ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 83 ถ้าฉลาดพอคงตัดสินใจเองได้

ตอนที่83 ถ้าฉลาดพอคงตัดสินใจเองได้

หูจือยิ้มขื่นและเอ่ยถามขึ้นว่า

“พ่อครับ แล้วไอ้คนสกุลฉีนั่นมันอยู่ไหน?”

“พ่อขังมันไว้ในห้องสอบสวน”

หูหวงยกแก้วขึ้นมาจิบชาเล็กน้อย

หูจือกวาดสายตามองไปรอบห้อง ก่อนวิ่งไปหยิบกระบองที่แขวนอยู่บนกำแพงด้านหลังโต๊ะทำงานพ่อ จากนั้นก็หันไปพูดกับพวกวัยรุ่นที่มาด้วยกันว่า

“พวกเราไปกันเถอะ ต้องสั่งสอนบทเรียนให้มันสักหน่อย!”

“ไปเลยลูกพี่!”

กลุ่มวัยรุ่นตอบสนองทันที แหกปากโวยวายปลุกใจเสียงดังลั่น อาศัยเส้นสายที่พ่อของหูจือเป็นผู้กำกับใหญ่ของสถานีตำรวจแห่งนี้ พวกเขายังต้องกลัวอะไรอีก? ต่อให้รุมทำร้ายฉีเล่ยจนตายคาห้องสอบสวน ยังมีข้ออ้างอีกร้อยแปดเพื่อให้พ้นผิดได้

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

หูหวงโกรธจัดยกมือทุบโต๊ะเสียงดังปัง

หูจือที่กำลังเดินถือกระบองออกจากประตูไปถึงกับชะงักเพราะเสียงร้องตะโกนของผู้เป็นพ่อ เขาหันขวับกล่าวด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจว่า

“พ่อ! พ่อรู้ไหมว่าไอ้บัดซบนั่นมันทำร้ายพวกเราขนาดไหน! ถ้าครั้งนี้ผมไม่ได้กระทืบมัน คงต้องอกแตกตายแน่!”

เมื่อเห็นว่าลูกชายตัวเองยังไม่สำนึก แถมยังไม่ทราบถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ในตอนนี้เลยสักนิด หูหวงแทบอยากจะหยิบปีนมาเล็งหัวลูกตัวเองให้เรื่องมันจบๆไป

“ไอ้ลูกเวร เรื่องมันเลยเถิดมาขนาดนี้แล้ว แกยังมีหน้าจะไปกระทืบอีกฝ่ายงั้นเหรอ? แกเคยรู้ไหมว่า ฉีเล่ยเป็นใครมาจากไหน? แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังเขาอีกทีมันใหญ่ขนาดไหน! ไอ้ลูกคนนี้ชอบสร้างปัญหาให้ฉันปวดหัวอยู่ตลอด!”

หลังจากโดนพ่อด่าชุดใหญ่ หูจือก็ดูสำรวมขึ้นมาในทันที ยืนคอตกกล่าวร้องขึ้นว่า

“แต่…แต่พ่อครับ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี? จะปล่อยให้มันทำร้ายผมฟรีๆแบบนี้น่ะเหรอ?”

หูหวงทุบโต๊ะอีกครากล่าวว่า

“แกช่วยทำตัวให้ฉลาดกว่านี้หน่อยได้ไหม? ถ้าแกไปกระทืบอีกฝ่ายตอนนี้ ไม่เพียงจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แถมยังเพิ่มปัญหาให้ฉันจัดการยากขึ้นไปอีก แล้วอีกอย่างเลยนะ ถ้าแกมีปัญญากระทืบมันจริงๆ มีเหรอจะต้องโทรมาร้องโอดครวญกับฉัน? ขอร้องเถอะ อย่าเก่งแต่ปาก หัดใช้สมองบ้างไอ้ลูกเวร!”

หยุดพักหายใจไปชั่วจังหวะ หูหวงกล่าวต่อว่า

“ฟังนะ มีพ่อที่ไหนจะปล่อยให้คนอื่นทำร้ายลูกตัวเองฟรีๆ? ตอนนี้แกรีบกลับไปนอนโรงพยาบาลซะ ไม่ว่าใครมาถามก็บอกไปว่าถูกทำร้ายร่างกายมาหนักจนขยับตัวไม่ได้ แสร้งทำตัวน่าสงสารให้คนอื่นเห็นใจ! หูจือ โห่วเจียน ตอนที่พวกแกสองคนเข้าไปให้ปากคำ บอกไปแค่ว่า ฉีเล่ยเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน ยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไร ก็โดนทำร้ายจนลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว เข้าใจไหม? ส่วนที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

ในฐานะที่เป็นถึงผู้กำกับสถานีตำรวจ หูหวงย่อมมีประสบการณ์ในกระบวนการสืบสวนมาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน เขารู้ดีว่าควรจะให้การอย่างไรถึงจะสามารถโยนความผิดให้อีกฝ่ายได้ ส่วนที่เหลือเขาจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อควบคุมสถานการณ์หลังจากนั้นให้อยู่หมัด

หลังจากได้ยินคำกล่าวของพ่อแบบนั้น หูจือก็แสยะยิ้มอย่างมีความสุขทันที เขารู้ดีว่านี่แหละคือโอกาสดีที่จะได้แก้แค้นแล้ว พยักหน้าตอบพ่อตัวเองไปหนึ่งที จากนั้นก็เดินกอดคอเพื่อนพ้องออกไปด้วยความร่าเริง

จ้องมองกลุ่มลูกๆตัวเองจากออกไป โห่วเซินกัวถึงกับส่ายหัวกล่าวว่า

“ไอ้เด็กเวรพวกนี้ นิสัยแย่กว่าตอนที่พวกเรายังเด็กซะอีก ต้องกล้าขนาดไหนถึงลงไม้ลงมือกับคนอื่นกลางห้างแบบนี้?”

“เด็กสมัยนี้มันบ้าดีเดือดกว่ารุ่นพวกเราเยอะ!”

หูหวงเองก็พลันส่ายหัวอานเช่นกัน และหันไปถามโห่วเซินกัวว่า

“ใช่แล้ว น้องโห่ว เรื่องที่โรงพยาบาลของแกไปถึงไหนแล้ว? ไม่ใช่ว่าครั้งล่าสุดแกบอกฉันว่า ประธานหลี่เตรียมเกษียณตัวเองลงจากตำแหน่งแล้ว? เฮ้ออ…เพราะไอ้แก่นี่เข้ามาสอดแท้ๆ ไม่อย่างนั้นปัญหาคงไม่น่าหนักใจถึงขนาดนี้แน่”

เมื่อใดที่ใครก็ตามเอ่ยถามถึงสถานการณ์ภายในโรงพยาบาล โห่วเฉินกัวมักจะหงุดหงิดอยู่เสมอ เขาโบกมือปัดอย่างคร้านจะใส่ใจและกล่าวว่า

“น่าจะเร็วๆนี้แหละ”

หูหวงเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมยกมือไปตบไหล่เบาๆ ยิ้มตอบขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องแสดงความยินดีกับแกล่วงหน้า ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เดี๋ยวฉันเปิดห้องVIPเลี้ยงฉลองเลยเป็นไง?”

โห่วเซินกัวไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นักที่ต้องพูดเรื่องนี้ จึงกล่าวเบี่ยงประเด็นไปว่า

“พี่หู พี่เองก็ใกล้ย้ายแล้วไม่ใช่เหรอ? หลังจากอยู่คุมเขตตะวันออกตั้งหลายปี ในที่สุดก็ได้แสดงความสามารถในกรมตำรวจใหญ่แล้ว”

หูหวงระเบิดเสียหัวเราะ

“กว่าจะได้โอกาสแบบนี้ ฉันเองก็หมดใต้โต๊ะไปเยอะมาก”

โห่วเซินกัวหัวเราะแสดงความยินดีทันที

“ถ้างั้นผมเองก็ขอแสดงความยินดีกับพี่ล่วงหน้าเหมือนกัน”

ในขณะที่ชายวัยกลางคนสองคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาพูดถึงอนาคตอันสดใสของพวกเขาอยู่ จู่ๆก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือของหูหวงที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน

“น่าจะเป็นกำลังเสริมของประธานหลี่”

โห่วเฉินกัวพลันย่นคิ้วขึ้นทันที

“ฉันไม่สนหรอกว่า มันจะเป็นใคร ไม่ต้องไปสนใจ”

หูหวงกล่าวตอบพลางหยิบแก้วชาขึ้นมาจิบ ไม่แยแสเสียงเรียกเข้าดังกล่าวเลย

หลังจากดังประมาณสองถึงสามครั้ง สายดังกล่าวก็หยุดไป ทว่าบรรยากาศกลับมาเงียบสงบได้ไหมนาน จู่ๆเสียงอีเมลที่ล็อกอินค้างไว้ในคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของหูหวงก็พลันดังขึ้น

“เหอะ ไอ้แก่นี่รู้เมลพี่ด้วยเหรอ?”

โห่วเฉินกัวกล่าวขึ้นเชิงสบประมาท

ทว่าครั้งนี้ สีหน้าของหูหวงพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นทันควัน ไม่กล้ารอช้ารีบวางถ้วยชาวิ่งจากโซฟาไปที่โต๊ะทำงานอย่างรวดเร็ว พร้อมหยิบมือถือขึ้นมาดู

พอเห็นว่าสายที่เมื่อครู่ไม่ได้รับเป็นใคร หูหวงก็ถึงกับหน้าซีดหนักรีบต่อสายโทรกลับไปทันที

“สวัสดีครับ ผู้บังคับการฉิน มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ?”

น้ำเสียงของหูหวงดูให้เกียรติอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง

“หุบปาก! ผู้กำกับหู ผมขอถามคุณแค่ครั้งเดียวนะว่า ในสถานีตำรวจเขตตะวันออก มีผู้ชายที่ชื่อฉีเล่ยอยู่ใช่ไหม!?”

น้ำเสียงของคู่สนทนาที่อยู่ปลายสายฟังดูราวกับว่าอารมณ์กำลังเดือดได้ที่ ถ้าพูดอะไรไม่เข้าหูอีกสักหน่อยคงจะระเบิดลงเป็นแน่

หูหวงถึงกับชะงักไปชั่วครู่ก่อนหันศีรษะเหลือบมองโห่วเฉินกัวเล็กน้อย แล้วรีบกล่าวตอบปลายสายไปว่า

“ใช่ครับ ใช่แล้วครับผู้บังคับการฉิน”

“ปล่อยตัวเขาเดี๋ยวนี้!”

“….”

หูหวงแทบหยุดหายใจไปชั่วขณะ พอได้สติขึ้นอีกครั้งก็รีบกล่าวอธิบายกับปลายสายทันทีว่า

“ผู้บังคับการฉินครับ ฉีเล่ยเป็นผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้โดยตรงนะครับ! เหยื่อผู้เสียหายกำลังนอนอาการสาหัสอยู่ในโรงพยาบาล ไม่ว่ายังไงทางผมจะต้องสอบสวนอีกฝ่ายเพิ่มเติม เมื่อผลออกมาแล้ว ค่อยปล่อยตัวไปก็ยังไม่สายนะครับ!”

คู่สนทนาปลายสายของเขาถึงกับหัวเราะขึ้นทันทีอย่างขบขัน กล่าวสวนขึ้นว่า

“เอาล่ะ ในเมื่อผู้กำกับหูยังคิดจะเล่นลิ้นกับผม งั้นก็ได้! ผมให้เวลาคุณครึ่งชั่วโมงคงมากพอแล้วที่จะสอบสวนและปล่อยตัวเขาไป! ผมจะบอกความจริงอะไรให้คุณฟังสักอย่างนะ คนที่ขอให้ปล่อยตัวเขาไป…ไม่ว่าผมหรือคุณก็ไม่สามารถล้ำเส้นอีกฝ่ายได้เลย หรือแม้แต่ผู้บัญชาการกรมตำรวจใหญ่ของที่นี่ก็ตาม! ในเมื่อผมพูดถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าคุณฉลาดพอคงตัดสินใจเองได้นะว่า จะปล่อยเขาไปหรือไม่!”

ด้วยเหตุนี้เอง ทันทีที่สิ้นเสียง ผู้บังคับการฉินก็กดวางสายไปทันใด

หูหวงยังคงถือโทรศัพท์แข็งค้างอยู่ในสภาพนั้นอีกครู่ใหญ่

อีกฝ่ายเป็นถึงผู้มีอำนาจที่แม้แต่ผู้บัญชาการกรมตำรวจใหญ่ยังไม่กล้าล้ำเส้น? นี่เขากำลังทำให้บุคคลผู้นั้นขุ่นเคืองอยู่รึเปล่า…

อีกฝ่ายที่ว่าเป็นใครกันแน่?

หลี่ฮั่วเฉิน?

ไม่ ไม่ ไม่! ฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องนี้แล้ว!

“เป็นยังไงบ้าง?”

โห่วเซินกัวที่เห็นสีหน้าของหูหวงไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงรีบเอ่ยถามขึ้นทันทีอย่างร้อนใจ

“ปล่อย…ต้องปล่อยตัวเขา…”

หลังจากโทรคุยเสร็จสรรพ หลี่ฮั่วเฉินก็เดินกลับเข้ามาในห้องสอบสวนและกล่าวปลอบใจว่า

“อย่ากลัวเลย เดี๋ยวพวกเราก็ได้กลับบ้านกันแล้ว”

ทันทีที่พูดจบ ชายชรากลับเพิ่งตระหนักได้ว่า ประโยคที่เขาพูดออกไปเมื่อครู่กลับไม่จำเป็นเลย หลังจากที่ได้สังเกตเห็นสีหน้าท่าทางอันแสนสงบนิ่งของฉีเล่ย เขายังต้องเป็นห่วงอะไรอีก? ยิ่งไปกว่านั้น ข้างๆอีกฝ่ายเอง สีหน้าของหลี่ถงซีก็ดูปกติสุขมาก ก่อนเข้ามาในห้องสืบสวนยังแอบเห็นเธอยิ้มกับฉีเล่ยเป็นครั้งคราว ดูมีความสุขมากกว่าตอนอยู่บ้านซะอีก

ฉีเล่ยหันไปตอบหลี่ฮั่วเฉินว่า

“ไม่ต้องห่วงครับ วันนี้เดินช็อปปิ้งกันทั้งวัน ได้มานั่งพักแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปคุยกับหลี่ถงซีต่อ ปรากฏว่าที่ผ่านมา ตลอดที่ทั้งสองนั่งรออยู่ในห้องสอบสวน เนื่องจากไม่มีอะไรทำกัน ฉีเล่ยจึงได้อาสาดูลายมือให้กับหลี่ถงซีแก้เบื่อ เขาชี้ไปที่เส้นเล็กๆบนฝ่ามือสีขาวนวลของเธอและกล่าวขึ้นว่า

“เห็นตรงนี้ไหม? มันคือเส้นชะตาความรัก เส้นบนฝ่ามือของคุณค่อนข้างยาวและชัดเจนมาก แถมไม่มีเส้นฝอยแตกแยกออกไปอีกด้วย มั่นใจได้เลยครับ ชาตินี้ไม่ขึ้นคานแน่นอน แถมดูท่าจะได้คู่ชีวิตเป็นคนมีศีลธรรมสูงด้วย”

ทว่าฉีเล่ยไม่รู้เลยว่า ขณะที่มือของเขากับเธอกำลังสัมผัสกันอยู่ หลี่ถงซีกลับมีใบหน้าแดงก่ำพยายามเก็บอาการเขินอายอย่างสุดชีวิต หลี่ฮั่วเฉินที่เห็นดังนั้นก็แกล้งกระแอมไอกล่าวขัดจังหวะขึ้นทันที

“อ่อ แล้วก็นะ…สำหรับเรื่องนี้ก็ไม่ต้องห่วง ฉันได้ติดต่อไปหารองผู้บังคับการตำรวจแล้ว เขาน่าจะกำลังหาทางแก้ปัญหาให้อยู่”

อันที่จริง เส้นสายของแพทย์มากฝีมืออย่างหลี่ฮั่วเฉินไม่ได้จำกัดอยู่กับแค่รองผู้บังคับการตำรวจ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตจนถึงขนาดต้องรบกวนคนยศใหญ่อะไรขนาดนั้น จงจำเอาไว้ว่า หนี้บุญคุณใช้คืนกันแค่ครั้งเดียว เมื่อร้องขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายไปแล้ว ครั้งต่อไปที่มีปัญหาจะไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้อีกต่อไป

ดังนั้น ในความเห็นของหลี่ฮั่วเฉิน ในเมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉะนั้นก็ควรประหยัดเส้นสายที่มีให้ได้มากที่สุด เผื่อจำเป็นต้องใช้อีกในวันข้างหน้า

นั่งรออยู่ในห้องสืบสวนอยู่พักหนึ่ง หลี่ฮั่วเฉินก็พลันคิดว่า นี่คงถึงเวลาที่ทางนั้นจะไปคุยให้แล้ว

ในขณะเดียวกัน จู่ๆประตูห้องสืบสวนก็ถูกเปิดออก หูหวงเดินตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset