ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] – ตอนที่ 476

ทั้งสามควบม้าทะยานไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้ทางผ่านบา ทะลุออกแคว้นโม และเข้ามาถึงแคว้นอันในที่สุด

แคว้นอันตั้งอยู่ทางทิศใต้ของแคว้นโม และทางทิศเหนือของชางจิง ทั้งยังมีสามแคว้นที่อยู่ติดกับที่นี่อีกที และตั้งแต่ที่แคว้นอันถูกก่อตั้งขึ้นมา พวกเขาก็ไม่เคยทำสงครามกับผู้ใดเลย เนื่องจากพลานุภาพของกองทัพและทรัพยากรที่มากมายทำให้ที่นี่ถูกหมายตาไว้ ทว่าก็ไร้ซึ่งผู้ใดอาจหาญเข้ามาครอบครองมันได้ และราชาของแคว้นนี้ก็มีอำนาจเหนือราชโองการจักรพรรดิเสียอีก

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากการรุ่งเรืองของแคว้นเล็ก ๆ อย่าง โม หนิง และฉวน ทำให้อำนาจของแคว้นอันน้อยลง ทว่าพวกหนิงและพวกโมก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับแคว้นเฟิง จึงทำให้แคว้นอันไม่ถูกเล็งเป็นเป้าหมายสักเท่าไหร่ เว้นแต่พวกฉวนที่อยู่ทางใต้ของแคว้นนี้

เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาก็รู้เลยว่าแคว้นอันนั้นสงบสุขสมชื่อ มี ประชาชนมากมายและอาณาเขตใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเฮาเตียน

วันนี้ถังหยินกับทั้งสองมาถึงมณฑลหนึ่งที่อยู่ทางใต้ติดกับชางจิง ระหว่างที่กำลังเดินอยู่เขาก็พูดขึ้น “นายท่าน พวกเราอยู่ไม่ห่างจากชางจิงแล้ว ด้วยความเร็วของพวกเรา ข้าคิดว่าน่าจะใช้เวลาอีกสามวันกว่าจะถึงนครหลวง”

ถังหยินถาม “เรามีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ก่อนที่คนจะสงสัย?”

“ประมาณ 16 วัน” หลีเทียนตอบ

ชายหนุ่มถอนหายใจ แม้ว่าระยะทางระหว่างเมืองหยานมาที่นี่จะห่างไกลมาก ถ้าเขามีระบบขนส่งจากโลกปัจจุบันก็คงจะถึงนครหลวงไปนานแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางด้วยม้าที่วิ่งทั้งวันเช้ายันเย็นจนมันอ่อนล้า แถมต้องพักระหว่างทางอีกด้วย

หลีเทียนคิดว่าเจ้านายของตนน่าจะโทษที่ตนเองทำให้การเดินทางครั้งนี้ช้าลง “นายท่าน พวกเราเคลื่อนไหวได้เร็วสุดแล้ว หากในกาลปกติอาจต้องใช้เวลาล่วงสองเดือนกว่าจะมาถึงที่หมาย”

ถังหยินพยักหน้ารับ ยามนี้ใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว หลีเทียนและเจียงฟานล้วนมีแต่ฝุ่นเต็มตัวไปหมด เขาจึงพูดขึ้น “หาที่พักกันก่อนเถอะ”

พวกเขามุ่งหน้าไปต่อและเจอกับเมืองเล็ก ๆ ทั้งสามลงจากม้า ที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งของเมืองซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีผู้คนเบาบาง ก่อนที่ถังหยินจะหันไปบอกทุกคน “หาอะไรกินกันก่อนดีกว่า”

ทั้งสองพยักหน้าแล้วรีบผูกม้าเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน

การปรากฏตัวของพวกเขาทั้งสามเป็นที่จับตามองจากคนในร้านเพราะชุดที่ไม่เหมือนกับผู้ใดเลยของพวกเขา บ่งบอกถึงความเป็นคนนอกพื้นที่หาใช่คนแถวนี้ไม่ ชั่วครู่หนึ่งพวกผู้คนก็หันไปดื่มชากันต่อ

ทั้งสามคนนั่งริมหน้าต่างและเสี่ยวเอ้อร์ก็รีบวิ่งเข้ามาหา “ท่านทั้งสามจะสั่งอะไรดี?”

“น้ำชา เอาที่ดีที่สุดมาให้ข้า”

“แล้วพวกท่านจะเอาขนมด้วยหรือไม่?”

“อะไรก็ได้”

“โปรดรอสักครู่” การสั่งแบบนี้คือสิ่งที่เสี่ยวเอ้อร์ชอบมากที่สุด เพราะเขาเองก็อยากจะหยิบอะไรก็ได้มาให้อยู่แล้ว

ระหว่างที่กำลังรอน้ำชาอยู่ ถังหยินก็แอบฟังคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ พูดกัน ซึ่งมีหนึ่งในนั้นที่สะดุดหูเขามาก

มันเป็นบทสนทนาระหว่างชายวัยกลางคนสองคน

“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อคืนมีเด็กหายไปสองคนใช่หรือไหม?”

“ถูกต้อง ข้าเองก็ได้ยินเหมือนกัน นี่เป็นรายที่สิบเข้าไปแล้ว!”

“ควรจะมีคนเข้ามาจัดการได้แล้วนะ ไม่เช่นนั้นคนได้หนีกันไปหมดพอดี”

“ไม่มีผู้ใดสนใจหรอก เพราะว่าพวกเขาจัดการไม่ได้! ลือว่าพวกที่ลักพาตัว หมายจะเอาตัวเด็กไปทำพิธีให้ตนเองกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์น่ะ!”

“บ้าหรือเปล่า ผู้ใดเขาจะทำเช่นนั้นกัน?”

“ข้าไม่รู้หรอก บางทีอาจจะเป็นผีก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้นคงจะจับได้ไปนานแล้ว”

ได้ยินแบบนั้นถังหยินก็ขำออกมาเสียงดัง จนชายสองคนที่คุยกันหันมามองด้วยความสงสัย ก่อนจะถาม “พ่อหนุ่มหัวเราะอะไร?”

“หากมีเรื่องเช่นนั้นจริง ย่อมเป็นคนลักพาตัวไปนั่นแหละ หาใช่ผีหรอก” ถังหยินตอบ

ชายสองคนขบริมฝีปาก “เจ้าไม่ได้เป็นคนที่นี่สินะ อย่าพูดอะไรไม่เข้าหูก็แล้วกัน”

ถังหยินยักไหล่ และเมื่อเสี่ยวเอ้อร์มาพอดี ถังหยินก็ได้ยกดื่มชาโดยไม่สนใจอะไร

เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเขา จึงไม่จำเป็นต้องสนใจเท่าไหร่

เมื่อเห็นถังหยินไม่คิดสนใจ ชายทั้งสองจึงคุยกันต่อ

ยามเสี่ยวเอ้อร์เอาขนมมาเพิ่ม ถังหยินพลันเอ่ยถาม “เจ้าหนุ่ม ที่นี่มีโรงเตี๊ยมบ้างหรือไม่?”

“ตรงถนนด้านนอก เดินตรงไปเรื่อย ๆ เมื่อไปถึงกลางเมืองท่านจะเจอโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุด”

ชายหนุ่มยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณก่อนจะลงมือกินที่เหลือ

เมื่อทั้งสามกินจนหมดแล้ว หลีเทียนก็กวักมือเรียกให้เสี่ยวเอ้อร์คิดเงิน เขายื่นแท่งเงินให้ “เอานี่ไป”

“ขอบพระคุณอย่างสูง” ราคาของในแคว้นอันนั้นถูกมาก เพียงหนึ่งแท่งเงินก็สามารถซื้อได้ทุกสิ่งแล้ว ดังนั้นเสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านจึงแทบจะยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว

เมื่อพวกเขาออกมาจากร้าน หลีเทียนก็ถาม “ท่านคิดว่าใครเป็นคนลักพาตัวเด็กไป?”

ถังหยินยักไหล่ “ใครจะไปรู้ ไม่เกี่ยวกับเราเสียหน่อย ช่างมันไปเถอะ”

หลีเทียนพยักหน้าเห็นด้วย

ตามจุดหมายที่เสี่ยวเอ้อร์ชี้มา ทั้งสามขี่ม้ามาจนถึงที่หมายและเมื่อใกล้ถึงใจกลางเมืองก็มีโรงเตี๊ยมอยู่จริง ๆ

เห็นเช่นนั้นก็พาถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาอยากสัมผัสเตียงนุ่ม ๆ มานานแล้ว!

เมื่อลงจากม้า เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมก็ได้เดินออกมาต้อนรับ “ท่านทั้งสามต้องการพักที่นี่หรือไม่?”

“แน่นอน พวกเราขอสามห้องที่ดีที่สุด” หลีเทียนพูดแล้วลูบหัวม้าของเขา “แล้วก็เอาหญ้าที่ดีที่สุดมาให้พวกมันด้วยในตอนเช้า”

“ทั้งสามท่านเชิญเข้ามาก่อน” เสี่ยวเอ้อร์เรียกให้สหายของเขาอีกสามคนเดินออกมาพาถังหยินและพรรคพวกเข้าไป

เพราะเมืองนี้ไม่ใช่เมืองใหญ่จึงไม่มีพ่อค้าและนักท่องเที่ยวมากมาย บรรยากาศเลยเงียบสงบมาก

หลังจากที่เข้ามา เสี่ยวเอ้อร์ก็พาถังหยินกับคนอื่นเดินขึ้นไปชั้นสองแล้วหยุดอยู่ที่หน้าห้องว่าง “เชิญท่านทั้งสามดูห้องเหล่านี้ก่อน”

เมื่อเข้าไปข้างในถังหยินก็ยิ้มออกมาให้กับการตกแต่งห้องที่หรูหรา “เช่นนั้นเอาสามห้องนี้เลย”

ถังหยิน หลีเทียน เจียงฟานเลือกที่จะพักผ่อนในโรงเตี๊ยมหลังจากที่เดินทางมายาวนานอย่างเหน็ดเหนื่อย แม้ว่าจันทรายังไม่คล้อยสูง แต่พวกเขาก็นอนหลับกันเรียบร้อย

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาหลับไปนานเท่าไหร่ แต่ถังหยินกลับตื่นขึ้นมาเพราะแสงไฟและเสียงลมพัด

ถึงจะหลับอยู่แต่โสตประสาทสัมผัสทั้งหกเองก็ยังตื่นอยู่ เขาได้ยินเสียงเสื้อผ้าปลิวไสวในอากาศ ชายหนุ่มลืมตาตื่นทั้นทีแล้วลุกขึ้นเดินออกไปเปิดหน้าต่าง

ยามนี้รอบข้างนั้นมืดมาก ผืนนภาปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ หากแต่ถังหยินที่มีนัยน์ตาซึ่งสามารถมองกลางคืนกลับมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน เขาเห็นเงาสีดำกำลังเคลื่อนไหววูบวาบไปมาบนหลังคาด้วยความเร็วก่อนที่จะหายตัวไป… นี่คือวิชาของผู้ใช้ศาสตร์มืด!

ถังหยินประหลาดใจที่เห็นภาพนั้น เขาไม่คิดว่าที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้จะมีผู้ใช้ศาสตร์มืดได้ ก่อนจะพลันนึกถึงเรื่องเมื่อเที่ยงวันในทันที!

ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界]

ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界]

ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界]
Score 7.8
Status: Ongoing
อ่านนิยาย ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界]สุดยอดนักฆ่าผู้แสนเย็นชานามว่า ถังหยิน เขาได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างที่เปลืองเปล่า ณ ต่างโลก ก่อนจะจับพลัดจับผลูเข้าร่วมกับสงครามแบบงง ๆ และนี่ก็คือก้าวแรกของราชันเทพสงครามผู้ที่กำลังขึ้นผงาดและเปลี่ยนโลกใบใหม่นี้ไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset