?

แล้วลองยกขาดูล่ะ? เอ๊ะ? ทำไมก็ยกไม่ได้เหมือนกัน?

พอเขาพยายามบิดคอ กลับได้ยินเสียงกล้ามเนื้อลั่นดังเอี๊ยดอ๊าด…

คอของหย่งซือเคล็ดรุนแรง!

เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจนยืนไม่ไหวและล้มตัวลงกับพื้นทั้งแบบนั้น ไม่ว่าจะพยายามใช้มือช่วยพยุงยังไง แต่ทั้งแขนและขาของหย่งซือกลับไม่ยอมเชื่อฟังสักนิด!

ล้มโดยไม่ใช้มือไม้เข้ามาป้องกันเป็นอะไรที่เจ็บมาก ถ้าจุดสำคัญกระแทกอัดกับพื้นอย่างแรงนี่อาจอันตรายถึงตายได้เลย!

ทีแรกฝูงชนโดยรอบต่างสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ ค่อยเป็นเสียงผิวปากและเสียงเชียร์ตามมา พวกเขาต่างคิดในใจว่า นี่มันท่าเต้นแบบไหนกัน? ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?

โห่วเจียนกับพรรคพวกที่เหลือตกตะลึงอย่างมากกับภาพฉากตรงหน้า หย่งซือกำลังเต้นท่าอะไรของมัน?

นี่เป็นท่าแกล้งตาย? หรือท่าหุ่นยนต์ถ่ายหมด?

ฉีเล่ยชี้ลงไปยังหย่งซือที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น กรนเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดไม่หยุดหย่อน ก่อนเงยหน้าขึ้นมาพูดกับโห่วเจียนว่า

“จะให้ผมเต้นท่านี้ตามเหรอ? ไม่ไหวหรอกครับ พื้นสกปรกตาย”

ทันทีทันใดเพื่อนคนอื่นๆ ก็รีบพุ่งเข้ามาพยายามช่วยหย่งซือที่นอนกองอยู่บนพื้น ทว่าอีกฝ่ายในขณะนี้ไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์ถ่านหมด ร่างกายแข็งทื่อราวกับหิน ทั้งแขนทั้งขาเหยียดตรงยกไม่ได้ ขนาดนิ้วเท้ายังไม่กระดิกด้วยซ้ำ คนอื่นๆ ทำไรไม่ได้นอกจากต้องช่วยกันแบกร่างออกไป คนหนึ่งอยู่ตรงเท้าอีกคนอยู่ตรงหัวอย่างกับเปลหาม

“หย่งซือ นายรู้สึกยังไงบ้าง?”

หูจือที่กับปาดเหงื่อบนหน้าผากด้วยความวิตก

“พี่หู ผม…ผมตายแล้ว…ผมตายแน่ๆ! ผมไม่รู้สึกอะไรเลย! ร่าง…ร่างกายของผมไม่รู้สึกอะไรเลย! ผมต้องพิการแล้วแน่ๆ! ผมไม่สามารถเต้นได้อีกต่อไปแล้ว ผม….”

จู่ๆ ก็ตกสู่สภาวะพิการเฉียบพลัน จิตใจของหย่งซือที่เดิมเปราะบางอยู่แล้วมีหรือจะแบกรับความจริงขนาดนี้ได้ไหม? เขาคือชายหนุ่มผู้มีความในที่จะเป็นนักเต้นระดับโลก ทว่ากลับต้องมาเป็นมนุษย์ผักตั้งแต่อายุ20ปี

พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับตัวเองกะทันหัน หย่งซือพลันนึกไปว่า ตัวเองเป็นโรคกล้ามเนื้อลีบ, โปลิโอหรือโรคร้ายแรงต่างๆ ที่เคยเห็นตามทีวีโทรทัศน์ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เขาไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่เพียงจิตตกจนเข้าสู่ภาวะ hypochondria [1]

พอสมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาจึงสติแตกคิดเตลิดไปถึงไหนต่อไหน มันก็ยิ่งทำให้เกิดความวิตกกังวลหนัก จึงทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้

“ฝีมือของมึงใช่ไหม?!”

โห่วเจียนเป็นคนแรกที่ตอบสนองรู้ตัว จึงหันไปชี้หน้าด่าฉีเล่ยทันที

ฉีเล่ยปั้นหน้าไร้เดียงสาเอ่ยตอบไปอย่างบริสุทธิ์ใจว่า

“อย่าใส่ร้ายผมกันแบบนี้สิครับ ผมก็แค่อยากเรียนรู้สเต็ปเต้นจากระดับเซียนเฉยๆ แล้วอีกอย่างทุกคนในที่นี้ก็เห็นกันหมด ผมยังไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่ายเลย จริงไหมครับทุกคน?”

ฉีเล่ยรีบดึงบรรดาฝูงชนให้มาเป็นพยานทันที ส่วนทางพวกเขาเองก็ดูจะให้ความร่วมมือสนับสนุนเป็นอย่างดี ทั้งหมดล้วนพยักหน้าโดยพร้อมเพรียง และยังกล่าวอีกว่า เห็นชัดเต็มสองตาเลยว่า ชายหนุ่มคนนี้ยังไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่ายเลย

“ไม่ใช่! มันต้องไม่ใช่แบบนี้!”

โห่วเจียนสั่งให้พรรคพวกของตนวิ่งเข้าไปปิดล้อมฉีเล่ยทันทีกันไม่ให้หนี และยังกล่าวต่ออีกว่า

“ต้องเป็นฝีมือมึงแน่นอน! เมื่อกี้มึงปัดฝุ่นบนไหล่ของหย่งซือ ต้องเป็นตอนนั้นแน่นอน! ในเมื่อทำตัวหยาบคายกับพวกเราก่อน เราเองก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับมึงแล้ว!”

“กล้าดียังไงมาทำร้ายคนของพวกเรา?”

“โห่วเจียน ไม่ต้องไปเสียเวลากับไอ้หมอนี่หรอก แค่กระทืบมันก็จบแล้ว นี่แหละวิถีของลูกผู้ชาย!”

“คุณนักศึกษาทั้งหลายครับ ตื่นได้แล้วครับ ตื่นได้แล้ว”

ฉีเล่ยปรบมือเรียกสติพวกเขาไปทีหนึ่งและกล่าวต่อว่า

“นี่โลกแห่งความเป็นจริงนะครับไม่ใช่ความฝัน”

“อ่อ…ไม่สิ เพราะต่อให้พวกคุณทุกคนอยู่ในฝัน ก็ไม่มีปัญญากระทืบผมได้อยู่แล้ว”

“แม่ *มึงสิ! พวกเราหักขามัน!!”

กลุ่มเด็กวัยรุ่นวิ่งเข้าใส่ทันที ทว่าเสี้ยวพริบตาต่อมา ทุกคนกลับเห็นกำปั้นพุ่งเข้าสวนด้วยความเร็วดุจพายุ

ฉีเล่ยรีบดึงหลี่ถงซีไปหลบด้านหลังของตนก่อน ค่อยยกกำปั้นออกหมัดสวนหน้าออกไปโดยตรง

ใบหน้าของวัยรุ่นคนหนึ่งที่พุ่งตัวเองมา ถูกกำปั้นซัดหน้าสุดแรงเกิดจนบิดเบี้ยวเสียรูป

ก่อนที่ร่างของเด็กคนนั้นจะปลิวกระเด็นไปทับเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่แถวหลัง ผลสุดท้ายล้มกันระเนระนาดลงไปกองกับพื้น

“อ๊ากก!”

“พี่หู! เป็นยังไงบ้าง!?”

“พี่หู! ได้ยินที่ผมพูดรึเปล่าครับ!”

“มีเลือดกำเดาออกมาจากจมูกด้วย! ใครก็ได้รีบไปเอาผ้ากับน้ำสะอาดมาที! แล้วเอากล่องปฐมพยาบาลมาด้วย!”

กลุ่มวัยรุ่นพวกนั้นรีบแยกย้ายกระจายออกไปหยิบสิ่งของต่างๆ ตามคำสั่ง ทุกครั้งที่พวกเขามาเต้นกันมักจะไม่ลืมเอากล่องปฐมพยาบาลมาด้วยเสมอ ดังนั้นแล้ว พอเห็นหูจือบาดเจ็บหนัก ทั้งหมดจึงรีบแยกย้ายออกไปหยิบของมาทันที

หันไปทางซ้ายเห็นหย่งซือนอนนิ่งไม่ขยับเขยือนอยู่บนพื้น พอเหลือบไปทางขวาก็เห็นหูจือนอนเลือดกำเดาไหลไม่หยุด ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด หลี่ถงซีเริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“พวกเขาจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นอะไรหรอก”

ฉีเล่ยส่ายหัวตอบ

โชคยังดีที่ฉีเล่ยยังมีเมตตาอยู่บ้าง ในการสวนกำปั้นซัดหน้าไปตะกี้ เขาแทบจะไม่ได้ใช้กำลังอะไรเลย ไม่อย่างนั้นกะโหลกศีรษะของหูจือลงแตกละเอียด ไม่ใช่แค่เลือดไหลออกจากจมูกแน่นอน ในทางตรงข้าม ถ้าฉีเล่ยเอาจริง แม้แต่จะบดขยี้อีกฝ่ายให้เละเป็นเนื้อบดยังทำได้ไม่ยาก

เมื่อโห่วเจียนเห็นว่า ตนเองไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย แถมเพื่อนตัวเองยังโดนทำร้ายอีกสองคน ยามนี้ก็โมโหจัดแทบจะเป็นบ้าเป็นหลัง

“ไอ้บัดซบสกุลฉี! กูจะฆ่ามึงเอง!!”

โห่วเจียนแหกปากตะโกนลั่นพร้อมวิ่งเข้าใส่ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

ฉีเล่ยยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน พอโห่วเจียนพุ่งเข้ามาถึงตัว เขาก็แค่เบี่ยงตัวหลบกำปั้นของอีกฝ่ายเล็กน้อย จากนั้นอาศัยความเร็วประดุจสายฟ้า หยิบใช้ดัชนีแทงไปที่ใต้ซี่โครงของอีกฝ่ายโดยตรง

อ๊าก!

โห่วเจียนล้มตัวลงนอนขดกับพื้นทันที กลิ้งซ้ายทีขวาทีร้องห่มร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เฉกเช่นเดียวกับหูจือไม่ต่าง

คนอื่นๆ ที่กำลังเตรียมพุ่งเข้าโจมตีฉีเล่ยถึงกับชะงักหยุดทันควัน โห่วเจียนพ่ายแพ้ต่ออีกฝ่ายภายในหนึ่งกระบวนท่า แต่ละคนกดสายตามองดูสภาพอันน่าสังเวชของเขาและหูจือด้วยความสยดสยอง ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าใกล้ฉีเล่ยอีกต่อไป

ไม่ว่าศัตรูก่อนหน้าที่เคยพบเคยเจอมาจะโหดเหี้ยมแค่ไหน แต่อย่างไรพวกเขาไม่เคยเจอคนที่ใช้วิธีการเลือดเย็นขนาดนี้มาก่อน ทั้งสามซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มของทุกคนนอนหมดสภาพโดยพร้อมเพรียง สายตาทุกคู่ที่จับจ้องไปยังฉีเล่ยตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ว่าไง? ไม่กล้าเข้ามาแล้วเหรอ? ยังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่า?”

ฉีเล่ยกวาดสายตาจับจ้องไปที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกนั้น พลางยักไหล่ใส่ไปทีหนึ่ง

เด็กวัยรุ่นพวกนั้นมองหน้าสบตากันไปมา ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าขึ้นหน้าออกมา

“โทรแจ้งตำรวจ! โทรแจ้งตำรวจเร็ว! บอกให้พวกเขาเรียกพ่อฉันมา! เร็วเข้าสิไอ้พวกงี่เง่า!”

หูจือยกมือใช้ผ้าสะอาดปิดป้องจมูกเอาไว้เพื่อห้ามเลือด พร้อมตะโกนเสียงดังลั่นปลุกให้กลุ่มเด็กวัยรุ่นตื่นจากภวังค์ความตกใจ

ทันใดนั้นเองก็ยังมีอยู่คนหนี่งที่ยังพอมีสติ เขาหยิบควักมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงโดยไว

ฉีเล่ยเหลือบไปเห็นดังนั้น ก็เดินไปเตะมือถือจากในมือโห่วเจียนที่กำลังนอนอ่อนแรงอยู่บนพื้นทิ้งไปทันที

“เหอะ ตอนแรกก็บอกไปแล้วว่า ผมจะโทรหาตำรวจให้ จะมาเปลี่ยนใจตอนหลังก็สายไปแล้ว”

“มึง! ไอ้เวรสกุลฉี! ก็ไม่เอามึงไว้แน่!! เรื่องนี้ยังไม่จบ!”

โห่วเจียนใช้มือข้างหนึ่งกุมที่บริเวณใต้ซี่โครงของตน ดวงตาแดงแดงก่ำตะโกนสาปแช่งอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เขาทั้งรู้สึกเจ็บทั้งรู้สึกอับอายขายขี้หน้า

ฉีเล่ยนั่งย่องๆ ข้างอีกฝ่ายพลางหัวเราะตอบไปว่า

“ยังมีหน้ามาด่าคนอื่นอีกเหรอครับ? หวงตัวเองก่อนดีไหม?”

พอพูดจบ ฉีเล่ยก็ยกนิ้วชี้ขึ้นและใช้ดัชนีทะลวงใส่อีกครั้ง!

บรรยากาศทั่วทั้งบริเวณมีแต่เสียงกรีดร้องโหยหวนของโห่วเจียน ฟังดูน่าเวทนายิ่งกว่าเวลาหมูถูกเชือด

“กลับกันเถอะ”

หลี่ถงซีเดินไปดึงชายเสื้อของฉีเล่ยจากด้านหลัง ใจหนึ่งก็กลัวอีกฝ่ายระเบิดอารมณ์ใส่เช่นกัน

ฉีเล่ยหันหน้ากลับไปถามเธอว่า

“ตำรวจรู้ที่อยู่บ้านคุณไหม?”

“ไม่รู้เหมือนกัน…”

“กลับกันเถอะ!”

ฉีเล่ยดึงแขนหลี่ถงซีฝ่าฝูงชนออกไปทันที

ทว่าตำรวจกลับมาเร็วกว่าที่คิด

ขณะที่พวกเขากำลังวิ่งกลับไปที่ลานจอดรถ ก็พบชายสวมเครื่องแบบสองคนที่กำลังใช้วิทยุสื่อสารวิ่งเข้ามา

“ชิ…”

ฉีเล่ยยักไหล่

“หนีไม่ทันแล้ว”

ถ้าตำรวจยังไม่มา เขาก็ต้องรีบจากไปโดยเร็ว แต่ในเมื่อมาแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องรอให้ปากคำอย่างเดียว

และหากวิ่งหนีออกไปตอนนี้ ก็เท่ากับว่า จากลงไม้ลงมือไปเพื่อป้องกันตัวจะพลิกกลับกลายมาเป็นจงใจแทน

ฉีเล่ยอาจจะโดนคดีทางอาญาได้

[1] โรคที่คิดเองเออเองว่าตัวเองป่วยไปแล้ว

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset