ภายในเรือนหานปี้ซาน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังถามฉินโส่วเยวด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวดว่า “เจ้าบอกว่าครั้งนี้โหย่วอี๋กลับมาพร้อมกับเจียซ่านด้วยอย่างนั้นหรือ”
โหย่วอี๋คืออีกชื่อหนึ่งของเฉิงสือคุณชายใหญ่ของจวนรอง
ฉินโส่วเยวกล่าว “เห็นบอกว่าเป็นท่านผู้นำตระกูลจวนรองเขียนจดหมายไปแจ้ง ให้เขากลับมาเตรียมตัวสำหรับการสอบขุนนางช่วงวสันตฤดูของปีหน้าขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแสยะยิ้มเย็น พลางกล่าว “ข้ารอคอยให้จวนรองได้มีจิ้นซื่อสักคน ถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะได้รับรู้รสชาติความเจ็บปวดที่ข้าเคยลิ้มรสในปีนั้น”
ฉินโส่วเยวก้มศีรษะลงเล็กน้อย ไม่กล้าตอบอะไร
แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้คาดหวังให้ฉินโส่วเยวกล่าวคำพูดอะไรที่เหมือนกับนางออกมา ถามขึ้นว่า “เจียซ่านจะมาถึงบ้านเมื่อใด”
ฉินโส่วเยวเงยหน้าขึ้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “อย่างมากสุดก็อีกสี่ถึงห้าวันขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า นัยน์ตามีแววยินดีอยู่หลายส่วน เอ่ยขึ้นว่า “แม่ของเขาไม่อยู่บ้าน ทางด้านเรือนตัวจย้าจึงต้องรบกวนเจ้าช่วยดูให้มากสักหน่อยแล้ว”
เรือนตัวจย้าเป็นสถานที่พักอาศัยของเฉิงสวี่ ว่างมาเกือบจะสองปีแล้ว วันนี้เขากลับมาจากจิงเฉิง ถึงแม้ที่นั่นจะมีคนไปทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ แต่ก็ขาดบรรยากาศของการมีคนพักอยู่ไปไม่น้อย ตามความหมายของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็คือ นอกจากตกแต่งใหม่ตามแบบที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้แล้ว ยังต้องให้พวกบ่าวรับใช้ย้ายเข้าไปอยู่ก่อนด้วย
ฉินโส่วเยวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวหนักไปแล้ว เพียงแต่ว่านายท่านสี่บอกว่า ให้คุณชายใหญ่เข้าไปอยู่ที่เจ่าหยวน บอกว่าที่นั่นเงียบสงบ เหมาะสำหรับให้คุณชายใหญ่ได้อ่านตำราพอดีขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะลึงงัน จากนั้นกล่าวยิ้มๆ อย่างโล่งใจว่า “คิดไม่ถึงว่าเขาก็สนใจเรื่องพวกนี้ด้วย เห็นได้ชัดว่าต้องการสอนหนังสือเจียซ่านจริงๆ” กล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง “ข้าอยากให้เขากับเจียซ่านใกล้ชิดกันมากขึ้นมาโดยตลอด แต่เขาก็เย็นชานิ่งเฉยตลอดมา คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับเสมือนกับว่าอยู่ๆ ก็คิดได้แล้วอย่างไรอย่างนั้น แต่จะดีจะร้ายก็ทำให้ข้าเหมือนได้ยกก้อนหินออกจากอกเสียที”
ฉินโส่วเยวกล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่เป็นคนที่ข้างนอกดูเย็นชาแต่ข้างในอบอุ่นนัก มิใช่ว่าเขาไม่สนใจคุณชายใหญ่ เพียงแต่ว่าไม่ใช่คนที่ชอบถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเหมือนผู้อื่นก็เท่านั้นขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “เรื่องให้เจียซ่านย้ายไปอยู่ที่เจ่าหยวนนั้น เป็นจื่ออันหรือจื่อผิงที่เป็นคนมาบอกเจ้าหรือ เช่นนั้นเรื่องทางด้านเจ่าหยวนข้าไม่ยุ่งแล้วก็แล้วกัน รบกวนพวกเจ้าช่วยใส่ใจด้วยแล้ว”
“ท่านวางใจเถิดขอรับ!” ฉินโส่วเยวกล่าว “เป็นจื่อผิงที่มาบอกข้า แม้นจะบอกว่าให้คุณชายพักอยู่ที่เจ่าหยวน แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้คุณชายใหญ่อยู่ที่เจ่าหยวนเพียงลำพัง ข้าเองก็จะตามไปด้วย หากทางด้านนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามีเรื่องอะไร ก็ให้คนนำความไปบอกข้าได้ จื่อผิงจะรั้งอยู่ที่นี่ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตกตะลึงไปอีกครั้งหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ก็เป็นการจัดเตรียมของเจ้าสี่หรือ”
ฉินโส่วเยวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้วขอรับ! นายท่านสี่บอกว่าถือโอกาสนี้ดูว่าจะเป็นจื่ออันหรือว่าจื่อผิงที่เหมาะสมจะทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลฉินมากกว่า”
“เจ้าเด็กคนนี้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “เลอะเลือนแล้วกระมัง ต่อไปเป็นเจียซ่านที่จะมาเป็นหัวหน้าตระกูล พ่อบ้านใหญ่ของตระกูลฉิน ต้องเข้ากันได้กับเจียซ่านถึงจะถูก ในเมื่อเขามีใจจะให้จื่อผิงหรือไม่ก็จื่ออันรั้งอยู่ที่บ้าน ก็ควรจะจัดให้พวกเขาไปรับใช้ที่เจ่าหยวนถึงจะถูก เหตุใดถึงกลับกัน ส่งเจ้าไปเจ่าหยวน แล้วให้จื่อผิงรั้งอยู่ที่นี่เล่า”
ฉินโส่วเยวกล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่อาจจะยังเป็นกังวลในความสามารถของจื่อผิงหรือไม่ก็ของจื่ออันอยู่ ก็เลยยังไม่ทันคิดถึงเรื่องที่ว่าจะเข้ากันได้กับคุณชายใหญ่หรือไม่ขอรับ”
“ก็จริง!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “ตระกูลฉินจงรักภักดีและทำเพื่อจวนหลักของพวกข้ามาโดยตลอด ข้าจึงไม่กังวลเรื่องที่ว่าจื่อผิงหรือจื่ออันกับเจียซ่านของพวกข้าจะเข้ากันได้หรือไม่ ใช้โอกาสระหว่างที่คนแก่อย่างพวกเราสองคนยังมีชีวิตอยู่นี้ให้พวกเขาทั้งสองได้ฝึกฝนไปก่อนก็ดีเหมือนกัน”
ฉินโส่วเยวรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูคำพูดของท่านสิขอรับ บ่าวจะเทียบกับฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร…”
“พอแล้วๆ เจ้าก็อย่ามาพูดถ่อมตัวต่อหน้าข้าเลย” ไม่รอให้เขาได้กล่าวจบ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ตัดบทคำพูดของเขาเสียก่อน เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าเองก็อายุหกสิบกว่าแล้ว มีเรื่องอะไรก็มอบหมายให้คนใต้บังคับบัญชาไปทำให้ก็พอ ตัวเองต้องพักผ่อนให้มากถึงจะถูก”
“ขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ามากขอรับ!” ฉินโส่วเยวกล่าวขอบคุณอย่างถ่อมตัวครู่หนึ่ง ถึงได้กล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว แล้วไปจัดการเรื่องไปเจ่าหยวน
โจวเสาจิ่นได้ข่าวแล้วก็เบิกบานด้วยความยินดีอย่างห้ามไม่อยู่
นางรู้อยู่แล้วว่า เมื่อท่านน้าฉือรู้ว่านางไม่ชอบเฉิงสวี่ ย่อมไม่มีทางที่จะไม่ทำอะไรเลยสักนิดอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การส่งเฉิงสวี่ไปอยู่เจ่าหยวน ไกลจากที่นี่ไม่น้อย…ช่างดียิ่งนัก!
นางวางพู่กันวาดภาพในมือลง ตั้งศอกขึ้นมือเท้าคางนั่งใจลอยขึ้นมา
เมื่อไรท่านน้าฉือจะกลับมานะ
ตกลงเขาไปทำอะไรกันแน่
ไม่รู้ว่ามีอันตรายหรือไม่
นางมีเรื่องมากมายอยากคุยกับเขา
ไม่ว่าเขาจะเดินทางโดยเรือหรือม้าล้วนมีอันตราย เมื่อกลับมาแล้วนางควรจะเกลี้ยกล่อมเขาให้ต่อไปเดินทางให้น้อยลงดีหรือไม่นะ…
ขณะที่โจวเสาจิ่นคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ภาพของเจ้าภาพนี้คือ…ภาพองค์กวนอิม เจ้าเตรียมจะปักภาพองค์กวนอิมหรือ”
โดยไม่ทันได้ตั้งตัว โจวเสาจิ่นจึงสะดุ้งตกใจไปครั้งใหญ่
นางรีบยืนขึ้น ร้องขึ้นเสียงหนึ่งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า กดไหล่ของนางเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าทำเจ้าตกใจแล้วใช่หรือไม่ ข้าเห็นเจ้านั่งใจลอยอยู่ในนี้เพียงลำพัง เรียกเจ้าสองครั้งแล้วก็ยังไม่ตอบ ก็เลยถามสักหน่อย…มีเรื่องอะไรต้องครุ่นคิดหรือ”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงอย่างอธิบายไม่ได้ ในใจมีเรื่องมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าปากกลับเอ่ยว่า “ข้าเตรียมจะปักภาพองค์กวนอิมสักรูป ไม่รู้ว่าวาดได้ดีหรือไม่เจ้าค่ะ…”
ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้!
“วาดได้ดี! วาดได้ดีมาก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางหยิบกระดาษร่างขึ้นมาดูอย่างละเอียด “ใบหน้าอิ่มเต็ม สีหน้าท่าทางสุขุมเยือกเย็นมีเมตตา ลายเส้นละมุนละไม…ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะวาดรูปเป็น และยังวาดได้ดีถึงเพียงนี้อีกด้วย”
โจวเสาจิ่นขัดเขิน กล่าวเสียงเบาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าชมเกินไปแล้ว! ข้าก็เพียงลองวาดเล่นๆ เท่านั้นเจ้าค่ะ”
“วาดได้ดีก็คือดี ไม่ดีก็คือไม่ดี” ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางกระดาษร่างลง พลางกล่าวอย่างรักใคร่ “บางครั้งเจ้าก็ขาดความมั่นใจในตัวเองเกินไป เจ้าต้องเชื่อมั่นในสายตาของข้าถึงจะถูก”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกหลังตรงผึ่งผายขึ้นหลายส่วน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามขึ้นว่า “ได้ยินว่าหลายวันมานี้เจ้าไปคารวะยามเช้ายายของเจ้าแต่เช้าตรู่ จากนั้นก็ไปดูดอกไม้ที่เรือนดอกไม้แล้วค่อยเร่งกลับมาสวดพระธรรมเป็นเพื่อนข้าหรือ”
โจวเสาจิ่นกล่าวอธิบายว่า “หลายวันมานี้ดูเหมือนว่าอารมณ์ของท่านยายจะไม่ค่อยดีนัก อีกอย่างดอกกุหลาบพันปีที่ข้าปลูกเอาไว้หลายกระถางนั้นก็ใกล้จะบานแล้วเจ้าค่ะ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่าในลานบ้านของเจ้าก็มีต้นดอกทับทิมปลูกเอาไว้หลายต้นหรอกหรือ หากเจ้าชื่นชอบ ข้าจะให้คนมาสร้างเรือนเพาะชำให้เจ้าในลานสักหลังหนึ่ง แล้วย้ายดอกไม้พวกนั้นของเจ้ามาที่นี่เสีย” จากนั้นไม่รอให้โจวเสาจิ่นได้กล่าวอะไร ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “เหตุใดยายของเจ้าถึงอารมณ์ไม่ค่อยดี มิใช่ว่าอี้เกอเอ๋อร์ลุกจากเตียงมาเดินได้แล้วหรือ หรือว่าจะเป็นเพราะรู้สึกเสียหน้าที่อี้เกอเอ๋อร์ถูกสาวใช้ของน้าฉือของเจ้าตี?”
โจวเสาจิ่นได้ยินเช่นนั้นแล้วไหนเลยจะยังมีกะจิตกะใจพูดถึงดอกไม้พวกนั้นอีก รีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าดูแล้วท่านยายไม่ได้ไม่มีความสุขเพราะเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าท่านลุงรองหยวนจะมีปัญหาอะไรบางอย่างเจ้าค่ะ!”
ชาติก่อนนางไม่ได้สนใจ จึงไม่รู้ว่าตกลงเฉิงหยวนมีปัญหาอะไร และแก้ไขปัญหานั้นอย่างไรกันแน่ ชาตินี้นางจึงช่วยแสดงความเห็นอะไรไม่ได้เลย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่นับเป็นปัญหาอะไร ประเดี๋ยวข้าจะไปเรือนเจียซู่เป็นเพื่อนเจ้าครั้งหนึ่ง จะได้ถามด้วยว่างานแต่งของเก้าเกอเอ๋อร์จัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว เมื่อเก้าเกอเอ๋อร์แต่งงานแล้ว เกรงว่าอี้เกอเอ๋อร์ก็คงจะต้องอยู่คนเดียวแล้ว จะรอให้ถึงตอนที่อี้เกอเอ๋อร์แต่งงานแล้วค่อยตกแต่งเรือนใหม่ หรือว่าจะใช้โอกาสที่เก้าเกอเอ๋อร์แต่งงานนี้จัดการเรื่องที่อยู่ของทั้งสองพี่น้องให้เรียบร้อยไปเลย ข้าว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี จะไปคุยเล่นกับยายของเจ้าสักหน่อย”
โจวเสาจิ่นยินดียิ่งนัก
นางเก็บภาพวาดและพู่กัน จากนั้นไปเรือนเจียซู่พร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว
พอฮูหยินผู้เฒ่ากวนทราบจุดประสงค์การมาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว รู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเจ้าค่ะ ท่านก็ทราบ หลานหยวนของท่านเป็นถงจิ้นซื่อ ปีนี้เขามีหัวหน้าคนใหม่ หัวหน้าผู้นี้ให้ความสำคัญกับสถานะยิ่งนัก บางครั้งก็พูดจาไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร เก้าเกอเอ๋อร์ใกล้จะแต่งงานแล้ว เขาให้ผู้ช่วยกลับมาดูที่บ้านว่ามีอะไรพอให้เขาช่วยได้บ้างเป็นการเฉพาะ ผู้ช่วยคนนั้นเผลอเปรยให้หลานเหมี่ยนของท่านฟังโดยไม่ตั้งใจ หลานเหมี่ยนของท่านเป็นกังวลเล็กน้อย ก็เลยมาบอกข้า ข้าบอกพวกเขาไปแล้ว เป็นบุรุษทำงานอยู่ข้างนอก จะมีแต่ความราบรื่นได้ที่ไหนกัน แม้แต่คำระคายหูเพียงประโยคเดียวก็ฟังไม่ได้แล้วหรือ หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขายังรับไม่ได้ เช่นนั้นก็ลาออกจากราชการเสียแต่เนิ่นๆ ไปเลยก็แล้วกัน”
ที่ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านยายฟังนั้น แปดถึงเก้าในสิบส่วนก็เพื่อให้ท่านยายช่วยพูดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้สักประโยคหนึ่งกระมัง
โจวเสาจิ่นคาดเดา ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ข้าจะไปพูดกับหลานจิงของเจ้าสักหน่อย ดูว่าหัวหน้าคนนี้ของเขามีเรื่องอะไรกันแน่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังคิดจะถามเรื่องเรือนหลังใหม่ของเฉิงเก้า ซื่อเอ๋อร์ก็วิ่งเข้ามาเสียก่อน แต่พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัว ก็รีบลดมือลงไปยืนอยู่ข้างๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงยิ้มออกมา ให้โจวเสาจิ่นประคองนาง กล่าวขึ้นว่า “พวกเราไปดูสถานที่ที่เจ้าปลูกดอกไม้กันหน่อยดีหรือไม่ รู้ว่าเจ้าปลูกดอกไม้ได้ดีมาตั้งนานแล้ว วันนี้ข้าจะได้ไปดูเปิดหูเปิดตาสักหน่อยแล้ว!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหน้าแดงก่ำ กล่าวขึ้นว่า “สะใภ้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนนอกกับข้าเช่นนี้! ซื่อเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงได้ดูร้อนรนเช่นนี้”
ซื่อเอ๋อร์ทราบว่าได้สร้างปัญหาเอาไว้แล้ว ตกใจจนหน้าซีดเผือด เอ่ยขึ้นอย่างสั่นกลัวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อครู่ข้าได้พบกับบ่าวสูงวัยของจวนห้า ได้ยินว่าสะใภ้ใหญ่สือของจวนรองเป็นแม่สื่อทาบทามบุตรสาวคนโตของเจ้าเมืองอู๋ให้กับคุณชายใหญ่นั่วของจวนห้าเจ้าค่ะ”
บุตรสาวคนโตของเจ้าเมืองอู๋…นั่นมิใช่ว่าจะเป็นอู๋เป่าจางหรอกหรือ
โจวเสาจิ่นตกอยู่ในอาการตะลึงพรึงเพริด
ชาติก่อนนางถูกทาบทามให้เฉิงลู่นี่นา!
นางหันไปมองผู้อาวุโสทั้งสองท่านอย่างอดไม่ได้
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวนต่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แสดงว่าคิดไม่ถึงเช่นกัน เป็นหวังมามาคนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่ได้สติกลับมาก่อน กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณชายใหญ่ของจวนห้าจะหมั้นหมายแล้ว นี่นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่ง!”
จริงด้วย อย่างไรก็วางใจได้มากกว่าคนที่เฉิงเวิ่นหรือฮูหยินใหญ่เวิ่นต้องการไปสู่ขอ
อย่างไรก็ตาม อู๋เป่าจางจะยอมตกลงหรือ
นางไม่ชอบอู๋เป่าจางจริงๆ ควรจะคัดค้านหรือไม่นะ
โจวเสาจิ่นกังวลใจเล็กน้อย
ภายในเรือนหลิวทิงของเฉิงสือ หงซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่อี๋ก็มีอาการกังวลใจเล็กน้อยเช่นเดียวกันกับโจวเสาจิ่น นางถามเจิ้งซื่อสะใภ้ใหญ่สือว่า “นี่จะเหมาะสมหรือ จะดีจะร้ายคุณหนูใหญ่อู๋ผู้นั้นก็เป็นบุตรสาวของจวนท่านเจ้าเมือง นั่วเกอเอ๋อร์ยังไม่มียศตำแหน่งอะไรแม้สักอย่าง อีกทั้งนิสัยเกียจคร้าน เทียวไปเทียวมาไปวันๆ เท่านั้น…”
“ท่านแม่ ท่านอย่ากังวลใจไปเลยเจ้าค่ะ” สะใภ้ใหญ่สือยิ้มพลางจับมือของแม่สามีเอาไว้ นั่งเคียงกันลงบนตั่งหลัวฮั่น “เรื่องนี้ข้าเองก็ได้สอบถามเป่าจางแล้ว นางตกลงเจ้าค่ะ ถึงแม้นางจะเป็นบุตรสาวคนโตของท่านเจ้าเมือง ทว่ามารดาก็เสียไปตั้งแต่ยังเป็นทารก ชีวิตในบ้านจึงไม่ค่อยสบายนัก คนที่ฮูหยินอู๋ผู้นั้นทาบทามให้นางหากมิใช่พ่อหม้ายอายุมากก็เป็นคนเสเพลเจ้าสำราญชอบกินดื่มทั้งนั้น นานๆ ครั้งถึงจะเป็นคนมีการศึกษาสักสองสามคน แต่ทั้งหมดก็ล้วนแต่เพราะสนใจในสถานะของเป่าจาง หวังจะได้ประโยชน์จากตระกูลอู๋ทั้งนั้น แม้นั่วเกอเอ๋อร์จะไม่ได้มีความรับผิดชอบเหมือนผู้อื่น แต่ก็เป็นคนจิตใจดี นิสัยอ่อนโยน กตัญญูรู้ความ และยังมีตระกูลเฉิงคอยปกป้อง เป่าจางได้แต่งให้เขา พูดกันอย่างถี่ถ้วนแล้วยังนับว่าเป็นวาสนาดีของเป่าจางด้วยซ้ำเจ้าค่ะ!”