รวยชั่วข้ามคืน?! – ตอนที่ 672 ปรมาจารย์พบแพทย์

บทที่ 672 ปรมาจารย์พบแพทย์
“กระบี่เล่มที่ทำให้คุณบาดเจ็บ ผมคิดว่าจะต้องไม่ใช่กระบี่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่เป็นกระบี่ที่ชุบด้วยพิษร้ายแรง”
“เมื่อก่อนร่างกายคุณแข็งแรงมาก ร่างกายของนักสู้ ต่อให้ต้องเกลือกกลิ้งอยู่บนกองเลือดกองไฟ ก็สามารถกลับคืนอยู่สภาพเดิมได้ แต่ทว่าตอนนี้อายุมากแล้ว บาดแผลที่ได้รับการรักษาอย่างไม่สมบูรณ์ในตอนนั้นจึงปรากฏออกมา”
“ถ้าหากผมเดาไม่ผิด ในปีที่คุณถูกกระบี่ทำร้าย เดิมทีก็ไม่มีการใส่ยาใดๆ เลย แต่ได้สลบอยู่หลายวัน จากนั้นใช้กำลังภายในบีบพิษออกมา แล้วไม่ได้มีการรักษาใด ๆ อีกเลย และปล่อยให้บาดแผลหายดีไปเอง”
“คุณเป็นคนใหญ่คนโตของแก๊งแถ่จ่าง เดิมทีควรที่จะหาหมอฝีมือดีสักสองสามคนมาให้การรักษา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สาเหตุที่ไม่ได้บริหารจัดการ คาดว่าตอนนั้นคงจะอยู่ในสถานการณ์คับขัน หลังจากที่คุณใช้กำลังภายในบีบพิษออกมาแล้ว ก็เริ่มไล่ตามฆ่าศัตรูของคุณทันที และภัยอันตรายที่แอบแฝงนี้ก็เริ่มมาจากตอนนั้น”
“น่าจะเป็นเมื่อสองสามปีที่แล้ว บาดแผลของคุณได้เริ่มฉีกขาดใหม่อีกครั้ง ถึงแม้จะผ่านการรักษาที่ละเอียดและแม่นยำมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ตอนนี้คุณเป็นปรมาจารย์ และก็ไม่ได้ใส่ใจบาดแผลนี้เลย เพราะคุณเห็นว่าร่างกายของคุณยังคงแข็งแรงอยู่ใช่หรือไม่”
“บาดแผลแค่นี้จะนับอะไร? นักสู้ถ้าไม่บาดเจ็บบ้าง ก็ไม่ถือว่าเป็นนักสู้ที่แท้จริง” จริงอย่างที่คิดฉิวกงเฉิงสีหน้าผ่อนคลาย ไม่แคร์ใดๆ
“แต่ว่าถ้ายังไม่ได้รับการรักษาแบบตัดรากถอนโคนล่ะก็ วันนี้ในปีหน้า คุณก็จะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว” ฉินหลั่งไม่ได้พูดล้อเล่นแม้แต่น้อย เขากล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง
ฉิวกงเฉิงหน้าเปลี่ยนสี เดิมทีเขาไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ นี่เป็นบาดแผลเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว หลายปีมานี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกผิดปกติใด ๆ เลย ในทางกลับกันกลับผมขาวหน้าเด็ก อายุแปดสิบกว่าปีแล้ว
แต่หน้าตาราวกับคนที่อายุห้าสิบกว่า บนใบหน้าไม่มีรอยเหี่ยวย่นเลยแม้แต่น้อย เป็นไปได้ยังไงที่จะต้องตายภายในปีหน้า?
คนในยุทธภพอย่างพวกเขา ถึงแม้จะไม่ได้ใกล้ชิดกับแพทย์แผนปัจจุบันสักเท่าไหร่ ฉิวกงเฉิงไม่เหมือนกัน เขาเคยไปที่โรงพยาบาลระดับสูง ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ของแพทย์แผนปัจจุบันตรวจสอบทั่วทั้งร่างกายของเขา ข้อมูลครบถ้วนเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าคำพูดของฉินหลั่งก็ไม่อาจมองข้าม เพราะว่าเขาเพียงแค่จับชีพจร ก็สามารถบอกเล่าถึงอาการป่วยครึ่งค่อนชีวิตของเขาออกมาได้ และยังวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง ราวกับเห็นด้วยตาตนเอง ดังนั้นจึงน่าตกตะลึงยิ่งนัก
ในแก๊งแถ่จ่างเรื่องอาการบาดเจ็บของเขาถือเป็นความลับสุดยอด คนที่รู้ว่าเขาบาดเจ็บในปีนั้นตอนนี้บนหลุมฝังศพของเขาก็คงปกคลุมไปด้วยหญ้า ถูกเขาตัดรากถอนโคนไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ฉินหลั่งจะรู้มาก่อนว่าเขาเคยได้รับบาดเจ็บ
สามารถพูดได้อย่างละเอียด ชัดเจนและแน่นอนเช่นนี้ บอกว่าเป็นหมอเทวดาก็คงไม่มากจนเกินไป สีหน้าท่าทางของฉิวกงเฉิงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เขารู้ขึ้นมาทันทีว่าฉินหลั่งไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ฉิวกงเฉิงไม่ได้ใส่ใจกับโรคเก่าที่ยังไม่หายขาดนี้มาโดยตลอด ซ้ำยังเห็นเป็นความภาคภูมิใจ จนกระทั่งเคยแสดงอาการอย่างฉับพลันเมื่อหลายปีก่อนได้อยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ตัวเองรักษาในตอนนั้นแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกเลย เขาเป็นถึงปรมาจารย์ จะตกใจและใส่ใจกับอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยได้ยังไง หลังจากนั้นก็กินยาเป็นกองเพื่อรักษา? ฉิวกงเฉิงเห็นว่าไม่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก
หลังจากปีก่อนผ่านไป อาการบาดเจ็บนี้ก็ไม่ได้แสดงอาการอีกเลย สุขภาพร่างกายไม่เลวมาโดยตลอด แผลเป็นก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ เลย แต่ทว่าฉินหลั่งบอกว่าเขามีอันตรายถึงชีวิต ที่จริงแล้วเป็นการวินิจฉัยจริง ๆ หรือมีจุดประสงค์อื่นกันแน่ ขณะนี้ฉิวกงเฉิงยังคงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ
ไม่ว่าจะยังไง ฝีมือการรักษาโรคของฉินหลั่งนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ ลองถามดูสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร ดังนั้นฉิวกงเฉิงหรี่ตา พลางเอ่ยถาม “พ่อหนุ่มฉิน ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้จริงๆ เพียงแค่จับชีพจรก็สามารถบอกเล่าสถานภาพของร่างกายของฉันได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน”
“พูดไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีความผิดพลาดเลยสักนิด แต่ว่าพ่อหนุ่มฉินพูดร้ายแรงเกินไปหรือเปล่า? ท่าทางของฉันในตอนนี้คุณก็เห็นแล้ว ฉันเห็นว่าพวกเราชาวนักสู้ถ้าหากฝึกฝนถึงขั้นแล้ว จะมีชีวิตไปจนถึงอายุร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ทำไมถึงจะไม่อยู่บนโลกมนุษย์แล้วล่ะ?
จากนั้นฉิวกงเฉิงยิ้มหยันพลางกล่าว “หรือว่าในใจคุณยังโกรธแค้นฉันอยู่ ตั้งใจที่จะขู่ขวัญฉัน? เช่นนั้นก็ถือว่าผิดวิถีของหมอแล้ว หมอต้องมีจิตใจเมตตากรุณา ต่อให้เป็นเชลยศึกในสนามรบ ก็ยังได้รับการรักษา ผมพูดไม่ผิดใช่ไหม?
ฉิวกงเฉิงกล่าวอย่างมีเหตุผล หลังจากพูดจบตาของเขาก็จ้องมองฉินหลั่งอย่างไม่กะพริบ เขาอยากจะดูว่าฉินหลั่งได้ขู่ขวัญตัวเองหรือไม่
เพียงแต่ว่าไม่เห็นความรู้สึกใด ๆ บนใบหน้าของฉินหลั่งเลย “ในฤดูหนาวเมื่อปีก่อนบาดแผลของคุณกำเริบอีกครั้ง ความจริงแล้วมันได้ทรุดหนักลง ในตอนนั้นคุณไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้ได้ถึงเวลากำเริบอีกครั้ง อาการจะหนักขึ้น เพียงแต่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง”
“รอดูเถอะ อีกไม่นานบาดแผลก็จะแตกออก ปากแผลเดิมจะฉีกขาดอีกครั้ง ถ้าหากคุณฉิวจะรอจนถึงตอนนั้นแล้วค่อยมารักษา ร้านหุยชุนของผมก็ไม่บังคับ พอถึงตอนนั้นก็ยังคงต้อนรับเหมือนเดิม”
กล่าวไป ฉินหลั่งพลางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา เสียงกระดาษฉีกขาด แล้วก็ฉีกอีกครั้ง และอีกครั้ง
สุดท้ายก็ทิ้งกองเศษกระดาษลงไปบนโต๊ะ พลางกล่าว “พอถึงปีหน้า บาดแผลของคุณก็จะกำเริบอีกครั้ง ฉีกแล้วปิด ปิดแล้วฉีก สุดท้ายก็จะกลายเป็นแบบนี้ คุณดูเอาเองเถอะ ผมได้พูดจบแล้ว”
พูดจบ ฉินหลั่งก็ไม่พูดอะไรอีก สายตามองฉิวกงเฉิงอย่างไม่ได้ใส่ใจ ความหมายก็คือถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว งั้นก็เชิญ
ฉิวกงเฉิงยอมไปซะที่ไหน หนังตากระตุกติดต่อกัน “คุณบอกว่า พอถึงตอนนั้นบาดแผลของผมก็จะเป็นเหมือนกระดาษแผ่นนี้ หลังจากที่ฉีกขาดก็จะกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแบบนี้?”
เขาไม่อยากจะเชื่อ เพราะว่าร่างกายของเขายังแข็งแรงดีอยู่ แต่ว่าฝีมือการรักษาของฉินหลั่งก็มีอยู่จริง ๆ สีหน้าท่าทางของเขาอดไม่ได้ที่จะเตร่งดเครียดขึ้นมา
“ถูกต้อง!” ฉินหลั่งกล่าว แต่ว่าเขาไม่ได้มีความอดทนเหมือนเดิมแล้ว “ตอนนี้สถานการณ์แบบนี้มีเพียงแค่ผมที่สามารถดูออก ในปีนั้นเปี่ยนเชวี่ยพูดไม่ใช่เหรอว่า ช่ายหวงกงเป็นอะไรนะ โรคอะไรอยู่ที่ระหว่างช่องว่างของอวัยวะภายใน อยู่ในกระเพาะอะไรสักอย่าง?”
ฉิวกงเฉิงเข้าใจขึ้นมาทันที เปี่ยนเชวี่ยเข้าพบช่ายหวงกง บทความนี้เป็นบทความสำหรับตักเตือนผู้ที่เจ็บป่วยแล้วปกปิดและไม่ยอมรักษาไปตลอดกาลเชียวนะ
“ผมเคยบอก เมื่อก่อนคุณไม่ได้ตั้งใจรักษาเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากยังไม่รักษาในตอนนี้ บาดแผลก็จะแตกขาด ถ้าหากคุณสงสัยในฝีมีการรักษาของผม หรือว่าสงสัยคุณสมบัติความเป็นคนของผม ถ้างั้นก็เชิญ ผมไม่รั้งคุณไว้”
ฉินหลั่งสีหน้าเย็นชา เขานำเศษกระดาษทิ้งลงไปในถังขยะ และหุบปากไม่พูดอะไรอีกเลย
ฉิวกงเฉิงจมลงสู่สภาวะครุ่นคิดทันที แต่ก็เป็นระยะเวลาเพียงชั่วพริบตา เขากล่าว “พ่อหนุ่มฉิน อย่าได้โมโห ฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น ฉันหมายความว่า ร่างกายของฉัน เดิมทีก็แข็งแรงมาก……”
“คุณยังคงไม่เชื่อผม แต่ก็ค่อนข้างเป็นกังวลใช่ไหม คุณฉิว อาการป่วยของคุณมีเพียงผมที่ดูออก และก็มีแค่ผมที่สามารถรักษาได้ ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว”
ชินหลั่งพูดไป พลางเทน้ำให้ฉิวกงเฉิงแก้วหนึ่ง ในสายตาปรากฏแววเจตนาดีออกมา เขาดูออกความหวาดระแวงที่ฉิวกงเฉิงมีต่อเขาได้ลดลงไปบ้างแล้ว
ฉิวกงเฉิงรับรู้ถึงความเจตนาดีนี้ ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ในสายตามีรัศมีปรากฏออกมาแวบหนึ่ง “ถ้างั้น พ่อหนุ่มฉินช่วยดูให้หน่อย สถานการณ์ของผมในตอนนี้ ควรที่จะจัดการยังไง?”
ปรมาจารย์คนหนึ่งเชียวนะ ท่าทีของฉิวกงเฉิงดีซะขนาดนั้น ต่อให้เป็นการเสแสร้ง ก็นับว่าเป็นการเสแสร้งที่ทำให้ผู้อื่นเข้าหาได้ง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ ได้ยินคนอื่นเอ่ยถึงโรคลับของตัวเองแล้ว เกินความคาดหมายที่เขาไม่แสดงอาการดื้อรั้นและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น แต่ในทางกลับกันเขากลับนอบน้อมและยอมรับฟังคนอื่นเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ว่า พูดก็ส่วนพูด สายตาของฉิวกงเฉิงนั้นแหลมคมเป็นอย่างมาก ในขณะที่ไม่สังเกตเห็นมีรัศมีเยือกเย็นปรากฏออกมาแวบหนึ่ง ไม่ปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าของฉินหลั่งลอดพ้นสายตาไปแม้แต่นิดเดียว
“ไม่ต้องเสียแรงอะไรมากมาย”
“ในตอนนี้บาดแผลยังไม่ฉีกขาด พวกเราเพียงแค่ต้องเปิดปากแผลที่บริเวณช่องท้องเอง และกำจัดพิษที่อยู่ข้างในออกไป แล้วซ่อมแซมเส้นเอ็น จากนั้นค่อยทายารักษาแผล”
ฉินหลั่งตอบรับสายตาของฉิวกงเฉิงอย่างไร้กังวล

รวยชั่วข้ามคืน?!

รวยชั่วข้ามคืน?!

ในระยะเวลา7ปีนี้ ฉินหลั่งถูกคนอื่นเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยาม แต่ฉินหลั่งก็อดทนใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอดถ้าหากไม่ใช่ได้รับข้อความนั้น ฉินหลั่งคงจะลืมว่าตัวเองเป็นคนรวย7ปีมันเป็นระยะเวลาทดสอบที่ตระกูลให้กับฉินหลั่ง ตอนนี้ฉินหลั่งผ่านการทดสอบแล้ว ก็มีสิทธิ์ไปใช้ทรัพย์สินของตระกูลได้แล้วฉินหลั่งจะเลือกที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนต่อไปหรือจะเริ่มเปิดโหมดอวดรวยกันแน่!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset