อาหลังเช็ดน้ำตาพยักหน้าหงึกๆ อย่างเชื่อฟัง พลางเอ่ยอย่างมั่นใจ “อื้ม พวกเราจะดูแลเป็นอย่างดี จะรอแม่นางหงเยียนกลับมาขอรับ!”
อวิ๋นหว่านชิ่นฝืนยิ้ม “ฝากพวกเจ้าสองคนด้วยนะ” หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึก แล้วกล่าวต่อ “ร้านเซียงหยิงซิ่วเป็นความตั้งใจของข้า ส่วนหงเยียนเป็นเสาหลักของร้านเซียงหยิงซิ่ว เมื่อมีความตั้งใจจากคนมากมายขนาดนี้ ข้าเชื่อว่า ฟ้าสวรรค์จะต้องไม่ให้หงเยียนเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน”
ป้าจู้สี่กับอาหลังได้ยินก็สบายใจขึ้น สีหน้าพลอยดีขึ้น ราวกับมีความหวังเพิ่มขึ้นไม่น้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นสั่งงานอีกไม่กี่คำ ก็หันหลังเดินออกจากร้านไป
รอยยิ้มของนางหายไปทันทีที่หันหลังให้ทุกคน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียดอย่างที่สุด
ชูซย่าจับแขนของนางที่อยู่ใต้เสื้อพลางบีบอย่างแผ่วเบา ทำให้รู้ว่านางให้กำลังใจสองคนนั้นด้วยความฝืนทน เพราะนางเอง ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่า ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่กล่าวออกไป วันนี้ ร้านค้าเริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มเป็นที่รู้จัก แต่พอไม่มีหงเยียน ก็เหมือนรถที่ขาดล้อยาง จนไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ ไม่ว่าจะด้วยหลักความรู้สึกหรือหลักเหตุผล จะส่วนตัวหรือส่วนรวม นางขาดหงเยียนไปไม่ได้จริงๆ
ทันทีที่ออกจากร้าน ก็มีคนๆ หนึ่งคล้ายว่ารออยู่นาน เดินพรวดเข้ามาพร้อมกับประสานสองมือทำความเคารพ “ได้ข่าวว่าผู้จัดการเซียงหยิงซิ่วเกิดเรื่อง ขอแสดงความเสียใจกับเหนียงเหนียงด้วย ข้าเคยมาหาแม่นางหงเยียนอยู่หลายครั้ง นางเป็นคนเด็ดขาด มีน้ำใจและเป็นกันเอง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นมอง ก็นึกออกทันที ว่าเป็นผู้จัดการร้านชุนหมั่นที่อยู่ตรงข้ามนั่นเอง “ขอบใจมาก ผู้จัดการวั่น วันนั้นยังมาไม่ถึง ยังไม่ต้องแสดงความเสียใจหรอก”
ผู้จัดการวั่นเอ่ยขอโทษเสียงเบา “ข้าขออภัยที่พูดผิดไป…แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ร้านเซียงหยิงซิ่วก็ว่างเปล่า ไม่มีผู้จัดการร้านคอยดูแล แม้ว่าพวกข้า มิใช่ร้านให้บริการดั่งร้านเหล้าหรือร้านน้ำชา ที่ต้องทำงานหนักก็ตาม แต่เวลายุ่งขึ้นมา ไม่ว่าจะสั่งของหรือรับของ ก็ยุ่งจนแทบทำไม่ไหวเช่นกัน หากจะให้เหนียงเหนียงหาคนที่ไว้ใจได้ ก็อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย เจ้าของร้านของข้าบอกไว้ หากเหนียงเหนียงไว้ใจ ยามที่ร้านเซียงหยิงซิ่วมือไม้ไม่พอใช้ ต้องการความช่วยเหลือ จะมาเรียกพวกข้าที่ร้านชุนหมั่นก็ได้ ไหนๆ ร้านชุนหมั่นกับร้านเซียงหยิงซิ่วก็อยู่แค่ตรงข้ามกัน สะดวกสบายมากขอรับ พวกข้าเองก็สามารถเรียกให้คนมาช่วยได้เสมอ”
อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวขอบคุณจากใจจริง “ขอบใจเถ้าแก่เฟิ่งเป็นอย่างมาก น้ำใจของร้านชุนหมั่นข้ารับไว้แล้วล่ะ แต่ก็ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจนะ เพียงแต่ว่า” ชำเหลืองมองป้ายร้านที่อยู่ด้านหลังหนึ่งที “ข้าได้บอกป้าจู่สี่พวกเขาแล้วว่า ช่วงที่หงเยียนไม่อยู่ แม้ว่ายังให้เปิดร้านทุกวัน แต่เราจะรับลูกค้าในจำนวนจำกัด ของที่จำหน่ายก็จะจำกัดปริมาณ หากในวันนั้นขายของหมดแล้ว ก็ให้ปิดร้านได้เลย เมื่อปริมาณงานน้อยลง พวกเขาก็จะรับมือไหว ถึงเวลานั้น เกรงว่าอาจไม่ต้องรบกวนคนจากร้านชุนหมั่นเลยก็ว่าได้”
ผู้จัดการวั่นตกใจตะลึง “ปัจจุบัน ร้านเซียงหยิงซิ่วมีชื่อเสียงลือนาม เป็นที่รู้จักไปทั่ว สินค้าประจำร้านก็มีชื่อเสียงมากกว่าร้านเทียนเซียงร้านเก่าแก่ของเมืองหลวงเสียอีก กลุ่มคนชนชั้นสูงไม่ว่าจะคนในเมืองหลวงหรือจากที่อื่น ต่างก็ตั้งใจเข้ามาจับจ่ายที่ร้านในจำนวนไม่น้อย หากเหนียงเหนียงทำเช่นนี้ คงเสียดายยิ่งนัก!”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “งั้นข้าจะพูดความจริงกับผู้จัดการวั่นก็แล้วกัน ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับหงเยียน ข้านั้นไม่มีกะจิตกะใจทำสิ่งใดอีกแล้ว แม้ว่าจะมีแผนการเกี่ยวกับการค้าขายอย่างไร ตอนนี้ข้าก็ทำได้เพียงวางเรื่องนั้นไว้ก่อน แม้ว่าร้านค้าร้านนี้เป็นของข้า แต่คนที่ดูแลมาโดยตลอดคือหงเยียน ข้าเพียงแต่ออกความคิดเห็นก็เท่านั้น คนที่ลงมือทำจริงๆ คือหงเยียนต่างหาก เมื่อก่อน ข้าไม่เคยรู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ ข้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก หากไม่มีหงเยียน ร้านเซียงหยิงซิ่วก็อาจไม่มีวันนี้ หากนางกลับมาไม่ได้จริงๆ ข้าก็อาจจะปิดร้านเซียงหยิงซิ่วลง ก็เป็นไปได้”
ผู้จัดการวั่นเกลี้ยกล่อมอีก “เหนียงเหนียงอย่าได้ใจร้อนไปเลยนะขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “อวี๋โป๋หยา[1]ยอมทุ่มกู่ฉินเพื่อจงจื่อ[2] และไม่มีความสุขตลอดชีวิต แต่ข้าเพียงแค่ปิดร้านก็เท่านั้น”
ผู้จัดการวั่นยังคงเกลี้ยกล่อม “แต่ก็ไม่ต้องถึงกับจำหน่ายจำนวนจำกัดหรอกกระมัง การทำมาค้าขาย ก็ไม่ต่างจากการเลี้ยงเด็กหนึ่งคน ชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่ จู่ๆ ก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่เพียงแต่เสียเลือดเนื้อไปโดยเปล่าไม่พอ อีกทั้งยังน่าเสียดายอีกด้วยนะขอรับ!”
ชูซย่าเห็นเขาพยายามเกลี้ยกล่อมเหนียงเหนียงว่าอย่าทิ้งร้านเซียงหยิงซิ่ว ก็พลันรู้สึกว่ามันแปลก ถ้าไม่บอก ก็อาจคิดว่าผู้จัดการวั่นเป็นคนของร้านเซียงหยิงซิ่วเสียอีก นี่พยายามมากเกินไปหรือไม่
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าผู้จัดการวั่นเป็นห่วง แต่ก็ตอบกลับไปเพียง “เรื่องจำหน่ายในจำนวนจำกัด ข้าได้คิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วล่ะ สินค้าที่ดีอยู่ที่คุณภาพสูง หาใช่จำนวนไม่ อีกอย่าง ข้าก็มิใช่คนสูงส่งไม่สนใจเงิน เพียงแต่ว่า ส่วนประกอบในเครื่องหอม ครีมต่างๆ ของร้าน ข้าผลิตเองกับมือ หากว่าลูกค้าทุกคนมาซื้อสินค้าของข้า เพราะเรื่องของจำนวน ไม่สนว่าแตกต่างจากร้านอื่นอย่างไร เมินเฉยต่อคุณภาพแล้วนั้น ความคึกคักของร้านเซียงหยิงซิ่ว ก็จะเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบเท่านั้น หาใช่ระยะยาวไม่ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่อยากได้เช่นเดียวกัน” เงียบไปแว๊บหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “ส่วนการปิดร้าน หากไม่ถึงที่สุดแล้ว ข้าเองก็ไม่อยาก และก็คงไม่ปิดกิจการโดยไร้การไตร่ตรองเป็นแน่”
ผู้จัดการวั่นได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกโล่งอกไปที หากร้านเซียงหยิงซิ่วปิดร้านจริงๆ ร้านชุนหมั่นก็คงดำเนินกิจการต่อไปได้ยาก…แล้วงานของตนก็อาจรักษาไว้ไม่อยู่
เมื่อคิดตามเช่นนั้น ผู้จัดการวั่นก็ถกแขนเสื้อขึ้น พูดต่ออีกสองประโยค พอเห็นว่าทั้งสองคนจากไปแล้ว ตัวเขาก็เดินกลับเข้าร้านชุนหมั่นทันที
บริเวณชั้นหนึ่ง มีลูกค้ากำลังเลือกซื้อของอยู่
แม้ว่าร้านชุนหมั่นเป็นร้านค้าเปิดใหม่ แต่สินค้าที่จำหน่ายส่วนมาก เป็นสินค้าจากเมืองอื่น แล้วคนเมืองเยี่ยจิงก็ชื่นชอบในสินค้านอกอยู่แล้ว เพราะจันทราของเมืองอื่นก็มีรูปร่างทรงกลมเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้กิจการจึงดำเนินไปได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสินค้าประเภทของแห้งและเครื่องหอม รวมถึงพรม เพชรพลอยและไพลินจากเมืองแปลกๆ จะเป็นที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษ
กลางวันแดดจ้าเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีลูกค้าหนาแน่น
ผู้จัดการวั่นเดินทะลุห้องโถงขึ้นไปยังชั้นสอง ด้วยการย่ำเท้าเสียงดังตึ่งตั่ง
ชั้นสอง ถูกออกแบบไว้อย่างหรูหรา ข้างๆ ขอบรั้วไม้หงมู่ มีเตียงหลัวฮั่นรองด้วยฟูกผ้าหนึ่งผืน บนเตียง มีโต๊ะน้ำชาวางอยู่
มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอิงหมอนใบใหญ่อยู่บนเตียงหลัวฮั่น มือหนึ่งยกกาน้ำชาทำจากหยก อีกมือหนึ่งถือหนังสือม้วนไว้หนึ่งม้วน เดี๋ยวยกน้ำชาดื่ม เดี๋ยวอ่านหนังสือ แทบไม่สนใจกิจการของร้านค้าที่อยู่ด้านล่าแม้แต่น้อย ท่าทีที่แสดงออกนั้น ประหนึ่งว่าร้านค้าร้านนี้ เป็นเพียงสถานที่ที่พักผ่อนหาความสนุกเท่านั้น
ด้านข้างกำแพงมีหน้าต่างบานใหญ่สลักลวดลายดอกไห่ถัง ซึ่งถูกเปิดออกกว้างโดยมีไม้ค้ำไว้ หากยืนมองจากตรงหน้าต่าง จะทำให้เห็นร้านเซียงหยิงซิ่วได้อย่างชัดเจน
ผู้จัดการวั่นรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับร้านตรงข้ามให้เขาฟังหนึ่งรอบ เฟิ่งจิ่วหลังหยุดอ่านหนังสือตรงหน้า พลางม้วนหนังสือเก็บและวางบนโต๊ะน้ำชา เอ่ยขึ้นว่า “จำหน่ายจำนวนจำกัด ช่างมีหัวการค้าจริงเชียว”
“หา” ผู้จัดการวั่นงงงวยอ้าปากค้าง “การค้าขายต้องการเพียงเข้าและออกมิใช่หรือ ขายได้มากถึงจะได้กำไร หากแต่เก็บตุนไว้ไม่ยอมขาย ค้าขายได้ แต่ไม่ยอมทำ นี่มันฆ่าตัวตายชัดๆ”
เฟิ่งจิ่วหลังหัวเราะเบาๆ “ปัจจุบันร้านเซียงหยิงซิ่วกำลังเป็นที่รู้จัก ในแต่ละวัน ก็มีลูกค้าเข้าร้านจนประตูแทบพัง ส่วนพวกเขากลับต้องเผชิญหน้าบนทางแยก ที่ต้องทำการเลือก”
“เลือก”
เฟิ่งจิ่วหลังหันหลังชำเหลืองมองด้านนอกหนึ่งที “ร้านที่แน่นไปด้วยลูกค้าทุกวัน มันจะเป็นเช่นนั้นได้นานแค่ไหนกันเชียว สินค้าของร้านเซียงหยิงซิ่วถึงจะดีแค่ไหน แต่มันถูกขายออกไปไม่เคยขาด เมื่อลูกค้าได้ของมาอย่างง่ายดาย ก็จะไม่รู้สึกถึงความพิเศษอีก เมืองเยี่ยจิงอันอยู่ใต้การปกครองโดยโอรสแห่งสวรรค์ หาใช่เมืองเล็กเมืองน้อยไม่ ส่วนสายตาของประชาชนก็ช่างเลือกยิ่งกว่า ทั้งอยากได้ของดีและพิเศษ เป็นสิ่งที่คนส่วนมากคิดเหมือนกัน โดยทางที่อยู่ข้างหน้าร้านเซียงหยิงซิ่วก็มีเพียงสองทางเท่านั้น ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้ ค้าขายเอากำไร ไม่ปฏิเสธลูกค้าแม้คนเดียว หาเงินเข้ากระเป๋าได้มากพอแล้วค่อยว่ากันอีกที ถ้าอย่างนั้น สินค้าของร้านเซียงหยิงซิ่วก็จะกลายเป็นสินค้าเกลื่อนตลาดทั่วไป หรือไม่ ก็ยอมอดทน ค่อยเป็นค่อยไป ประคองชื่อเสียงให้คงที่ จำหน่ายแต่สินค้าชั้นดี หากำไรน้อย ถ้าอย่างนี้ ก็จะทำให้ชื่อเสียงของร้านเซียงหยิงซิ่วสูงขึ้นอีกหลายระดับ ซึ่งข้อนี้ ข้าว่านางก็คงคำนึงถึงแล้ว และเห็นได้ชัดเลยว่า นางเลือกอย่างหลัง”
ผู้จัดการวั่นเข้าใจทันที ก็พยักหน้าหงึกๆ
หลังเดินออกจากร้านเซียงหยิงซิ่ว ทั้งสองคนก็ขึ้นรถกลับไปยังเป่ยเฉิง
…………………………………………………………………………………………………
[1] อวี๋โป๋หยา คือนักดีดกู่ฉิน สมัยราชวงศ์ชุนชิว
[2] จงจื่อ คือคนตัดต้นไม้ เป็นคนที่อวี๋โป๋หยานับว่าเป็นเพื่อนแท้ เข้าใจในเสียงเพลงของตน วันที่รู้ข่าวว่าจงจื่อเสียชีวิต อวี๋โป๋หยาทุ่มกู่ฉินของตนลงพื้นจนหัก อันมีความหมายว่า เงินทองนั้นหาง่าย แต่เพื่อนแท้นั้นหายาก