ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 84 คนที่ทำดีโดยไม่ทิ้งชื่อแซ่

ตอนที่84 คนที่ทำดีโดยไม่ทิ้งชื่อแซ่

ทันทีที่หูหวงตรงเข้ามาในห้อง เขาก็เอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า

“ประธานหลี่ ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับที่ทำให้คุณเดือดร้อนแบบนี้ ทางเราสรุปสำนวนคดีเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เป็นกลุ่มเด็กอันธพาลที่เป็นฝ่ายผิด ยังไงผมก็ต้องขอโทษประธานหลี่กับอาจารย์ฉีแทนลูกของผมด้วยนะครับ เดินทางกลับบ้านด้วยความปลอดภัยครับผม”

หลี่ฮั่วเฉินกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า

“กลับไปบ้านหัดสั่งสอนลูกชายตัวเองบ้างนะครับ อย่าปล่อยให้มาเที่ยวทำร้ายชาวบ้านชาวช่องแบบนี้อีก”

กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าของหูหวงถึงกับกระตุก เขากล้ำกลืนฝืนยิ้มสุดชีวิต

“แน่นอนครับผมจะสั่งสอนเขาให้ดี ผมคงต้องขังเขาให้รู้จักสำนึกสักครั้งจริงๆแล้ว”

“กลับกันเถอะ”

หลี่ฮั่วเฉินหันไปมองฉีเล่ยและกล่าวกับเขา

“ครับ”

ฉีเล่ยยืนขึ้นและเดินออกไปจากห้องสืบสวน ระหว่างนั้นพลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปถามหูหวงว่า

“จะว่าไปแล้ว…พ่อของโห่วเจียนอยู่ไหนแล้วครับ? ไม่ใช่ว่ามาด้วยกันหรอกเหรอ?”

หูหวงกล่าวตอบไปว่า

“เขาขอตัวกลับไปก่อนแล้วครับ”

ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นพลางคิดกับตัวเองไปว่า ไม่ใช่ว่าโห่วเซินกัวป่วยหรือโรคกำเริบหนักถึงตาย จู่ๆถึงได้ขอตัวกลับกะทันหันโดยที่ยังไม่ได้แก้แค้นอะไรเลยด้วยซ้ำ แล้วเขาดั้นด้นมาที่นี่เพื่ออะไร?

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบไปทันที

“ครับ ถ้าผู้กำกับหูเจอเขาอีกเมื่อไหร่ก็ฝากทักทายแทนผมด้วยนะครับ แค่อยากจะฝากบอกว่า เขามีลูกชายที่ดีนะ กระตุ้นให้คนเป็นพ่อฝึกสมองตามแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา”

“แน่…แน่นอนครับ!”

กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าของหูหวงกระตุกขึ้นอีกครั้ง

หูหวงเดินออกไปส่งพวกเขาเป็นการส่วนตัวพร้อมรอยยิ้มกว้าง จนกระทั่งพวกเขาขึ้นรถและขับจากออกไป รอยยิ้มประดับประดาบนใบหน้าจึงค่อยๆจางหายไป

ด้านหลังของเขา หูจือที่ก่อนหน้ายังไม่กลับไปโรงพยาบาลเพราะอยากนั่งดูอีกฝ่ายโดนลากเข้าคุกก็รีบวิ่งตามมา พร้อมบ่นขึ้นทันทีว่า

“พ่อ! ทำไมถึงปล่อยมันไปง่ายๆแบบนั้น? อยากให้ผมโดนทำร้ายฟรีๆงั้นเหรอ?”

“เพี๊ยะ!!”

หูหวงหันกลับมาและตบหน้าลูกชายตัวเองอย่างแรงโดยไม่พูดไม่จาใดๆ ก่อนจะชี้หน้าด่าต่อว่า

“ไอ้ลูกเวร! ถ้าแกอยากตายนักก็ไม่ต้องลากพ่อลงไปด้วย! ถ้ารอบหน้าแกยังกล้าสร้างปัญหาอีก ฉันจะยิงแกให้ตายไปเลย!”

หูจือได้แต่ยกมือปิดป้องใบหน้า ไม่กล่าวปริปากพูดอะไรอีกต่อไป

หลี่ถงซีเป็นคนขับรถโดยมีหลี่ฮั่วเฉินกับฉีเล่ยนั่งโดยสารอยู่เบาะหลัง ชายชราครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้พลางนึกขอบคุณรองผู้บังคับการที่ให้ความช่วยเหลือ นี่ถือว่าเขาติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายแล้ว ไม่ว่ายังไงคงต้องโทรไปขอบคุณสักครั้ง

แต่จะอย่างไร แค่เอ่ยปากขอบคุณผ่านทางโทรศัพท์คงจะดูไม่จริงใจเท่าไหร่นัก ลองโทรไปชวนเขาออกมาดินเนอร์ด้วยกันสักมื้อจะดีกว่า

เมื่อคิดได้แบบนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็รีบหยิบมือถือต่อสายไปหาอีกฝ่ายโดยเร็ว

“รองผู้บังคับการซุน ผมหลี่ฮั่วเฉินนะ ผมต้องขอบคุณมากเลยสำหรับความช่วยเหลือ ถ้าเย็นนี้มีเวลาว่าง…”

“อะไรนะครับ? อาวุโสหลี่หมายความว่ายังไงกัน? ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ยังไม่ต้องรีบขอบคุณไปหรอกครับ ตอนนี้ผมกำลังดำเนินการให้อยู่ ไม่ต้องห่วงคนของคุณปลอดภัยแน่นอน อ้ะ! นี่ไงครับคนของผมโทรเข้ามาพอดี คนของอาวุโสหลี่อยู่ในสถานีตำรวจเขตตะวันออกใช่ไหมครับ?”

“…..”

“เอ่อ…รองผู้บังคับการซุน ผมพาเขาออกมาแล้ว ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องช่วยแล้ว จะว่าไปพรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้ว่างไหมครับ? ผมอยากจะชวนไปรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อ”

“อ่อ…งั้นไม่เป็นไรครับอาวุโสหลี่ ถ้าเขาได้รับการปล่อยตัวแล้วก็โอเคครับ ครั้งนี้ผมยังไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้าครั้งหน้าต้องการขอความช่วยเหลืออะไร รีบติดต่อผมมาได้เลยนะครับ”

หลังจากวางสายไป หลี่ฮั่วเฉินถึงกับนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ในหัวเต็มไปด้วยความว่างเปล่า

ถ้าไม่ใช่รองผู้บังคับการซุนที่เขาขอร้องให้ช่วย แล้วใครกันที่สามารถบีบให้หูหวงถึงกับต้องปล่อยตัวฉีเล่ยด้วยท่าทีสุภาพขนาดนั้นได้?

มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นคือรองผู้บังคับการซุนน่าจะพอทราบถึงภูมิหลังของหลี่ฮั่วเฉินมาบ้าง ก็เลยติดต่อไปหาตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เหนือกว่าให้เพื่อเข้าจัดการเรื่องนี้ให้ แต่…แต่นั่นก็ไม่น่าจะใช่เช่นกัน เพราะถ้าหากเกิดกรณีแบบนั้นขึ้นจริงๆ มีเหรอที่รองผู้บังคับการซุนจะไม่เรียกร้องความดีความชอบ?

คล้อยหลังใช้สมองครุ่นคิดอยู่นาน หลี่ฮั่วเฉินก็ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย จนท้ายที่สุดต้องหันไปถามฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย เธอยังรู้จักกับใครอีกไหมภายในปักกิ่ง?”

ฉีเล่ยปั้นหน้านึกอยู่สักครู่ก่อนจะส่ายหน้าไปมา และตอบไปว่า

“ผมพอจะมีคนรู้จักอยู่นะ แต่ไม่มีทางที่พวกเขาจะรู้ว่าผมโดนตำรวจจับกุมตัวอยู่”

“แปลกจัง แล้วเป็นใครกัน…”

หลี่ฮั่วเฉินลูบคางอยู่สักพัก พลางอุทานด้วยความงุนงง

ฉีเล่ยหัวเราะตอบไปว่า

“อาวุโสหลี่ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ คนที่ทำดีโดยไม่ทิ้งชื่อแซ่ ล้วนแต่เป็นผู้มีเจตนาดีทั้งสิ้น เราแค่รับไว้และขอบคุณอยู่ห่างๆก็พอครับ”

สักครู่หนึ่ง เฉินอวี้หลิวก็โทรเข้ามาหาฉีเล่ย ทั้งสองพูดคุยถามถึงสารทุกข์สุขดิบกันอยู่นาน เป็นเพราะเฉินอวี้หลัวคิดถึงสามีของเธอ จึงอยากได้ยินเสียงก็เลยโทรหา ฉีเล่ยก็บ่นไปเรื่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก่อนจะวางสายกันไป

หลังอาหารมื้อค่ำ ฉีเล่ยกับหลี่ฮั่วเฉินก็ออกมานั่งจิบชากันที่ลานกว้างหน้าบ้าน

หลี่ฮั่วเฉินถือถ้วยน้ำชานั่งเหยียดหลังเพื่อผ่อนคลาย เขาหันมากล่าวกับฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย เธอเคยคิดไหมว่า จะต้องให้ภรรยาของเธอทำงานไปถึงเมื่อไหร่กว่าจะได้มาปักกิ่ง? ฉันได้ยินมาว่าเธอเองก็เป็นหมอใช่ไหม? ตำแหน่งแพทย์ในโรงพยาบาลปักกิ่งมีการแข่งขันที่สูงมาก ถ้ายังไงให้ฉันช่วยได้นะ”

ฉีเล่ยรับฟังและนำไปคิดกับตัวเองสักครู่ ก่อนจะรู้สึกว่า ตัวเขาไม่ควรรบกวนอาวุโสหลี่มากไปกว่านี้แล้ว

เพราะไม่ว่าอย่างไร ทักษะและประสบการณ์ทางการแพทย์ของเฉินอวี้หลัวนั้นไม่ได้ด้อยอะไรนัก เธอจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์ที่ดีที่สุดในหนานหยาง และในปัจจุบันแพทย์สาขากระดูกก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก นอกจากนี้ เธอยังมีเคสโดดเด่นมากมายที่ทำการผ่าตัดประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องใช้เส้นสาย ก็สามารถเข้าไปทำงานได้อย่างสบายๆ

และที่สำคัญที่สุดเลย ก่อนหน้านี้ในเมืองหนานหยาง แม้ฉีเล่ยจะช่วยให้หลี่ฮั่วเฉินไม่ต้องเสียหน้าครั้งใหญ่  แต่หลี่ฮั่วเฉินก็ได้ตอบแทนเขาด้วยการจัดหาตำแหน่งงานในปักกิ่งให้แล้ว นี่ถือว่าระหว่างทั้งสองไม่ได้ติดหนี้บุญคุณซึ่งกันและกันอีก แต่ถ้าเขาขอร้องให้หลี่ฮั่วเฉินใช้เส้นสายพาภรรยาตามมาทำงานที่นี่ นั่นจะเท่ากับว่าฉีเล่ยติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายทันที

และฉีเล่ยไม่ต้องการติดหนี้บุญคุณคนอื่น

จิบชาในถ้วยไปหนึ่งคำ ฉีเล่ยคลี่ยิ้มพลางส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ไม่ต้องหรอกครับอาวุโสหลี่ ทั้งประสบการณ์และฝีมือของภรรยาผมจัดว่าไม่เลว ทุกครั้งที่เข้าเคสผ่าตัดล้วนประสบความสำเร็จมาโดยตลอด ต่อให้มาปักกิ่ง ถ้าไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลแถวหน้า ก็น่าจะได้เป็นแพทย์ประจำอยู่ในโรงพยาบาลขนาดกลางอย่างแน่นอน”

หลี่ฮั่วเฉินกล่าวว่า

“อย่าได้เกรงใจกันล่ะ นี่ไม่ได้ถือว่าเป็นการช่วย แต่เป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ป่วยได้เจอแพทย์เก่งๆมากขึ้น ดังนั้นถ้าในกรณีที่เกิดปัญหาอะไรขึ้น บอกฉันได้ทุกเมื่อ”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบขอบคุณกลับไป

หลังจากคุยกันได้สักพักหนึ่ง พอเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทั้งสองจึงแยกย้ายกันเข้าบ้าน ขณะที่ฉีเล่ยกำลังเดินกลับเข้าไปนั้นเอง ก็ได้สังเกตเห็นหญิงสาวกำลังเฝ้ามองพวกเขาจากระเบียงชั้นสองอยู่

นี่เป็นวันแรกที่เขาได้ทำงานในฐานะอาจารย์ ดังนั้นจึงรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ เขาตรงกลับเข้าห้องเพื่ออาบน้ำล้างตัวทันที ก่อนจะจัดเตรียมกล่องบรรจุเข็มทองหางหงส์และมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของหลี่ถงซี

หลี่ถงซีเองก็พร้อมแล้วเช่นกัน ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ผมสีดำขลับดูมีน้ำหนักพาดอยู่บนบ่า ร่างกายยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากครีมอาบน้ำที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว

เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินตรงเข้ามา เธอก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“ดื่มชาก่อนไหม?”

ฉีเล่ยตระหนักดีว่า เธอน่าจะยังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อยเมื่อถึงเวลาฝังเข็ม แต่อย่างไรขั้นตอนการรักษานี้ยังต้องดำเนินต่อเป็นระยะเวลานาน เขาจำเป็นต้องเอาชนะความกังวลของเธอให้ได้

“ไม่เป็นไร ผมเพิ่งดื่มมาหลายแก้ว ดื่มอีกคงตาแข็งนอนไม่หลับแน่นอน”

ฉีเล่ยกล่าวต่อว่า

“นี่ก็เริ่มดึกแล้ว มาเริ่มกันเลยเถอะ แล้วต้องเปลี่ยนชุดอะไรไหม?”

“เพิ่งเปลี่ยนเมื่อกี้”

“….”

เหตุผลที่จู่ๆฉีเล่ยเอ่ยถามเธอเรื่องเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะวันนี้เธอไม่ได้สวมชุดนอน…

มันเป็นชุดเปลือยครึ่งไม่เปลือยครึ่งให้อารมณ์สปอร์ตบรามาพร้อมกับกางเกงขาสั้นรัดรูป

ด้วยชุดที่รัดรูปนี้เองจึงทำให้เห็นทรวดทรงเสน่หาอันเย้ายวนของหลี่ถงซีเด่นชัดมากขึ้น ใครก็ตามที่ยังมีความเป็นผู้ชายอยู่จะต้องใจสั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้

ฉีเล่ยเองก็ยังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งที่มีอารมณ์และความรู้สึก เมื่อได้เห็นแบบนี้ย่อมต้องใจสั่นเป็นธรรมดา ไม่สามารถทำจิตใจให้นิ่งสงบดั่งก่อนหน้าได้อีกต่อไป

จิตใจสั่นไหว มือไม้สั่นคลอน เข็มแรกที่ปักลงไปบนร่างของหลี่ถงซีดูไม่ค่อยน่ากังวล แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการประหม่าเริ่มทำพิษ มีหยาดเหงื่อรินไหลลงมาจากหน้าผากผ่านเข้ามาในบริเวณดวงตา

เหงื่อไหลเข้าทิ่มแทงดวงตา ทำให้เห็นจุดฝังเข็มคลาดเคลื่อนไป พอถ่ายน้ำหนักปักเข็มลงไปก็พลันสัมผัสได้ทันทีว่าผิดจุด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset