ทั้งสามควบม้าทะยานไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้ทางผ่านบา ทะลุออกแคว้นโม และเข้ามาถึงแคว้นอันในที่สุด
แคว้นอันตั้งอยู่ทางทิศใต้ของแคว้นโม และทางทิศเหนือของชางจิง ทั้งยังมีสามแคว้นที่อยู่ติดกับที่นี่อีกที และตั้งแต่ที่แคว้นอันถูกก่อตั้งขึ้นมา พวกเขาก็ไม่เคยทำสงครามกับผู้ใดเลย เนื่องจากพลานุภาพของกองทัพและทรัพยากรที่มากมายทำให้ที่นี่ถูกหมายตาไว้ ทว่าก็ไร้ซึ่งผู้ใดอาจหาญเข้ามาครอบครองมันได้ และราชาของแคว้นนี้ก็มีอำนาจเหนือราชโองการจักรพรรดิเสียอีก
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากการรุ่งเรืองของแคว้นเล็ก ๆ อย่าง โม หนิง และฉวน ทำให้อำนาจของแคว้นอันน้อยลง ทว่าพวกหนิงและพวกโมก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับแคว้นเฟิง จึงทำให้แคว้นอันไม่ถูกเล็งเป็นเป้าหมายสักเท่าไหร่ เว้นแต่พวกฉวนที่อยู่ทางใต้ของแคว้นนี้
เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาก็รู้เลยว่าแคว้นอันนั้นสงบสุขสมชื่อ มี ประชาชนมากมายและอาณาเขตใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเฮาเตียน
วันนี้ถังหยินกับทั้งสองมาถึงมณฑลหนึ่งที่อยู่ทางใต้ติดกับชางจิง ระหว่างที่กำลังเดินอยู่เขาก็พูดขึ้น “นายท่าน พวกเราอยู่ไม่ห่างจากชางจิงแล้ว ด้วยความเร็วของพวกเรา ข้าคิดว่าน่าจะใช้เวลาอีกสามวันกว่าจะถึงนครหลวง”
ถังหยินถาม “เรามีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ก่อนที่คนจะสงสัย?”
“ประมาณ 16 วัน” หลีเทียนตอบ
ชายหนุ่มถอนหายใจ แม้ว่าระยะทางระหว่างเมืองหยานมาที่นี่จะห่างไกลมาก ถ้าเขามีระบบขนส่งจากโลกปัจจุบันก็คงจะถึงนครหลวงไปนานแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางด้วยม้าที่วิ่งทั้งวันเช้ายันเย็นจนมันอ่อนล้า แถมต้องพักระหว่างทางอีกด้วย
หลีเทียนคิดว่าเจ้านายของตนน่าจะโทษที่ตนเองทำให้การเดินทางครั้งนี้ช้าลง “นายท่าน พวกเราเคลื่อนไหวได้เร็วสุดแล้ว หากในกาลปกติอาจต้องใช้เวลาล่วงสองเดือนกว่าจะมาถึงที่หมาย”
ถังหยินพยักหน้ารับ ยามนี้ใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว หลีเทียนและเจียงฟานล้วนมีแต่ฝุ่นเต็มตัวไปหมด เขาจึงพูดขึ้น “หาที่พักกันก่อนเถอะ”
พวกเขามุ่งหน้าไปต่อและเจอกับเมืองเล็ก ๆ ทั้งสามลงจากม้า ที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งของเมืองซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีผู้คนเบาบาง ก่อนที่ถังหยินจะหันไปบอกทุกคน “หาอะไรกินกันก่อนดีกว่า”
ทั้งสองพยักหน้าแล้วรีบผูกม้าเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
การปรากฏตัวของพวกเขาทั้งสามเป็นที่จับตามองจากคนในร้านเพราะชุดที่ไม่เหมือนกับผู้ใดเลยของพวกเขา บ่งบอกถึงความเป็นคนนอกพื้นที่หาใช่คนแถวนี้ไม่ ชั่วครู่หนึ่งพวกผู้คนก็หันไปดื่มชากันต่อ
ทั้งสามคนนั่งริมหน้าต่างและเสี่ยวเอ้อร์ก็รีบวิ่งเข้ามาหา “ท่านทั้งสามจะสั่งอะไรดี?”
“น้ำชา เอาที่ดีที่สุดมาให้ข้า”
“แล้วพวกท่านจะเอาขนมด้วยหรือไม่?”
“อะไรก็ได้”
“โปรดรอสักครู่” การสั่งแบบนี้คือสิ่งที่เสี่ยวเอ้อร์ชอบมากที่สุด เพราะเขาเองก็อยากจะหยิบอะไรก็ได้มาให้อยู่แล้ว
ระหว่างที่กำลังรอน้ำชาอยู่ ถังหยินก็แอบฟังคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ พูดกัน ซึ่งมีหนึ่งในนั้นที่สะดุดหูเขามาก
มันเป็นบทสนทนาระหว่างชายวัยกลางคนสองคน
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อคืนมีเด็กหายไปสองคนใช่หรือไหม?”
“ถูกต้อง ข้าเองก็ได้ยินเหมือนกัน นี่เป็นรายที่สิบเข้าไปแล้ว!”
“ควรจะมีคนเข้ามาจัดการได้แล้วนะ ไม่เช่นนั้นคนได้หนีกันไปหมดพอดี”
“ไม่มีผู้ใดสนใจหรอก เพราะว่าพวกเขาจัดการไม่ได้! ลือว่าพวกที่ลักพาตัว หมายจะเอาตัวเด็กไปทำพิธีให้ตนเองกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์น่ะ!”
“บ้าหรือเปล่า ผู้ใดเขาจะทำเช่นนั้นกัน?”
“ข้าไม่รู้หรอก บางทีอาจจะเป็นผีก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้นคงจะจับได้ไปนานแล้ว”
ได้ยินแบบนั้นถังหยินก็ขำออกมาเสียงดัง จนชายสองคนที่คุยกันหันมามองด้วยความสงสัย ก่อนจะถาม “พ่อหนุ่มหัวเราะอะไร?”
“หากมีเรื่องเช่นนั้นจริง ย่อมเป็นคนลักพาตัวไปนั่นแหละ หาใช่ผีหรอก” ถังหยินตอบ
ชายสองคนขบริมฝีปาก “เจ้าไม่ได้เป็นคนที่นี่สินะ อย่าพูดอะไรไม่เข้าหูก็แล้วกัน”
ถังหยินยักไหล่ และเมื่อเสี่ยวเอ้อร์มาพอดี ถังหยินก็ได้ยกดื่มชาโดยไม่สนใจอะไร
เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเขา จึงไม่จำเป็นต้องสนใจเท่าไหร่
เมื่อเห็นถังหยินไม่คิดสนใจ ชายทั้งสองจึงคุยกันต่อ
ยามเสี่ยวเอ้อร์เอาขนมมาเพิ่ม ถังหยินพลันเอ่ยถาม “เจ้าหนุ่ม ที่นี่มีโรงเตี๊ยมบ้างหรือไม่?”
“ตรงถนนด้านนอก เดินตรงไปเรื่อย ๆ เมื่อไปถึงกลางเมืองท่านจะเจอโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุด”
ชายหนุ่มยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณก่อนจะลงมือกินที่เหลือ
เมื่อทั้งสามกินจนหมดแล้ว หลีเทียนก็กวักมือเรียกให้เสี่ยวเอ้อร์คิดเงิน เขายื่นแท่งเงินให้ “เอานี่ไป”
“ขอบพระคุณอย่างสูง” ราคาของในแคว้นอันนั้นถูกมาก เพียงหนึ่งแท่งเงินก็สามารถซื้อได้ทุกสิ่งแล้ว ดังนั้นเสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านจึงแทบจะยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว
เมื่อพวกเขาออกมาจากร้าน หลีเทียนก็ถาม “ท่านคิดว่าใครเป็นคนลักพาตัวเด็กไป?”
ถังหยินยักไหล่ “ใครจะไปรู้ ไม่เกี่ยวกับเราเสียหน่อย ช่างมันไปเถอะ”
หลีเทียนพยักหน้าเห็นด้วย
ตามจุดหมายที่เสี่ยวเอ้อร์ชี้มา ทั้งสามขี่ม้ามาจนถึงที่หมายและเมื่อใกล้ถึงใจกลางเมืองก็มีโรงเตี๊ยมอยู่จริง ๆ
เห็นเช่นนั้นก็พาถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาอยากสัมผัสเตียงนุ่ม ๆ มานานแล้ว!
เมื่อลงจากม้า เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมก็ได้เดินออกมาต้อนรับ “ท่านทั้งสามต้องการพักที่นี่หรือไม่?”
“แน่นอน พวกเราขอสามห้องที่ดีที่สุด” หลีเทียนพูดแล้วลูบหัวม้าของเขา “แล้วก็เอาหญ้าที่ดีที่สุดมาให้พวกมันด้วยในตอนเช้า”
“ทั้งสามท่านเชิญเข้ามาก่อน” เสี่ยวเอ้อร์เรียกให้สหายของเขาอีกสามคนเดินออกมาพาถังหยินและพรรคพวกเข้าไป
เพราะเมืองนี้ไม่ใช่เมืองใหญ่จึงไม่มีพ่อค้าและนักท่องเที่ยวมากมาย บรรยากาศเลยเงียบสงบมาก
หลังจากที่เข้ามา เสี่ยวเอ้อร์ก็พาถังหยินกับคนอื่นเดินขึ้นไปชั้นสองแล้วหยุดอยู่ที่หน้าห้องว่าง “เชิญท่านทั้งสามดูห้องเหล่านี้ก่อน”
เมื่อเข้าไปข้างในถังหยินก็ยิ้มออกมาให้กับการตกแต่งห้องที่หรูหรา “เช่นนั้นเอาสามห้องนี้เลย”
ถังหยิน หลีเทียน เจียงฟานเลือกที่จะพักผ่อนในโรงเตี๊ยมหลังจากที่เดินทางมายาวนานอย่างเหน็ดเหนื่อย แม้ว่าจันทรายังไม่คล้อยสูง แต่พวกเขาก็นอนหลับกันเรียบร้อย
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาหลับไปนานเท่าไหร่ แต่ถังหยินกลับตื่นขึ้นมาเพราะแสงไฟและเสียงลมพัด
ถึงจะหลับอยู่แต่โสตประสาทสัมผัสทั้งหกเองก็ยังตื่นอยู่ เขาได้ยินเสียงเสื้อผ้าปลิวไสวในอากาศ ชายหนุ่มลืมตาตื่นทั้นทีแล้วลุกขึ้นเดินออกไปเปิดหน้าต่าง
ยามนี้รอบข้างนั้นมืดมาก ผืนนภาปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ หากแต่ถังหยินที่มีนัยน์ตาซึ่งสามารถมองกลางคืนกลับมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน เขาเห็นเงาสีดำกำลังเคลื่อนไหววูบวาบไปมาบนหลังคาด้วยความเร็วก่อนที่จะหายตัวไป… นี่คือวิชาของผู้ใช้ศาสตร์มืด!
ถังหยินประหลาดใจที่เห็นภาพนั้น เขาไม่คิดว่าที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้จะมีผู้ใช้ศาสตร์มืดได้ ก่อนจะพลันนึกถึงเรื่องเมื่อเที่ยงวันในทันที!