รวยชั่วข้ามคืน?! – ตอนที่ 689 เป้าหมายของพวกเราคือทะเลหมู่ดาวอันไร้พรมแดน

บทที่ 689 เป้าหมายของพวกเราคือทะเลหมู่ดาวอันไร้พรมแดน
“ยีนของพวกเรากำหนดให้พวกเราแตกต่างจากสำนักหมิง รูปแบบของสำนักหมิง ก็เหมือนดาวรุ่งพุ่งแรงดังเร็วดับเร็ว แต่พวกเรานั้นไม่เหมือนกัน”
“พวกเราแก๊งแถ่จ่างจะต้องดำรงอยู่ให้ยืนยาวตราบนานเท่านาน ก็เหมือนขับเรือลำใหญ่กลางทะเล เป้าหมายคือทะเลหมู่ดาวอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ไร้พรมแดน ไม่มีที่สิ้นสุด ให้สืบทอดต่อไปชั่วนาตาปี ไม่ใช่เพียงแค่การได้เปรียบเสียเปรียบในเวลาชั่วขณะ”
พูดพลาง ฉิวเฉิงกงใบหน้าแสดงถึงความทระนง “ดังนั้น พวกเราก็ต้องหนักแน่นยิ่งขึ้น เมื่อเห็นโขดหินไม่ใช่จะต้องไปชนปะทะกับโขดหิน ทำให้ตัวเองแตกยับเยิน แต่จะต้องคิดหาวิธีอ้อมข้ามไป เริ่มต้นวางแผนการเดินทางใหม่ ดั่งคำคมที่ว่า ถ้าระวังการขับขี่ให้ดีก็สามารถขับเรือนานเป็นหมื่นปี และนี่ก็คือหลักการและเหตุผล”
“ไม่ใช่พวกเรากลัวหลินเส้าโสโขดหินก้อนนี้ เพียงแต่ว่า หากเปรียบเทียบความคิดระหว่างเขากับพวกเราแล้ว มันไม่คุ้มค่ากับพวกเราที่ไปทุ่มเททุกอย่างเพื่อเขามากเกินไป”
“สู้ด้วยไม้แข็ง เป็นวิธีที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ดังนั้น สำหรับเรื่องนี้แล้ว ข้าจะออกหน้าด้วยตัวเอง จัดการเรื่องให้มันสงบเรียบร้อย ตอนนี้ข้าใช้วิธีเดียวที่จะต่อสู้กับหลินเส้าโสก็คือ หลีกเลี่ยงคมหอกคมดาบ”
“เขาอยากมาก่อเรื่องที่แก๊งแถ่จ่าง เรียกร้องความสนใจจากสำนักหมิง ทำให้เป็นที่สนใจของยุทธภพ พวกเราแก๊งแถ่จ่างจะไม่ยอมเป็นเหยื่อให้เขาใช้เป็นสะพานข้ามเด็ดขาด”
“แน่นอน พวกเจ้าอัดอั้นตันใจข้าก็เข้าใจ ฟาชุ่ยไม่ใช่หลานสาวข้าหรืออย่างไร? หนี้บัญชีนี้ ข้าแก๊งแถ่จ่างทุกคนจะต้องจดจำไว้ให้ดี ต่อไปหากสบโอกาส จะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกจากเขาทีเดียว หลินเส้าโสถูกขึ้นบัญชีดำไว้กับพวกเราแล้ว”
“รายการหนี้บัญชี มีทั้งที่ยื้อมีทั้งที่ค้าง พวกเราแก๊งแถ่จ่างมีแต่ยื้อหนี้ไม่มีค้างหนี้” พูดถึงตรงนี้ ฉิวเฉิงกงก็กวาดสายตามองไปยังแขนที่ถูกตัดของฉิวฟาชุ่ย สีหน้าแสดงออกถึงความเคียดแค้นยิ่งนัก
ฉิวฟาชุ่ยเมื่อเห็นท่านลุงใหญ่มองมายังตัวเอง อารมณ์ก็ค่อยๆสงบนิ่งขึ้น สิ่งที่ลุงใหญ่พูดมามันสมเหตุสมผล และเป็นความจริงทุกอย่าง แต่ว่าเธอเอาแต่ใจตัวเองมาโดยตลอด ระงับอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่ รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตะโกนออกไปว่า
“เจ้าฉินหลั่งนั่น หลินเส้าโสพวกเราไม่แตะต้องก็ได้ แต่ฉินหลั่งก็น่าจะแตะได้นะ ไอ้เวรตะไลนี่ ในวงการศิลปะการต่อสู้ก็ไม่เลว มีคนยกย่องเขาให้เป็นปรมาจารย์ ข้าว่าเขานะ พลังภายในอย่างมากก็อยู่ในขั้นระดับกลางเท่านั้นเอง อยู่ข้างนอกก็สามารถทำตัวอันธพาลกร่างไปทั่ว แต่ว่าคนฝีมือแค่ระดับกลางอย่างนี้พวกเราแก๊งแถ่จ่างก็ไม่กล้าที่จะไปต่อกลอนด้วย มันเป็นการเสียเหลี่ยมมากไปแล้ว”
“ท่านลุงใหญ่ อีกอย่างในตัวฉินหลั่งยังมียาวิเศษอย่างหนึ่ง ยาเทพหยุนเซียนที่สามารถนำไปใช้และสืบทอดต่อไปนับพันปีทีเดียว” ฉิวฟาชุ่ยยังไม่ลืมยาผงนั่นเลย เธออยากได้ยาผงหยุนเซียนนั่นมากเหลือเกิน ถึงแม้ว่าต้องเสียแขนไป แต่ก็ยังไม่ลดละที่ต้องการอยากครอบครอง
ในสายตาของฉิวเชียนจ้างก็แสดงความสนใจกับยาผงหยุนเซียนด้วย แต่ว่ายังต้องทำตามความเห็นของฉิวเฉิงกง จึงได้แต่เตือนว่า “เสี่ยวชุ่ย อย่าลืมนะว่า หลินเส้าโสเคยบอกว่า จะต้องปกป้องฉินหลั่งให้ถึงที่สุด”
“ฮึ่ม ไอ้กุ้งแห้งจิ๋วนี่” ฉิวเฉิงกงหรี่ตาทั้งสอง “เขาไม่มีค่าพอที่ให้พวกเราลงมือ ดังนั้น ฉินหลั่งก็แตะต้องไม่ได้”
“ตอนนี้เป้าหมายพวกเราคือต้องเอาใจหลินเส้าโส ดังนั้นเรื่องไหนที่เขาไม่สบายใจ พวกเราก็ต้องอดทนไว้ไม่ต้องไปทำสิ่งนั้น อย่าเพียงเพราะว่าเบี้ยตัวเดียวทำให้เกมการเดินหมากต้องล้มไปทั้งกระดาน มันไม่คุ้มกัน”
“พวกเราไว้หน้าหลินเส้าโสก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไว้หน้าด้วย” ฉิวเฉิงกงครุ่นคิดอย่างหนัก
“โยวโจ่ชาวกางเป็นลูกชายคนโตของลูกพี่ใหญ่แห่งสำนักกุ่ยอี ได้ข่าวว่าตระกูลโยวโจ่เป็นไปได้ที่จะขึ้นครองตำแหน่งสูงสุดของสำนักกุ่ยอี แต่แล้วโยวโจ่ชาวกางกลับถูกฉินหลั่งไอ้บื้อนี่จัดการจนกลายเป็นมนุษย์ผักไปแล้ว ฮาฮา…..”
“หากพวกญี่ปุ่นมันอดทนได้ล่ะก็ ต่อไปสำนักกุ่ยอีก็อย่าคิดจะเป็นใหญ่ในเมืองจีนได้อีกต่อไป”
“หากตอนนี้โยวโจ่ชาวกางเกิดเรื่องอีกหน่อย พวกเจ้าว่า สำนักกุ่ยอีจะเอาชีวิตฉินหลั่งถึงตายหรือไม่?”
“พอถึงเวลานั้น ขอเพียงมีคนนำก่อน พวกเราก็อย่าเพิ่งออกแรง คอยรอดูโอกาสเหมาะแล้วค่อยลงมือ รับรองได้ว่าสถานการณ์ต้องน่าดูชมแน่นอน”
ฉิวเฉิงกงรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นมีเลศนัย “ก็เป็นไปได้ที่หลินเส้าโสจะต้องเข้ามาเกี่ยวพันด้วย เขาไม่ใช่จะปกป้องฉินหลั่งเหรอ? ฉินหลั่งก็เป็นเหมือนเผือกร้อนหากไปวางอยู่บนมือของหลินเส้าโสแล้ว จะไม่ดีต่อพวกเราอย่างไรเล่า?”
คนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของฉิวเฉิงกงแล้ว ทุกคนก็มีความรู้สึกเหมือนตาสว่างขึ้น โดยเฉพาะฉิวเชียนจ้างสะดุ้งไปทั้งตัว ในที่สุดดวงตาก็เห็นแสงสว่าง เคราที่แข็งทื่อก็ค่อยๆอ่อนลง พยักหน้าแล้วพูดว่า “ความคิดพี่ใหญ่ประเสริฐยิ่งนัก ข้าน้อยเข้าใจแล้ว เกือบจะทำเรื่องใหญ่เสียหายแล้ว”
“อึม ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้จะตกลงตามนี้กันหรือไม่?” ฉิวเฉิงกงก็กลับถามความเห็นทุกคนก่อน ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง
ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย คำพูดของฉิวเฉิงกงมันช่างฉลาดหลักแหลมนัก ทุกคนก็ล้วนแต่ยอมรับจากใจจริง
แววตาฉิวเฉิงกงยิ่งลึกล้ำมากขึ้น “ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ มีอีกอย่างหนึ่ง เชียนจ้าง เจ้าไปกำชับฝ่ายพิราบสื่อสารให้สืบเรื่องหนึ่งให้ด้วย”
“เป็นเรื่องอะไรเหรอ?” ฉิวเชียนจ้างไม่เข้าใจ
“หากต้องการเอาชนะศัตรู ก่อนอื่นจะต้องรู้จักศัตรูให้ถ่องแท้ ฉินหลั่งถึงแม้จะเป็นคนรุ่นหลัง ยากที่จะเปรียบเทียบกับตำแหน่งนักรบผู้กล้าของหลินเส้าโสเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แต่ว่า เท่าที่ข้าพอรู้มา ฉินหลั่งคนนี้ก็มีเรื่องเลศนัยหลายอย่าง
เช่นว่าเขาดูเหมือนมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเหลิ่งเชียนชีวแห่งสำนักหมิง”
“เหลิ่งเชียนชีว? ลูกพี่ใหญ่ของสำนักหมิงที่ถนัดใช้อาวุธร้อนหรือ?”ฉิวฟาชุ่ยสะดุ้งตกใจ
“ถูกต้องแล้ว รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งก็จะไม่แพ้เลย ข้ายังไม่ค่อยรู้จักฉินหลั่งเท่าไรนัก คนที่มีพลังภายในอยู่ระดับขั้นสูงสุด ตามหลักการแล้ว พวกเราแก๊งแถ่จ่างผู้อาวุโส 10 ท่าน ก็มีถึง 7 ท่านที่บรรลุถึงขั้นนี้แล้ว เขายังมีอนาคตที่ก้าวไกล แต่ว่าพวกเราซึ่งมีชื่อเสียงในยุทธภพมานานแล้ว อย่างมากก็ได้แต่เพียงแค่ชื่นชมก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดตื่นเต้นตกใจ ว่าแต่สำนักใหญ่อย่างสำนักหมิงนั้น อยู่ในช่วงเวลาที่กำลังรุ่งเรือง คนมีฝีมือเก่งกาจก็มีมากมาย คาดว่าพวกที่มีพลังภายในขั้นสูงสุดก็มีมากกว่าสิบคนแล้ว”
“พูดตามหลักการแล้ว พวกเราก็ได้เห็นยอดฝีมือของผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะในวงการต่อสู้มามากแล้ว ไม่ควรที่จะเห็นความสำคัญอย่างเช่นที่สังคมให้กับฉินหลั่งเลย ยิ่งไปกว่านั้น เหลิ่งเชียนชีวกับหลินเส้าโสต่างก็ปกป้องฉินหลั่งด้วยชีวิต นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดมาก”
ฉิวเฉิงกงยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เ “เจ้าจงให้ฝ่ายพิราบสื่อสารตรวจสอบดูหน่อยว่า ฉินหลั่งกับสำนักหมิงมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่?”
“ทำไมสำนักหมิงถึงได้ดูถูกคนใต้หล้านี้ไปสนิทสนมกับเด็กเมื่อวานซืนเช่นนั้นทุ่มเททุกอย่างโดยไม่เสียดาย เพื่อน้ำใจหรือ? มันง่ายเช่นนั้นหรือ?”
ฉิวเชียนจ้างเข้าใจทันที “พี่ใหญ่โปรดวางใจ ข้าจะทำตามก็แล้วกัน”
การประชุมวางแผนของฝ่ายแก๊งแถ่จ่าง ฉินหลั่งก็ไม่ได้รับรู้อะไร เมื่อคืนเขาได้พาหลินเส้าโสกลับไปยังหอพักโรงเรียนมัธยมหัวเจี๋ย ทั้งสองคนก็ได้นอนพักด้วยกัน เดิมทีจะพาหลินเส้าโสกลับไปที่สถานพักฟื้น แต่ว่าหลินเส้าโสกลับบอกว่าอยากจะอยู่ค้างคืนกับฉินหลั่งสักหนึ่งคืน
เมื่อเห็นที่พักของฉินหลั่งที่คับแคบ หลินเส้าโสขมวดคิ้วแต่ก็ไม่พูดอะไร ความอ่อนไหวของฉินหลั่งทำให้รู้สึกได้ว่า หลินเส้าโสไม่ได้รังเกียจอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าห้องพักนี้ไม่เหมาะสมกับฐานะของฉินหลั่งเท่านั้น
เมื่อคืนไม่ได้ฝึกวิชาศิลปะการต่อสู้ วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมา ฉินหลั่งก็อยู่ในห้องทบทวนบทเรียนคัมภีร์การปรุงยา จากนั้นก็เริ่มรับประทานอาหารเช้า
เมื่อลุกขึ้นมาจะไปปลุกหลินเส้าโส ฉินหลั่งก็พบว่าอีกฝ่ายไม่อยู่แล้ว เขาจึงเดินออกจากหอพัก ก็พบหลินเส้าโสมือไขว้หลังยืนอยู่ข้างนอก เหลียวมองไปรอบโรงเรียนมัธยมหัวเจี๋ยที่กว้างใหญ่ไพศาล ด้วยท่าทีเหม่อลอย
“อาหลินครับ ผมเผื่ออาหารเช้าให้อาแล้ว เมื่อคืนเหนื่อยมาทั้งคืน เข้าไปทานอะไรหน่อยครับ” ฉินหลั่งพูดด้วยความเคารพต่อหลินเส้าโส
“ไม่ละ อาหลินนั่งอยู่บนเก้าอี้มา20ปีแล้ว มีโอกาสก็อยากจะออกมาชมวิวทิวทัศน์ มีความสุขกว่ากันกินข้าวเป็นไหนๆ”
เสียงท่องหนังสือของเด็กดังแว่วออกมาจากโรงเรียน มีอาจารย์บางคนก็เดินเข้ามาทักทายฉินหลั่ง ฉินหลั่งก็พยักหน้าตอบรับ
พวกเขาก็ส่งยิ้มให้หลินเส้าโสด้วยความนอบน้อม แต่ว่าใบหน้าหลินเส้าโสเพียงแค่ขยับเล็กน้อย แสดงถึงความเย่อหยิ่งในตัวเขา
“บรรยากาศทิวทัศน์ในโรงเรียนแบบนี้ ข้าหลินเส้าโสชาตินี้คงไม่มีวาสนา ได้แต่ฝ่าลมฝนคลื่นลมแรงชั่วชีวิต มันคงเป็นเพราะโชคชะตากำหนด” หลินเส้าโสถอนหายใจเล็กน้อยด้วยสายตาที่ลึกล้ำ

รวยชั่วข้ามคืน?!

รวยชั่วข้ามคืน?!

ในระยะเวลา7ปีนี้ ฉินหลั่งถูกคนอื่นเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยาม แต่ฉินหลั่งก็อดทนใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอดถ้าหากไม่ใช่ได้รับข้อความนั้น ฉินหลั่งคงจะลืมว่าตัวเองเป็นคนรวย7ปีมันเป็นระยะเวลาทดสอบที่ตระกูลให้กับฉินหลั่ง ตอนนี้ฉินหลั่งผ่านการทดสอบแล้ว ก็มีสิทธิ์ไปใช้ทรัพย์สินของตระกูลได้แล้วฉินหลั่งจะเลือกที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนต่อไปหรือจะเริ่มเปิดโหมดอวดรวยกันแน่!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset