ตอนที่ 9 โอสถชั้นเลิศ
ในระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารอยู่นั้น หวู่เฉิงเฟิงก็ได้เล่าเรื่องที่ตนเองหมดสติ หัวใจหยุดเต้นจนต้องเข้าโรงพยาบาล กระทั่งหมอที่เก่งที่สุดก็ยังคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ได้ฉีเล่ยช่วยชีวิตเอาไว้ ให้กับต่งซีหยุนฟัง
จากนั้น จึงได้กระซิบถามชายชราว่า “อาวุโสต่งจะรังเกียจมั๊ยครับ ถ้าผมจะขอเชิญคุณหมอฉีให้มาดูอาการของคุณ ?”
แต่ยังไม่ทันที่ต่งซีหยุนจะทันได้ตอบอะไร แพทย์ประจำตัวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รีบค้านขึ้นทันที
“คงจะไม่ได้หรอกครับ ! อาวุโสต่งเป็นถึงเจ้าของกลุ่มบริษัทฮัวหยุนที่ใหญ่โต ความปลอดภัยของอาวุโสต่งจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะชีวิตของอาวุโสต่งมีผลต่ออีกหลายหมื่นชีวิตของพนักงาน จึงเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ที่จะเชิญหมอมาดูอากา รสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ !”
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของแพทย์ประจำตัวต่งซีหยุน สีหน้าของหวู่เฉิงเฟิงก็ถึงกับเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจขึ้นมาทันที
แต่ต่งซีหยุนกลับพยักหน้า และตอบหวู่เฉิงเฟิงไปว่า “ก็ถ้าหมอฉีสามารถทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้อย่างที่คุณพูดจริงๆ ผมเองก็ไม่รังเกียจที่จะให้เขาช่วยตรวจดูอาการ ..”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอาวุโสต่ง หวู่เฉิงเฟิงจึงได้แอบหันไปมองหวู่เฉินเทียนผู้เป็นลูกชาย พร้อมกับทำสีหน้าสื่อสารให้เขารู้ว่า ยังจะต้องกังวลเรื่องของขวัญ ที่จะมอบให้กับอาวุโสต่งอีกทำไมกัน ? ในเมื่อนี่ล่ะคือของขวัญล้ำค่าที่สุดแล้ว !
หวู่เฉินเทียนได้แต่ตกตะลึง และคิดไม่ถึงจริงๆว่า พ่อของเขาจะฉลาดล้ำลึกถึงขนาดนี้ !
………..
ในขณะที่ได้รับโทรศัพท์จากหวู่เฉิงเฟิงนั้น ฉีเล่ยเองก็เพิ่งจะรับประทานอาหารเสร็จ และเวลานี้ ทั้งเขา ภรรยา และแม่ยาย ต่างก็กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกด้วยกัน
หลังจากวางสายจากอาวุโสหวู่แล้ว ฉีเล่ยก็วางโทรศัพท์มือถือลง พร้อมกับหันไปบอกเฉินอวี้หลัวว่า
“อาวุโสหวู่โทรมาบอกว่ามีธุระด่วน ขอให้ผมเข้าไปหาที่บ้านตอนนี้ ! ถ้าผมกลับมาดึก คุณก็เข้านอนก่อนได้เลย ไม่ต้องรอผม”
หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็กลับเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า และเมื่อเขาเดินออกมา เฉินอวี้หลัวจึงได้ร้องบอกไปด้วยความเป็นห่วง
“ระวังตัวด้วยล่ะ !”
ฉีเล่ยพยักหน้า แล้วจึงเดินออกจากบ้านไปเรียกแท็กซี่ มุ่งหน้าไปคฤหาสน์สกุลหวู่ทันที ..
………..
เมื่อฉีเล่ยเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ เขาจึงได้พบว่า ภายในห้องรับประทานอาหารนั้น มีคนนั่งอยู่มากมายหลายคน แต่เขาก็รู้จักเพียงแค่พ่อลูกสกุลหวู่เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้ว เขาก็ไม่รู้จักเลยแม้แต่คนเดียว
ทันทีที่หวู่เฉิงเฟิงเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา เขาก็รีบลุกขึ้นไปทักทาย พร้อมกับดึงมือชายหนุ่มไปที่โต๊ะอาหาร จากนั้นจึงเริ่มแนะนำฉีเล่ยให้ต่งซีหยุนรู้จัก
“ฉีเล่ย นี่อาวุโสต่ง ! ”
จากนั้น หวู่เฉิงเฟิงก็ได้หันไปทางต่งซีหยุน พร้อมกับพูดขึ้นว่า “อาวุโสต่ง ชายหนุ่มคนนี้ชื่อว่าฉีเล่ย เขาก็คือคุณหมอฉีที่ผมเล่าให้ฟังว่า ช่วยฉุดผมออกมาจากความตายได้ยังไงล่ะครับ !”
ฉีเล่ยซึ่งเด็กกว่าเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปให้ต่งซีหยุน พร้อมกับทักทายตามมารยาท “สวัสดีครับอาวุโสต่ง ยินดีที่ได้รู้จักครับ !”
ต่งซีหยุนเองก็ยื่นมือออกมาจับมือของฉีเล่ยตามธรรมเนียมเช่นกัน ..
จากการพบกันเมื่อครั้งก่อน ทำให้ฉีเล่ยรู้ดีว่า เพราะเหตุใดหวู่เฉิงเฟิงจึงได้โทรเรียกเขามาที่นี่ ในเมื่อรู้จุดประสงค์ของอาวุโสหวู่แล้ว ฉีเล่ยก็ไม่ต้องการเสียเวลาอีก เขาจึงได้เอ่ยถามต่งซีหยุนออกไปทันที
“อาวุโสต่งครับ คุณกำลังประสบปัญหาไม่สามารถมองลงต่ำได้ใช่มั๊ยครับ ? และถ้าผมเดาไม่ผิด ทุกครั้งที่คุณนอนราบ ก็จะไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้เป็นปกติใช่มั๊ยครับ ? ไม่ทราบว่า ที่ผมวิเคราะห์อาการไป ถูกต้องหรือไม่ครับ ? ”
ต่งซีหยุนและหวู่เฉิงหยางถึงกับหันไปมองหน้ากันด้วยความตกใจ และทั้งคู่ก็ได้แต่คิดในใจว่า หมอหนุ่มคนนี้น่าทึ่งมากจริงๆ !
ก่อนหน้านี้ต่งซีหยุนก็ได้เล่าอาการป่วยทั้งหมดของตนให้หวู่เฉิงเฟิงฟันเช่นกัน ทำให้เขาได้รู้ว่า คำวินิจฉัยโรคของฉีเล่ยนั้นถูกต้อง และแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ !
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของฉีเล่ย ต่งซีหยุนก็เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมา เขารีบหันไปถามชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“พ่อหนุ่ม ฉันป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ ? แล้วโรคที่ฉันเป็นอยู่นี้ พ่อหนุ่มพอจะมีหนทางรักษาให้หายได้มั๊ยล่ะ ? ”
แต่ฉีเล่ยกลับไม่รีบร้อนตอบคำถามของชายชรานัก เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่หวู่เฉิงเฟิงได้จัดเตรียมไว้ให้ พร้อมกับหยิบตะเกียบที่วางอยู่ ขึ้นมาคีบอาหารใส่ปากสองสามคำ แล้วจึงหันไปมองชายชราแน่นิ่ง พร้อมตอบกลับไปว่า
“อาวุโสต่งครับ อาหารบนโต๊ะมีแต่ของดีๆ แล้วก็รสชาติอร่อยมาก ทำไมคุณถึงไม่กินให้อิ่มท้องก่อนล่ะครับ ? ”
แต่แพทย์ประจำตัวที่นั่งอยู่ข้างๆอาวุโสต่ง กลับหันไปบอกฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า
“นี่ น่ะเหรอหมอเทวดา ? แค่คนไข้กินอาหารมันๆ กินอาหารทะเล แล้วก็เนื้อทุกชนิดไม่ได้ ยังไม่รู้เลย แล้วแบบนี้ยังจะกล้ามารักษาอาวุโสต่งอีกเหรอ ? ”
ฉีเล่ยคร้านที่จะอธิบาย เขาเพียงแค่ส่ายหน้าไปมา พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความเสียดาย “บนโต๊ะอาหารตอนนี้ มีแต่โอสถชั้นเลิศทั้งนั้น แต่กลับไม่มีใครมองเห็น ช่างน่าเสียดายจริงๆ !”
หลังจากที่ฉีเล่ยพูดจบ ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างก็ถึงกับชะงักงันไปเล็กน้อย แม้กระทั่งต่งซีหยุนเองก็เช่นกัน จากนั้น อาวุโสต่งก็อดที่จะร้องถามฉีเล่ยออกไปด้วยความงุนงงสงสัยไม่ได้
“พ่อหนุ่ม โอสถล้ำเลิศอะไรกัน ? มันอยู่ที่ไหนงั้นเหรอ ? ฉันมองไม่เห็นจริงๆ ! ”
ฉีเล่ยจึงยกมือขึ้นชี้ไปที่อาหารทั้งหมดบนโต๊ะ พร้อมกับตอบไปว่า “ก็อาหารทั้งหมดนี่ไงล่ะครับโอสถชั้นเลิศ ! ถ้าอาวุโส่ต่งไม่ทาน ผมก็จะกินทั้งหมดเอง ..”
จากนั้น ฉีเล่ยก็หันไปถามหวหวู่เฉินเทียนว่า “อาหารดีๆแบบนี้ ไม่มีไวน์ซะหน่อยเหรอครับ ? น่าจะเปิดไวน์มาดื่มกันหน่อยนะครับ !”
“…”
เวลานี้ ทั้งหวู่เฉิงเฟิง และหวู่เฉินเทียน ต่างก็ได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก และสีหน้าของทั้งสองพ่อลูก ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนอย่างมาก
‘นี่มันอะไรกันฉีเล่ย ? ’
‘ฉันอุตส่าห์เชื่อใจเธอ หวังว่าจะให้เธอมาช่วยกู้สถานการณ์ ด้วยการช่วยรักษาแขกคนสำคัญของฉัน แต่นี่เธอกลับกำลังทำอะไรอยู่ ? ’
และเวลานี้ บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ก็เริ่มพับแขนเสื้อของตนเองขึ้น และเมื่อใดที่ฉีเล่ยพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ พวกเขาก็พร้อมที่จะจัดการกับชายหนุ่ม และลากตัวออกไปนอกบ้านทันที
แต่ฉีเล่ยกลับไม่ได้พูดอะไรอีกเลยหลังจากนั้น จึงไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เขายังคงใช้ตะเกียบคีบอาหารบนโต๊ะเข้าปากไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่เดือดร้อนอะไรนัก และในที่สุดก็หันไปพูดกับต่งซีหยุนว่า
“อาวุโสต่งครับ สำหรับอาการเจ็บป่วยของคุณนั้น ไม่จำเป็นต้องทานยาอะไรทั้งนั้น ! เพียงแค่ทำตามที่ผมบอกก็พอ แล้วอาการของคุณจะดีขึ้นในทันที .. ”
“เริ่มจากกินอาหารให้อิ่ม จากนั้นก็ดื่มไวน์ไปด้วย ! ถ้าอาวุโสต่งเชื่อคำพูดของผมก็ลองดู แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่จำเป็นต้องลอง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอาวุโสเอง .. ”
หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็คีบหอยเป่าฮื้อตัวใหญ่เข้าปาก ตามด้วยหอยเชลล์ และกุ้งตัวใหญ่ อาหารที่ชายหนุ่มคีบเข้าปากนั้น ล้วนแล้วแต่ส่งกลิ่นหอม ชวนให้รู้สึกหิวได้อย่างมากมาย
“ตกลง ! กินก็กิน ! ฮ่าๆๆๆ”
หลังจากร้องตะโกนออกไป พร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ต่งซีหยุนก็หยิบตะเกียบที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมา ปากก็ร้องบอกฉีเล่ยไปว่า
“พ่อหนุ่ม ขอบอกตามตรง ฉันเชื่อเธอตั้งแต่ที่เธอเดินเข้ามาในห้อง และสามารถบอกอาการป่วยของฉันได้อย่างถูกต้องแล้วล่ะ ! ”
“แต่อาวุโสต่งครับ คุณทานอาหารที่มีไขมันสูงไม่ได้นะครับ ! ”
นายแพทย์ประจำตัวที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบร้องห้ามทันที แต่ต่งซีหยุนกลับหันไปมองด้วยสายตาดุดัน ทำให้เขาต้องหุบปากเงียบ และไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย
นายแพทย์คนนั้นไม่กล้าขัดใจอาวุโสต่ง จึงได้แต่หันไปจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาที่บ่งบอกว่า เห็นเขาเป็นศัตรูอย่างชัดเจน ปากก็ร้องตะโกนใส่หน้าฉีเล่ยด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าอาวุโสต่งเป็นอะไรเพราะกินอาหารพวกนี้เข้าไป คุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ ! ”
ฉีเล่ยได้แต่หัวเราะออกมา พร้อมตอบโต้กลับไปทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอให้อาวุโสต่งกินอิ่มก่อนสินะ ?”
“หึ ! ถ้าหลังจากกินเสร็จไม่มีอาการอะไร ผมจะยอมยกหน้าที่นี่ให้คุณ และผมจะลาออกจากการเป็นแพทย์ประจำตัวของอาวุโสต่งทันที ! ”
ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมา พร้อมตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องถึงขั้นลาออกก็ได้ เอาเป็นว่า คุณแค่ขอโทษผมก็พอ !”
แพทย์ประจำตัวต่งซีหยุนได้แต่นึกเย้ยหยันฉีเล่ยอยู่ในใจ และได้แต่แอบคิดว่า ..
‘หึ ! นี่แกคงไม่รู้สินะว่าอาวุโสต่งเป็นใคร ? ขืนแกทำให้อาวุโสต่งได้รับอันตราย แกเองก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดไปได้เลย ต่อให้ใครหน้าไหนก็ไม่สามารถช่วยแกได้ !’
ต่งซีหยุนไม่สนใจนายแพทย์ประจำตัวของตนเองอีก เขาคีบอาหารบนโต๊ะกินอย่างมีความสุข และไม่สนใจว่าหลังจากกินไปแล้วจะป่วยเป็นอะไรด้วย !
ไม่เพียงเท่านั้น ในระหว่างที่รับประทานอาหาร หวู่เฉินเทียนยังได้รินไวน์ให้กับต่งซีหยุนสองสามแก้ว และเวลานี้ ไวน์แดงในขวดก็หมดลงไปอย่างรวดเร็ว เขาต้องสั่งให้คนในบ้านไปนำขวดใหม่มาเปิด
ท้ายที่สุด ทั้งหมดก็ดื่มไวน์หมดไปถึงสามขวด ต่งซีหยุนยกมือขึ้นลูบท้องของตนเอง พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พ่อหนุ่ม ฉันพอใจกับการรักษาของเธอจริงๆ แล้วตอนนี้ฉันก็อิ่มมากด้วย ! นับว่าฉันคิดถูกที่เลือกเชื่อเธอ ! ”
ความหมายของต่งซีหยุนก็คือ หากไม่ใช่เพราะฉีเล่ย เขาก็คงไม่ได้กินข้าว ไม่ได้กินอาหารอร่อยๆ แล้วก็ดื่มไวน์ดีๆแบบนี้ และหากเขาเลือกที่จะไม่เชื่อฉีเล่ย ป่านนี้เขาก็คงได้กินแต่อาหารอะไรก็ไม่รู้ ..
ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะออกมากับคำพูดของต่งซีหยุน จากนั้นเขาจึงบอกกับชายชราว่า “อาวุโส พวกเราออกไปเดินย่อยอาหารกันหน่อยดีมั๊ยครับ ?”