รวยชั่วข้ามคืน?! – ตอนที่ 666 ตัดหางแลกกับชีวิต

บทที่ 666 ตัดหางแลกกับชีวิต
ชายขาด้วนพูดยังไม่ทันขาดคำ ลำแสงกระบี่ก็พุ่งขึ้น เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว เขาก็ร้องเสียงดังโหยหวน ระหว่างคิ้วถูกปลายกระบี่แทงทะลุเข้าไป จากนั้นก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังลั่น ชายขาด้วนก็เสียชีวิตลงทันที
“ชื่อของข้า ต่อให้เจ้ารู้จักก็ไม่มีโอกาสได้แก้แค้นแล้ว” หลินเส้าโสสีหน้าเยือกเย็น ไม่ได้หันกลับไปมองชายขาด้วนอีกแล้ว แต่กลับใช้กระบี่ฟาดออกไป คราวนี้ไวอย่างพายุโหมกระหน่ำ ถึงแม้ว่าชายคนใบ้และชายแขนด้วนจะระวังตัวอยู่ แต่ก็ยังหลบไม่พ้นจากการจู่โจมครั้งนี้
คอหอยของคนทั้งสองถูกตัดขาดพร้อมกันทั้งคู่ ต่างล้มลงไปกับพื้น เสียชีวิตด้วยการถูกสังหารเช่นนี้
ฉินหลั่งแอบสะท้านในใจ เมื่อสมัยที่อาหลินท่องทั่วยุทธภพนั้น มันคงจะมีความสง่างามเพียงใด อาหลินในปัจจุบัน คล่องแคล่วดั่งมังกรแหวกไหว้กลางเวหา ความงดงามเทียบได้เพียงแค่หกส่วนของสมัยนั้นเท่านั้น ร่างกายของเขายังไม่ฟื้นฟูความแข็งแรงเต็มที่ ก็ยังมีความร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้แล้ว มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
เวลาแค่พริบตาเดียวห้าพิการแห่งแก๊งแถ่จ่างก็ล้มลงระนาว ฉิวฟาชุ่ยหนังตากระตุกอย่างแรง สีหน้าเยือกเย็น ไม่รู้คิดกำลังอะไรอยู่ ไม่ส่งเสียงพูดจาใดใด
ชายชุดดำที่เป็นลูกน้องหลายสิบคนนั้น ในมือกำอาวุธไว้แน่น แต่ทุกคนล้วนรู้สึกว่าการเตรียมตัวในครั้งนี้ยังไม่เพียงพอเท่าที่ควร ประมาทฝ่ายตรงข้ามเกินไป ในใจต่างก็คิดกังวลอยู่ไม่น้อย
ถ้าหากสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายให้เหมือนเดิมอย่างเต็มที่แล้ว สงสัยหลินเส้าโสคงไม่ต้องออกแรงชักกระบี่ แค่พลังจากลำแสงของกระบี่ก็สามารถสังหารคนได้เช่นกัน
“ฮึ่ม ฮึ่ม ข้ามันตามัวฝ้าฟาง เมื่อกี้ยังไม่ทันเห็นว่าใครเป็นคนลงมือ ที่แท้ก็คือ ท่านราชาหนานมาออกศึกด้วยตัวเอง ข้าไม่ควรที่จะเสียมารยาทเกินไปเลยนะ”
ตอนนี้เสียงเยือกเย็นดังแว่วขึ้นมา จากนั้นประตูรถก็เปิดออก ฉิวฟาชุ่ยเดินลงมาจากรถอย่างช้าช้า ดูเหมือนเป็นหญิงตระกูลสูงศักดิ์ แต่ว่าหน้าตาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เป็นหญิงชราที่มีใบหน้าเหี้ยมเกรียมมาก
รอยยิ้มของเธอ มันดูช่างอึมครึมเหลือเกิน ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกน่าขนลุกขนพอง
“ราชาหนานแห่งสำนักหมิง เลื่องลือไปทั่วสารทิศ สมแล้วที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร”
ราชาหนานกับเธอเมื่อรู้จักกันครั้งแรก ก็เป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นเธอยังเป็นสาวงามแรกรุ่น ส่วนราชาหนานก็มีรูปงามสง่า แต่ตอนนี้ หน้าตาของราชาหนานถึงแม้จะมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ร่างกายก็ยังแข็งแกร่ง กาลเวลาช่างโหดร้ายนัก ฉิวฟาชุ่ยกลับชราลงไปมากแล้ว
ดังนั้น เธอเพ่งตาแข็งจ้องมองอยู่นาน เพิ่งจะดูออกว่าเป็นฝีมือของหลินเส้าโส
ราชาหนาน ในสายตาของฉิวฟาชุ่ยนั้น เป็นคนโด่งดังในยุทธภพ ตอนนี้เธอลงมาจากรถ ก็ยังวางท่าหยิ่งยโสโอหัง
“ข้ากับท่านเคยมีวาสนาได้พบหน้ากันหลายครั้ง ถึงจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันแต่ทำไมตอนนี้ท่านถึงได้ปกป้องฉินหลั่งเพียงนี้ ลงมือสังหารไม่ยั้ง ถึงกับฆ่าลูกน้องของแก๊งแถ่จ่างได้มากเพียงนี้ เขากับท่านมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่ สถานภาพระหว่างพวกท่านแตกต่างกันมาก ทำไมถึงอยู่พวกเดียวกันได้เล่า?”
ฉิวฟาชุ่ยสายตาเจ้าเล่ห์ ใบหน้ายิ้มอย่างมีเลศนัย แน่นอนที่เขาไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างฉินหลั่งกับหลินเส้าโสนั่น สำหรับฉินหลั่งนั้น เธอดูถูกเหยียดหยามมาก เพราะว่าลักษณะท่าทางของฉินหลั่งค่อนข้างเฉื่อยชา การแต่งกายก็ธรรมดามาก เต็มไปด้วยกลิ่นอายของชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
“ท่านราชาหนาน ขอคำตอบให้กับข้าด้วย ข้าจะได้เตรียมใจทำตัวให้ถูก ท่านเป็นประเภทคนเดินผ่านมาแล้วทนเห็นความไม่ยุติธรรมไม่ได้ หรือว่าแต่เดิมมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่แล้ว จึงไม่สนใจไม่ไยดีใครเลย?”
“ฮึ่มฮึ่ม ฉิวฟาชุ่ย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นตัวอะไร ข้าจึงต้องอธิบายให้เจ้าฟัง? จะสู้ก็สู้ ไม่ต้องพูดมาก!” สายตาอันคมคายของราชาหนาน มองไปยังฉิวฟาชุ่ยด้วยความเยือกเย็น
ฉิวฟาชุ่ยโกรธจนปากสั่น ในมือยังกำไม้เท้าที่ทำจากเหล็กไว้แน่น สูดหายใจเข้าออกอย่างแรง
หลินเส้าโสไหนเลยจะไปสนใจเธอ เอ่ยปากพูดว่า “เจ้าลงมือก่อนเลย ข้าจะยังไม่ชักกระบี่ ภายในสามท่ากระบวนเพลง หากท่านยังฆ่าข้าไม่ได้ ข้าค่อยตอบโต้ดีไหม?”
น้ำเสียงของหลินเส้าโสแฝงด้วยความดูถูกเหยียดหยามที่มีต่อฉิวฟาชุ่ยเช่นกัน
ฉิวฟาชุ่ยเป็นถึงหัวหน้าแก๊ง แต่ว่าหลินเส้าโสต่อให้เธอแค่สามท่ากระบวนเพลง แน่นอนว่าไม่เห็นวิทยายุทธของฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว
ฉิวฟาชุ่ยกำไม้เท้าไว้แน่นสักพักใหญ่ แล้วค่อยๆผ่อนคลาย “ท่านราชาหนาน เป็นลูกพี่ใหญ่ที่มีความสำคัญของสำนักหมิง แล้วยังเป็นเสาหลักของสำนักหมิง อีกด้วย วรยุทธนับเป็นที่สองในสำนักหมิง”
“ข้าฉิวฟาชุ่ยแก่แล้ว ไหนเลยจะกล้าประมือกับนักรบผู้กล้าอย่างท่านเล่า”
“ดีล่ะ!” ฉิวฟาชุ่ยตัดสินใจอย่างเด็ดขาด สีหน้ามืดคล้ำ “ข้าคืนนี้ได้พบปะกับราชาหนาน ถือว่าเป็นความโชคร้ายของข้า ข้ายอมแพ้แล้ว!”
ยังไม่ทันรอให้หลินเส้าโสตอบโต้ เสียงลมที่เกิดจากไม้เท้าที่ไวเหมือนสายฟ้าแลบ จากนั้นก็เห็นแขนข้างหนึ่งของฉิวฟาชุ่ยกระเด็นลอยขึ้นไปกลางอากาศ แขนที่หลุดออกไป ถูกฉิวฟาชุ่ยจัดการตัดด้วยตัวเองแล้ว
จากนั้นไม้เท้าก็หล่นลงพื้นเสียงดัง ฉิวฟาชุ่ยสีหน้าซีดเซียว กัดริมฝีปากไว้แน่น บนใบหน้าไม่มีเหงื่อหยด แต่ว่าหน้าตาฉิวฟาชุ่ยบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เพียงแต่ไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว
ฉิวฟาชุ่ยก็รู้ดีว่าหลินเส้าโสเป็นคนเช่นไร หากตัวเองไม่จัดการอะไรสักอย่าง สุดท้ายคนที่ตายคนต่อไปก็คงต้องเป็นตัวเองอย่างแน่นอน
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจเด็ดขาด ตัดแขนตัวเองทิ้ง เพื่อขอร้องหลินเส้าโสให้อภัย จากประสบการณ์ชีวิตในยุทธภพที่ผ่านมาของเธอนั้น ทำให้เธอรู้ว่าหลินเส้าโสเป็นคนที่ไม่ควรที่จะไปมีเรื่องด้วย ถ้าหากว่าทำให้หลินเส้าโสพิโรธแล้ว ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียว หลิงเส้าโสก็จะตามไปจนถึงที่สุด
การกระทำรูปแบบนี้เป็นเช่นเดียวกับสำนักหมิง สำนักหมิง ก็คือแหล่งเครื่องมือสังหารผู้คนที่ใหญ่โตมาก คนในยุทธภพเมื่อได้ยินชื่อก็ล้วนแต่หน้าถอดสี
การปรากฏตัวของหลินเส้าโสครั้งนี้ก็ยิ่งยืนยันคำร่ำลือนั้นเป็นความจริง
ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฉิวฟาชุ่ยไม่มีความสามารถ ไม่ใช่เพราะว่าแก๊งแถ่จ่างไม่เก่งกาจ ความสามารถของแก๊งแถ่จ่างยังไม่ได้แสดงออกอย่างเต็มที่ เพียงแต่หลินเส้าโสคนนี้ ชื่อเสียงเกรียงไกลมาก ฝีมือร้ายกาจมากจริงๆ
หลินเส้าโสสีหน้าค่อยดูเป็นมิตรขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องออกแรงลงมือกับฉิวฟาชุ่ย ยอมตัดแขนตัวเองทิ้งไป ก็นับว่ารู้จักไว้หน้ากันบ้าง
“เออ รู้จักยอมแพ้ก็ดีแล้ว เจ้ากลับไปไตร่ตรองสำนึกให้ดี ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าชั่วคราว แก๊งแถ่จ่างก็เป็นแก๊งที่มีประวัตินับพันปีมาแล้วเหมือนกัน ภายในแก๊งก็คงมียอดฝีมือไม่น้อย เจ้าอาศัยรุ่นบิดาหนุนหลังจึงได้ขึ้นเป็นหัวหน้า มันช่างน่าอับอายเสียจริง”
หลินเส้าโสกล่าวอย่างเย็นชา “ให้พวกที่มีวิชาศิลปะการต่อสู้ที่สูงส่งทั้งหลายในแก๊งแถ่จ่างออกมาให้หมด ข้าหลินเส้าโสพร้อมที่จะรับมือเสมอ”
“ภายในสามวัน ข้าหลินเส้าโสจะเข้าไปเยี่ยมท่านถึงแก๊งแถ่จ่าง แก๊งแถ่จ่างฟังให้ดีนะ ถึงเวลาก็เตรียมมาต้อนรับข้าอย่างดีก็แล้วกัน”
“เพื่อแสดงความนับถือต่อแก๊งแถ่จ่าง ข้าหลินเส้าโสเตรียมที่จะรับมือคนเดียวสู้กับพวกเจ้า 10 คน…….” หลินเส้าโสพูดพลางแสยะยิ้มที่มุมปาก
ฉิวฟาชุ่ยไม่กล้าส่งเสียงตอบโต้ พาลูกน้องหันหลังกลับขึ้นรถ เร่งรีบที่จากไปให้เร็วที่สุด ส่วนฉินหลั่งและหลินเส้าโสก็ได้เดินจากไปเช่นกัน
ค่ำคืนอันมืดมิด มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อาศัยความมืดในการกระทำสิ่งชั่วร้าย ในยามค่ำคืน ทุกอย่างคืนสู่สภาพเงียบสงบเหมือนเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงแต่รอยเปื้อนเลือดที่อยู่บนพื้นดิน คล้ายกับว่าคอยส่งเสียงบอกกล่าวเล่าเรื่องบางสิ่งบางอย่าง
ฉิวฟาชุ่ยระหว่างทางนั้น กัดริมฝีปากไว้แน่น รถนำขบวนและรถตามหลังได้นำเธอออกไปจากที่เกิดเหตุ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
แขนที่ขาดไปก็ได้รับการทำแผลเรียบร้อยแล้ว ความเจ็บปวดก็ค่อยๆลดลง แก๊งแถ่จ่างต่างก็มียาวิเศษสมานแผลที่เป็นผลิตภัณฑ์ของแก๊งตัวเอง เพียงแต่สู้ ยาในตำนานที่เลื่องลือของหยุนเซียนไม่ได้ แต่ว่าหากเทียบกับยาประเภทเดียวกันที่วางขายตามตลาดแล้วก็นับว่าดีกว่ามากทีเดียว
“คนเดียวสู้กับสิบคนเหรอ?” ฉิวฟาชุ่ยผมเผ้ารุงรัง สีหน้าโกรธจัด
“เขานับว่าเป็นตัวอะไรกัน ข้าเป็นหัวหน้าแก๊งทั้งคน? เขายังไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยเหรอ?”
“ทำร้ายหัวหน้าแก๊ง ก็มีโทษใหญ่มหันต์แล้ว ข้าใช้วิธีตัดหางเพื่อร้องขอชีวิต เขายังจะบุกมาบีบคั้นถึงแก๊งอีก ฮึ่ม คิดว่าในแก๊งแถ่จ่างข้าจะไม่มีใครสามารถจัดการเจ้าเหรอ?”
“พูดจาโอหังเยี่ยงนี้​ หนี้แค้นนี้​ จะปล่อยตามเลยได้ยังไงกัน!”
ทุกคนในขบวนรถทั้งหมดก็รู้สึกผิดหวังคอตกตามกัน สูญเสียกำลังไพร่พลไปไม่ว่า หัวหน้าแก๊งก็ยังใช้วิธีตัดหางเพื่อร้องขอชีวิต นี่เป็นความอัปยศอดสูของแก๊งแถ่จ่างในยุคปัจจุบัน หากลือสะพัดออกไปแล้วก็ต้องอับอายผู้คนไปทั่วหล้า

รวยชั่วข้ามคืน?!

รวยชั่วข้ามคืน?!

ในระยะเวลา7ปีนี้ ฉินหลั่งถูกคนอื่นเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยาม แต่ฉินหลั่งก็อดทนใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอดถ้าหากไม่ใช่ได้รับข้อความนั้น ฉินหลั่งคงจะลืมว่าตัวเองเป็นคนรวย7ปีมันเป็นระยะเวลาทดสอบที่ตระกูลให้กับฉินหลั่ง ตอนนี้ฉินหลั่งผ่านการทดสอบแล้ว ก็มีสิทธิ์ไปใช้ทรัพย์สินของตระกูลได้แล้วฉินหลั่งจะเลือกที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนต่อไปหรือจะเริ่มเปิดโหมดอวดรวยกันแน่!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset