รองเจ้ากรมหลี่ไม่ลังเล จับไม้ปลุกสติเตรียมเคาะหลังจากทหารผู้ช่วยประกาศคำตัดสิน อวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้นพรวด “ช้าก่อน”
ยังไม่ตายใจสินะ ไหนดูซิว่านางจะปกป้องพี่ชายของตัวเองอย่างไร
อวี้เหวินผิงมืออ่อน แก้วน้ำชาพลันตกลงโต๊ะไม่แรงแต่ก็ไม่เบาดังแกร๊ง น้ำชากระเด็นออกมาเล็กน้อย
รองเจ้ากรมหลี่มองตามเสียง เห็นนางลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วเอ่ย “ใครกันที่บอกว่านักโทษหาได้มีความสัมพันธ์กับแม่หญิงตระกูลหงไม่” พูดเสร็จก็ชำเลืองมองสวี่มู่เจิน
สวี่มู่เจินเข้าใจทันทีจึงเงยหน้าขึ้นกล่าว “หงเยียนกับข้าได้หมั้นหมายเป็นการส่วนตัวแล้ว ทั้งยังได้เข้าบ้านข้าและได้พบกับท่านพ่อเป็นที่เรียบร้อย เพียงยังมิได้สู่ขออย่างเป็นทางการเท่านั้น ข้ามองนางเป็นดั่งภรรยา ในเมื่อภรรยาของข้าถูกคนวางยาพิษ ข้าขอถามผู้ชายทั่วฟ้าว่ามีใครกันที่ทนเห็นเช่นนั้นได้ สามีแก้แค้นให้ภรรยา คงไม่อาจจะปฏิเสธว่าไม่ดีทั้งหมดได้หรอกกระมัง”
หมั้นหมายเป็นการส่วนตัว ยังพบผู้ใหญ่แล้วอีก งั้นก็คงมิต่างอะไรกับการเป็นสามีและภรรยาแล้วนี่ แม้ยังมิใช่สามีภรรยาที่ออกเรือน แต่ก็คงได้แต่งเข้าตระกูลสวี่ในไม่ช้าก็เร็ว
โถงศาลพลันมีเสียงซุบซิบ
อวี้เหวินผิงสีหน้าดำคล้ำเครียด
สถานการณ์พลิกแพลงอีกครั้ง รองเจ้ากรมเคาะไม้ปลุกสติสองที โถงศาลถึงสงบลง แล้วสั่งให้คนไปนำตัวพ่อของนักโทษมา
สวี่เจ๋อเทาทราบว่าลูกชายจะถูกตัดสินในวันนี้ จึงได้ยืนที่หน้าประตูกรมอาญาตั้งแต่เช้า เมื่อถูกทางการเรียกตัว ไม่ถึงครู่หนึ่งก็เดินเข้าไปด้านในพร้อมกับพ่อบ้านทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมอง ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งวันท่านอาดูซูบโทรมหน้าซีดลงไม่น้อย แต่ยังโชคดีที่มิได้เป็นอะไรมาก
สวี่เจ๋อเทาชำเลืองมองลูกชายที่สวมชุดนักโทษ จากนั้นคุกเข่าลงทันทีที่ฟังเรื่องราวจบ “บุตรชายของข้าได้พาหงซื่อไปยังจวนเมื่อหลายวันก่อนจริงขอรับ” ชะงักครู่หนึ่ง ถึงไม่เต็มใจแต่จะไม่ช่วยก็คงไม่ได้ “แล้วข้าก็ยอมให้เขารับแม่หญิงตระกูลหงมาเป็นภรรยา แต่ด้วยบุตรของข้าได้หมั้นหมายไว้แล้วกับตระกูลหลัว ข้าไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์สองตระกูลห่างเหินไปด้วยเรื่องนี้ ข้าจึงอยากเกลี้ยกล่อมเขาอีกสักหน่อยแล้วค่อยว่าอีกที เรื่องนี้จึงเลยเถิดมาถึงตอนนี้ขอรับ”
ผู้ใหญ่ในเรือนยอมรับแล้ว ถ้าเช่นนั้นแม่หญิงตระกูลหงก็นับว่าเป็นคนของตระกูลสวี่ที่ยังมิได้แต่งเข้าอย่างเป็นทางการเพียงเท่านั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สองคนนี้จะหาว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดเลยก็คงมิได้ แต่ยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยต่างหาก สามีภรรยา เป็นความสัมพันธ์ที่หนึ่งของใต้ฟ้า สามีแก้แค้นแทนภรรยา ก็ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
สวี่มู่เจินมองพ่อแล้วรู้สึกว่าตนติดค้างเขามากมายเหลือเกิน เวลาเพียงหนึ่งคืน ผมสีขาวของท่านเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย แล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้จึงขานออกไป “ท่านพ่อ”
เขาและหงเยียนจำเป็นต้องใช้วิธีนี้ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากท่านพ่อ มันช่างน่าเศร้ายิ่งนัก
เมื่อเสียงพูดจบลง สวี่เจ๋อเทาก็ง้างมือฟาดหน้าลูกชายดังเพี้ยะ “ลูกไม่รักดี! ข้ารู้ว่าเจ้ากับแม่นางหงรักกัน รู้สึกสงสารที่แม่นางหงถูกผู้ไม่หวังดีกระทำมาโดยตลอด ถ้าเจ้าอยากจะลงโทษคนร้ายด้วยการแก้แค้นให้กับนาง แต่เจ้าก็ไม่ควรทำถึงเพียงนี้! อดทนมาได้ขนาดนี้แล้ว จะอดทนไปอีกสักหน่อยมิได้เชียวหรือ”
“ห้ามทะเลาะกันในโถงศาล!” รองเจ้ากรมสั่งให้ทหารจับแยกสวี่เจ๋อเทาออกมา
สวี่มู่เจินถูกทุบตีจนล้มไปกับพื้น เอามือเช็ดเลือดที่กบเต็มปาก
ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นกลับรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย เพราะท่าทีและการแสดงของท่านอานับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ตั้งใจตำหนิต่อว่าลูกชายในที่สาธารณะ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของสวี่มู่เจินกับหงเยียนนั้นคือความจริง ทั้งสองคนได้เป็นสามีภรรยาลับๆ กันแล้ว เหลือดำเนินพิธีการเพียงเท่านั้น แม้ชื่อเสียงอาจดีเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยก็รักษาชีวิตไว้ได้
เรื่องดำเนินการไปตามคาด รองเจ้ากรมหลี่เริ่มลำบากใจ จึงเอ่ยถามความเห็นจากคณะลูกขุนหลายท่าน “ใต้เท้าทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร”
ถานหลังจงสองมือประสานระดับอกกล่าวตอบ “ตามข้อบังคับของกฎหมาย จับฆ่าชู้บนเตียงไม่ผิด หากสามีพบเห็นภรรยาเป็นชู้กับผู้อื่น แล้วฆ่าชายชู้หญิงชู้ทันที ก็ไม่ผิดเช่นเดียวกัน แม้จะไม่คล้ายคดีนี้นัก แต่ในความต่างก็มีความเหมือนอยู่บ้าง แม่หญิงตระกูลหงเป็นภรรยาอย่างไม่เป็นทางการของนักโทษ นักโทษในฐานะผู้ชาย เมื่อมีคนบีบบังคับภรรยาก็ย่อมเกิดความโมโหจนเกิดความแค้นขึ้นภายในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผนวกกับการแก้แค้นให้กับคนในครอบครัวดังที่พระชายาฉินกล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั้น ข้าน้อยคิดว่า การตัดสินโทษประหารสวี่มู่เจิน แลดูจะหนักไปขอรับ”
ขุนนางใต้บังคับบัญชาของถานหลังจงและผู้ช่วยรองเจ้ากรมหลายนายพากันเห็นด้วย
สีหน้าอวี้เหวินผิงคล้ำเครียดเล็กน้อย
รองเจ้ากรมลี่ไตร่ตรองเสร็จจึงเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นก็นำตัวนักโทษกลับห้องขัง แก้ไขคำตัดสินแล้วถึงประกาศอีกครั้ง ได้หรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นกับชูซย่าต่างพากันถอนหายใจโล่งอกไปที แต่อวี้เหวินผิงกลับสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นพรวด “ไม่ได้”
รองเจ้ากรมสงสัยพลางเอ่ยถามอย่างสุภาพ “สมุหนายกอวี้ยังเป็นกังวลสิ่งใดอยู่หรือขอรับ”
“ข้ามิได้เป็นกังวล ข้าขอพูดเพียงหนึ่งประโยค” อวี้เหวินผิงหรี่ตาพลางเอ่ย “เพลานี้เป็นช่วงไหว้ทุกข์ ทุกสิ่งล้วนพึงปฏิบัติอย่างเข้มงวด สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดในโถงศาลวันนี้ หากเป็นวันทั่วไป ก็ย่อมได้ แต่นี่เป็นช่วงเวลาเฉพาะ สิ่งใดล่ะที่เรียกว่าความเข้มงวดสูงสุด สิ่งนั้นก็คือแม้เป็นเพียงการลักขโมยก็พึงรับโทษประหารชีวิต! เหอะ คดีในวันนี้เป็นถึงคดีฆาตกรรมแต่กลับตัดสินโทษประหารชีวิตไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นจะใช่การควบคุมอย่างเข้มงวดสูงสุดได้อย่างไรอีกเล่า นี่มันหน้าไหว้หลังหลอกกันเลยมิใช่หรือ รองเจ้ากรมลี่ สิ่งที่กรมยุติธรรมปฏิบัติเป็นสิ่งที่เป็นไปตามข้อกฎหมายก็จริง แต่ท่านปฏิบัติไม่ถูกเวลา นี่ท่านคิดจะกระทำซึ่งหน้าในช่วงเวลาไหว้ทุกข์แม่ของแผ่นดินอย่างนั้นใช่หรือไม่”
“เอ่อ…” รองเจ้ากรมหลี่ถึงกับตะลึงงัน ขุนนางกรมยุติธรรมท่านอื่นต่างก็มิกล้าพูดสิ่งใดอีก
อ้างอิงตำราเป็นหลักการในการโต้แย้ง หยิบยกคดีออกมาอีกเท่าไหร่ ก็ยังมิสู้เพียงประโยคเดียว
แม้ว่าผู้ตายเป็นถึงผู้มียศถาสูงศักดิ์ ก็จะทำเหมือนไม่เห็นกฎหมายที่ได้ตั้งเอาไว้ และยังจะให้คนที่อยู่ด้านล่างตายตามไปด้วยอย่างนั้นหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นกำมือแน่น แผ่นหลังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ หรือว่าชีวิตของท่านพี่จะช่วยไม่ได้แล้วจริงๆ ในตอนนั้น มีเสียงทุบกลองตึ่งตั่งดังขึ้นจากประตูใหญ่ของโถงศาล เสียงทุบดังขึ้นเรื่อยๆ
นายทหารวิ่งมารายงานอย่างตื่นตัว “เรียนรองเจ้ากรม มีหญิงตระกูลหงขอเข้าพบนักปกครอง นางกล่าวว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีในวันนี้ขอรับ”
หงเยียนมาเหรอ สวี่มู่เจินตกใจตะลึงงัน พลันหันมอง
เวลาผ่านไปไม่ถึงครู่หนึ่ง นายทหารก็พามาถึงโถงศาล
หงเยียนชำเลืองมองสวี่มู่เจินหนึ่งที สีหน้านิ่งเรียบ คุกเข่าลงฟุ่บ
สวี่เจ๋อเทาเห็นแล้วว่าผู้หญิงที่ทำให้ลูกชายของตนเป็นแบบนี้มาถึงแล้ว แม้จะรู้อีกว่านางมาขอความเห็นใจ และก็รู้อีกว่าเรื่องนี้ตัดสินใจโดยลูกชาย จะกล่าวโทษนางก็ไม่ได้ แต่ก็มิวายรู้สึกทั้งโกรธทั้งเกลียด
ร้องขอความเห็นใจกับขุนนางเฒ่าเหล่านี้คงมีประโยชน์อยู่หรอกกระมัง เพราะแม้กระทั่งตนและหลานสาวอยู่ด้วยก็ยังช่วยอะไรไม่ได้เลย!
ถ้ามองทุกอย่างออก ก็ควรไปให้ไกลจากลูกชายของตนตั้งแต่แรก ตัดขาดความสัมพันธ์กับลูกของเขา! ลูกของเขาก็จะไม่ตกต่ำอย่างในวันนี้!
“เจ้าก็คือบุตรสาวของหงซื่อฮั่น” รองเจ้ากรมเอ่ยถาม
หงเยียนพบเจอสถานการณ์และเหตุการณ์มาต่างๆ นานา คิดหรือว่าจะกลัวโถงศาล นางเงยหน้าขึ้นตอบนิ่งๆ “ข้าน้อยหงซื่อ เป็นบุตรสาวของหงซื่อฮั่นเจ้าค่ะ” ชะงักครู่หนึ่ง หันมองชายหนุ่มที่สวมชุดนักโทษหนี่งที จากนั้นก็กล่าวต่อด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวลและอ่อนโยน “และเป็นผู้บงการเบื้องหลังการฆ่าแม่เล้าของสวี่มู่เจิน”
สวี่เจ๋อเทากับอวิ๋นหว่านชิ่นพากันตกใจ ส่วนสวี่มู่เจินตะลึงงัน ขยับตัวไปใกล้และเอ่ยห้าม “หงเยียน——”
หงเยียนเห็นเขาขยับมาหา จึงยกมือขึ้นคล้องแขนไว้ จากนั้นก็ออกแรงนิ้วกดลงไปที่จุดสำคัญและหมุนหนึ่งรอบ
สวี่มู่เจินรู้สึกเพียงลำคอเปล่งเสียงไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ เขาเข้าใจว่านางไม่อยากให้ตนพูดอะไรอีก เขาจ้องนางอย่างไม่ละสายตา แล้วก็ถูกนายทหารจับแยกออกไป
“เจ้าคือผู้บงการงั้นรึ” รองเจ้ากรมเอ่ยถามด้วยความตกใจ
หงเยียนคุกเข่าลงพื้น เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางปัดผมเผ้าที่อยู่ด้านหน้าเบาๆ “หากพูดถึงความแค้น จะมีใครอีกเล่าที่แค้นแม่เล้ามากกว่าข้าน้อย เพราะข้าน้อยเกลียดแม่เล้าเข้ากระดูก จึงได้เป่าหู บีบบังคับด้วยวิธีต่างๆ กับคุณชายสวี่เรื่อยมา คุณชายสวี่ไม่มีทางเลือก จึงได้ลงมือฆ่าผู้ตายแทนข้าน้อยเจ้าค่ะ”